ชายชุดคลุมยาวจ้องปลายเล็บสีแดงจางนิ่งๆ ครู่หนึ่ง จึงได้ข้อสรุปจริงจังหนึ่งข้อ คนที่พกผงพริกมีความเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับคนในยุทธภพ
ชายเคราครึ้มพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ไม่ผิดแน่”
คนที่พกผงพริกติดตัวหากไม่ใช่พวกอันธพาลใฝ่ต่ำแล้วจะเป็นใครได้อีก
ลองคิดดู หน่วยกล้าตายสองคนต่อสู้กัน ยามถึงช่วงเวลาฟางเส้นสุดท้าย หนึ่งในหน่วยกล้าตายสาดผงพริกหนึ่งกำออกมา สถานการณ์นั้นเป็นอย่างไร
ชายเคราครึ้มเพียงแค่คิดก็รู้สึกอับอาย
ส่วนความคิดที่ว่าคุณหนูชนชั้นสูงจะพกผงพริกติดตัวนั้น ไม่เคยผุดขึ้นมาในสมองแม้แต่น้อย
ฝนที่ตกด้านนอกศาลาเริ่มเบาลง ชายชุดคลุมยาวเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน” ชายเคราครึ้มเอ่ยถาม
ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเหมือนมีสถานะอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ใช่อย่างที่คนหนึ่งเป็นผู้นำ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ตาม
ชายชุดคลุมยาวไม่ตอบ เขายืนท่ามกลางสายฝนส่วนสายตาตกอยู่ที่พื้น
สถานที่ตรงนี้เป็นบริเวณที่มีทิวทัศน์งดงามและเงียบสงบของวัด พื้นผิวไม่ได้ปูด้วยหินเหมือนถนนหลัก แต่เป็นพื้นดิน และพื้นดินแบบนี้เวลาที่เกิดความชื้นมันมักจะทิ้งรอยเท้าเอาไว้
ทว่า…ชายชุดคลุมยาวยิ่งมองดูพื้นดินที่ท่วมไปด้วยน้ำฝนจนสูงขึ้นมาหลายนิ้วก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
ฝนตกหนักมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทิ้งรอยเท้าไว้ แต่ตอนนี้คงถูกน้ำฝนเติมจนเต็มหมดแล้ว
ไม่แค่เคยมาที่นี่ในสภาพอากาศเช่นนี้ ย่อมต้องทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้แน่
ชายชุดคลุมยาวหันกลับมาขวับ แล้วเอ่ยถามชายเคราครึ้ม “คนที่ทำร้ายเจ้าเมื่อกี้หลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นนี้หรือ”
ชายเคราครึ้มพยักหน้า “ใช่”
ชายชุดคลุมยาวจ้องที่พื้นดินและเดินอ้อมไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้สูงใหญ่มาก ลำต้นที่หนา ถึงให้คนสองคนยื่นมือสองข้างไปโอบ ก็ยากที่จะโอบรอบต้นได้ ใบไม้ที่ออกใบหนาแน่น บังน้ำฝนได้แทบทั้งหมด จนพื้นเปียกเพียงเล็กน้อย
ชายชุดคลุมยาวสังเกตอย่างละเอียด สุดท้ายก็พบรอยเท้าตรงเขตแดนที่เกือบบังน้ำฝนไม่อยู่ เขานั่งลงสังเกตรอยเท้านั่นอย่างทันทีทันใด รอยนั้นมีเพียงครึ่งเดียว นิ้วเท้าหันหลังให้กับลำต้น จินตนาการได้ถึงความรีบร้อนในการออกจากบริเวณนั้น
ลายนิ้วบนรอยเท้าจางจนแทบมองไม่ออก เหลือไว้เพียงโครงร่างจางๆ ก็ว่าได้
ชายเคราครึ้มคล้ายว่าจะเข้าใจความหมายของชายชุดคลุมยาวแล้ว จึงนั่งลงตามแล้วมองรอยเท้าครึ่งเดียวนั่นพลางพูดงึมงำ “รอยเท้าแค่ครึ่งเท้า ลายนิ้วแทบจะไม่มี ไม่สามารถเดาได้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามใส่รองเท้าแบบไหน”
คนต้าโจวในตอนนี้ คนที่มีสถานะหน่อยบางคนจะใส่รองเท้าเซวีย[1] คนทั่วไปจะใส่รองเท้าผ้าและรองเท้าสาน ส่วนคนที่ใส่บู้ทก็จะแยกลวดลายได้อีกต่างๆ นานา โครงร่างรอยเท้าจางๆ แบบนี้ หากจะแยกให้ออกว่าฝ่ายตรงข้ามใส่รองเท้าประเภทไหน คงยากเกินไป
ชายชุดคลุมยาวจ้องรอยเท้าเขม่นพร้อมกับส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องดูลายนิ้วหรือโครงร่างเท้าอะไร เจ้าดูแค่ขนาดของรอยเท้าครึ่งเดียวนั่น เจ้าว่ามันแปลกหรือไม่”
“ขนาดรอยเท้า?” จากคำชี้นำของชายชุดคลุมยาว ชายเคราครึ้มพลันตาสว่าง “รอยเท้านี่เล็กไปหน่อย!”
ชายชุดคลุมยาวพยักหน้า “ใช่ รอยเท้าเล็กแบบนี้ต้องเป็นสตรีทิ้งเอาไว้แน่”
“สตรี?” ชายเคราครึ้มเผยหน้าประหลาดใจ “เจ้าจะบอกว่า สตรีเป็นคนสาดผงพริกใส่ข้า แล้วก็ใช้ไม้กระบองของข้าฟาดใส่เจ้าจนสลบไป?”
การสันนิษฐานของชายเคราครึ้มทำให้ชายชุดเคราทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จึงเอ่ยออกไปอย่างโมโห “แล้วยังฟาดใส่เจ้าด้วย”
ชายเคราครึ้มส่ายหัวหงึกๆ “เป็นไปไม่ได้ๆ น่าเหลือเชื่อเกินไป…”
“เหลือเชื่อ?” ชายชุดคลุมยาวยิ้มเย็นชาเหล่ตาใส่ชายเคราครึ้มหนึ่งที “ถึงจะเหลือเชื่อแค่ไหน แต่ถ้าตัดความน่าจะเป็นอื่นๆ ออกไป ที่เหลือก็เป็นเรื่องจริง รอยเท้าเล็กขนาดนี้ คงไม่ใช่เด็กน้อยทิ้งไว้หรอกกระมัง”
“ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถึงข้าจะเห็นคนไม่ชัด แต่ข้ามั่นใจได้ว่าส่วนสูงของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เด็กแน่ๆ”
ชายเคราครึ้มพูดจบ เขาก็นิ่งไปพร้อมกับชายชุดคลุมยาวครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด “คิดไม่ถึงเลยว่าเรือจะล่มในท่อระบายน้ำ[2] ถูกสตรีคนหนึ่งเล่นงานเสียอย่างนั้น”
ชายชุดคลุมยาวยืนขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “สตรีที่พัวพันในยุทธภพได้ มักเป็นคนที่ใจกล้าและละเอียดอ่อนมาก”
“แต่ฝ่ายตรงข้ามมาหาเรื่องพวกเราโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ด้วยเหตุใด”
สายตาของชายชุดคลุมยาวพลันเปลี่ยนเป็นแหลมคมที่แฝงไว้ด้วยแรงฆ่า “ตอนแรกอาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงพวกเรา พอได้ยินบทสนทนาของเราและถูกเจ้าพบความเคลื่อนไหวเข้า…”
สีหน้าของชายเคราครึ้มพลันเปลี่ยน “ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ฝ่ายตรงข้ามได้ยินในสิ่งที่เราพูดกันแล้ว จะนำไปบอกกับองค์ชายเจ็ดหรือไม่”
“พูดยาก” ชายชุดคลุมยาวเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปที่ขอบศาลา พลางมองม่านฝนที่โปรยปรายลงมาด้วยสีหน้ามืดมน
ชายเคราครึ้มเดินเข้ามาใกล้ๆ “พูดยากอย่างไร”
“หากว่าฝ่ายตรงข้ามคือคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับองค์ชายเจ็ด ก็อาจจะไม่เสี่ยงย่ำโคลนนี้ แต่ก็ไม่กำจัดเรื่องที่ว่าฝ่ายตรงข้ามบังเอิญรู้จักกับองค์ชายเจ็ดออกไป หรือไม่ ก็เพื่อหาเงินสักก้อนหนึ่งด้วยการขายเรื่องนี้”
ชายเคราครึ้มลูบคลำนวดเคลา “หากเป็นเช่นนี้ คงแย่แล้วล่ะ แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกอันธพาลต่ำช้า โอกาสที่จะรู้จักกับองค์ชายเจ็ดคงเป็นไปได้ยากใช่หรือไม่”
ชายชุดคลุมยาวหัวเราะเย็นชาหนึ่งที “เจ้าลืมไปแล้วหรือ องค์ชายเจ็ดเนี่ยล่ะ ที่ชอบพัวพันกับพวกอันธพาลต่ำช้านัก”
ชายเคราครึ้มนิ่ง
สุดท้ายชายชุดคลุมยาวถอนหายใจยาว “ช่างเถอะ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ไว้ข้าสั่งให้คนคอยจับตาดูองค์ชายเจ็ดเอาไว้ ว่าเร็วๆ นี้เขาได้ติดต่อกับใครเป็นพิเศษหรือไม่ หากว่ามีการพบคนๆ นี้…”
แววตาของชายชุดคลุมยาวเย็นเยือกกว่าเดิม “ก็กำจัดนางเสียเลย!”
ชายเคราครึ้มพยักหน้า
“สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือนำตัวหญิงสาวที่มีใบหน้าคล้ายกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปให้องค์ชายเจ็ดโดยเร็ว” ชายชุดคลุมยาวยกเท้าขึ้นแล้วย่ำลงตรงรอยเท้าทูไปทูมาอยู่หลายที “ไปกันเถอะ!”
หลังเลยผ่านช่วงเวลาเที่ยงวัน ฝนก็หยุดตก ลมพัดเย็นช่ำพัดพาหมอกจางมายังวัดไป๋อวิ๋น กิ่งก้านและใบไม้แกว่งไกวด้วยหยดน้ำฝน บางครั้งในป่าจะมีเสียงนกร้องส่งมา แต่ไม่มีนกใดๆ บินผ่านไปในอากาศ วัดบนภูเขาดูเหมือนจะเงียบกว่าเดิมหลังฝนตก
ไม่นาน วัดไป๋อวิ๋นก็กลับมาคึกคักอีกครา
ผู้แสวงบุญที่ยังอยู่ในวัดเพราะฝนตกเริ่มเดินออกจากที่กำบังฝน บ้างก็ยังคงอ้อยอิ่งเดินอยู่ในวัด บ้างก็เตรียมตัวเดินทางกลับ ส่วนพระในวัดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
เจียงอียืนอยู่ใต้หลังคา ยืนฟังเสียงน้ำติ๋งๆ ที่หยดลงจากหลังคา นางเอียงศีรษะเอ่ยถามเจียงซื่อ “น้องสี่อยากไปที่ไหนอีกหรือไม่”
เจียงซื่อกวาดสายตาแล้วมองจูจื่ออวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ไม่แล้วเจ้าค่ะ กว่าฝนจะซาลงได้ ข้ารีบกลับเรือนดีกว่า ถ้าฝนตกอีกคงไม่ได้กลับง่ายๆ แล้ว”
เจียงอีแอบโล่งอก
นางไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน น้องสาวอยากกลับแล้วเช่นกัน แน่นอนว่าดีที่สุด
เจียงอีหันกลับไปเอ่ยถามจูจื่ออวี้ “ท่านพี่ ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับพร้อมกับน้องสี่เลยนะเจ้าคะ”
จูจื่ออวี้ขยับสายตาไปทางเจียงซื่อ
เมื่อเห็นเขาไม่เอ่ยคำใด เจียงซื่อจึงเอ่ยถามอย่างเปิดเผย “หรือว่าพี่เขยมีธุระอื่นเจ้าคะ”
จูจื่ออวี้ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเจียงซื่อจะเอ่ยถามตรงๆ เช่นนี้ เขาตะลึงก่อนแล้วจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ไม่มีธุระอะไร ตอนแรกข้าก็ตั้งใจพาพี่ใหญ่เจ้ามาไหว้พระ ถ้าเช่นนั้นก็กลับพร้อมกันเถิด”
——————————
[1] รองเท้าเซวีย รองเท้าบูท
[2] เรือจะล่มในท่อระบายน้ำ หมายถึง แผนที่เตรียมมาอย่างดีกลับทำพลาด