วัดไป๋อวิ๋นเป็นวัดขนาดใหญ่ที่มีควันธูปฟุ้งกระจาย ถูกสร้างขึ้นใกล้ภูเขา ด้านนอกประตูภูเขา มีการเปิดพื้นที่พิเศษขึ้นโดยเฉพาะเพื่อใช้เป็นที่จอดรถม้าของแขกผู้ที่มาถวายธูปเทียน
เจียงอีมองตามนิ้วของเจียงซื่อที่มีการชี้ไปยังรถม้าขนาดเล็กเตี้ยคันนึงที่เช่ามา นางปริปากเอ่ยชวน “น้องสี่นั่งรถคันเดียวกับข้าเถอะ”
เจียงซื่อมองหน้าจูจื่ออวี้ทันที
จูจื่ออวี้ยิ้มอ่อน แววตาแห่งความประหลาดใจหายไปในพริบตา
เจียงซื่อดึงสายตากลับมา นางเอ่ยถามพร้อมกับยิ้ม “แล้วพี่เขยล่ะเจ้าคะ”
เจียงอีเขินหน้าแดง รีบกล่าว “พี่เขยเจ้าขี่ม้ามาน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้ายังอยากคุยกับพี่ใหญ่อีกสักหน่อย” เจียงซื่อทำตามสิ่งที่เจียงอีกล่าว และตอบตกลงอย่างไม่เกรงใจ
เจียงซื่อจะนั่งรถม้าคันเดียวกับเจียงอี สาวรับใช้สามคนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ก็จะเบียดเกินไป เจียงซื่อจึงบอกให้อาจู อาหยาและอาหมานไปนั่งรถม้าที่เจียงซื่อเช่ามา
สองพี่น้องขึ้นรถม้าก่อนหลังเสร็จ เจียงซื่อกวาดสายตาหนึ่งที นางยิ้มและกล่าว “รถม้าของพี่ใหญ่นั่งสบายนะเจ้าคะ”
เจียงอียกมือขึ้นจัดผมเผ้าที่ตกลงมาของเจียงซื่อ มีทั้งความรู้สึกเอ็นดูและสงสัย “ข้าจำได้ว่าจวนปั๋วมีรถม้าอยู่สองคันมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงเช่ารถม้ามาเล่า”
เมื่อหวนนึกถึงตอนที่นางออกเรือน คนที่นางเป็นห่วงมากที่สุดก็คือน้องคนสุดท้อง
แม้ว่าท่านพ่อเอ็นดูน้องสี่ แต่ท่านพ่อก็เป็นบุรุษที่ไม่สามารถสนใจเรื่องภายในจวนได้ตลอดเวลา น้องรองเป็นบุรุษ ขอเพียงไม่ก่อเรื่องก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าเขาจะถูกเอาเปรียบ มีเพียงน้องสาวคนนี้ที่ไม่มีมารดาคอยปกป้อง และไม่มีพี่น้องคอยดูแล อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระในจวนใหญ่คงยากไม่น้อย
บางครั้งที่นึกถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจของเจียงอีก็จะบีบรัดแน่นขึ้น และกว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลานานมาก
เจียงซื่อยิ้มอธิบาย “บังเอิญเหมือนกันเจ้าค่ะ วันนี้อาสะใภ้รองกับอาสะใภ้สามใช้รถม้าต้องใช้รถม้า รถม้าในจวนไม่พอใช้ ข้าเลยให้คนไปเช่ามาคันนึงเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” แม้จะรู้สาเหตุแล้ว แต่เจียงอีก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ภายในใจ
หากท่านแม่ยังมีชีวิต ยามน้องจะออกไปข้างนอก จะไม่มีรถม้าใช้ได้อย่างไร แน่ล่ะ นางไม่ได้หมายความว่าจะแย่งรถม้ากับผู้อาวุโส เพียงแค่รู้สึกเอ็นดูสถานการณ์น้องคนเล็กเท่านั้น
เจียงซื่อมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่าง เห็นจูจื่ออวี้ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าใกล้ๆ รถม้า แผ่นหลังยืดตรงแต่แฝงความบอบบางเอาไว้ ในแววตาพลางมีความสงสัยเล็กๆ แล่นผ่าน จูจื่ออวี้เกิดในตระกูลที่มีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เขาเป็นเพียงคนเรียนหนังสือจริงๆ แม้ว่าคนเรียนหนังสือของต้าโจวต้องเรียนการขี่ม้าและการยิงธนูด้วย แต่ส่วนมากก็เป็นคนอ่อนแอ
สองสามีภรรยาออกมาด้านนอกด้วยกัน จูจื่ออวี้ไม่นั่งรถม้าคันเดียวกับพี่ใหญ่แต่เลือกขี่ม้าแทน ความสัมพันธ์ของเขากับพี่ใหญ่สนิทสนมใกล้ชิดกันมากตามที่พี่ใหญ่เข้าใจจริงๆ หรือ
เจียงซื่อรู้ว่าการมีความคิดเช่นนี้เป็นการจับผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่บางที ก็อาจเป็นเพราะภาพจำที่พี่ใหญ่ถูกกระทำเมื่อชาติก่อน นางถึงได้คอยจับผิดทุกฝีก้าวของจูจื่ออวี้
เจียงซื่ออดนึกถึงตัวเองไม่ได้
หลังจากที่นางแต่งงานกับอวี้ชี เมื่อใดที่เขาสองคนออกไปข้างนอก อวี้ชีก็ไม่เคยขี่ม้าอีกเลย เขาจะนั่งใกล้และคอยเบียดนางในรถม้าถึงจะพอใจ…
คิดไม่ถึงว่าความกล้าหาญและเหลวไหลของบุรุษคนนั้น จะทำให้เจียงซื่อหน้าแดงและรู้สึกร้อนผ่าว นางหลับตาลงสงบจิตใจ จากนั้นก็เอ่ยถามเจียงอีอย่างหยั่งเชิง “ทำไมพี่เขยไม่มานั่งในรถกับพี่ใหญ่เล่า ข้าว่าเวลาสองสามีภรรยาออกไปเที่ยวด้วยกันควรจะนั่งด้วยกันจึงจะดี”
เจียงอีงงงวยมองเจียงซื่อ แล้วจึงหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้ “น้องสี่มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
เจียงอียื่นมือไปจับเจียงซื่อเอาไว้ เพียงรู้สึกน่าขัรน “น้องโง่ของพี่ บุรุษกับสตรีจะตัวติดกันตลอดเวลาได้อย่างไรกันเล่า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางเริ่มแดง นางขยับเข้าไปใกล้หูของเจียงซื่อแล้วพูดเสียงต่ำ “สามีไปไหว้พระเป็นเพื่อนภรรยา ถ้ามีบางคนรู้เข้าอาจเอาไปพูดไม่ดีเสียด้วยซ้ำ”
แววตาแห่งความสุขและความเขินอายที่เจียงอีแสดงออกมาทำให้เจียงซื่อถอนหายใจเบาๆ พี่ใหญ่เมื่อชาติก่อนมีความสุขเพียงไหน หลังจากเกิดเรื่องนางก็มีความสิ้นหวังเพียงนั้น ไม่แปลกใจว่าเหตุใดถึงเลือกจบชีวิต
“พี่ใหญ่ อีกไม่กี่วัน ข้าไปเที่ยวหานะเจ้าคะ” เมื่อไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเจียงอีเคยช่วยชีวิตใครไว้ เจียงซื่อรู้สึกว่าเวลายิ่งกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ จึงได้ตัดสินใจไปหาถึงที่ด้วยตัวเอง บางทีอาจได้อะไรกลับมาบ้าง
“ได้สิ น้องสี่จะมาเมื่อไหร่ส่งคนไปบอกข้าก็พอ”
เส้นทางขากลับมีความลื่นเล็กน้อยเพราะฝนเพิ่งตก รถม้าจึงโยกไปโยกมาเล็กน้อย นั่งได้ไม่นาน สีหน้าของเจียงอีก็ซีดลงเรื่อยๆ
เจียงซื่อเห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วง จึงเอ่ยเบาๆ “วันนี้พี่ใหญ่ตากฝน กลับไปแล้วอย่าลืมดื่มน้ำขิงไล่ลมเย็นนะเจ้าคะ”
“น้องสี่ก็ด้วยนะ” เมื่อเริ่มห่างจากวัดไป๋อวิ๋นไกลขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในศาลาซึ่งนำพาความมืดมนมาสู่เจียงอีไม่ได้เลือนหายไป แต่กลับเหมือนมีก้อนหินก้อนหนึ่งกดทับลงไปที่อก เพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกหนักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ภายในรถม้าพลันเงียบลง และในเวลานี้ รถม้าที่ตามมาติดๆ กับรถม้าของจวนจูด้านหลังกลับคึกคักเป็นอย่างมาก
อาหมานเป็นคนอารมณ์ดี อาจูสาวรับใช้คนโตของเจียงอีก็เป็นคนคุยชอบยิ้ม ทั้งสองคนคนหนึ่งเอ่ยคนหนึ่งกล่าว ไม่นานก็คุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน
อาหยาที่นั่งอยู่ใกล้ประตูรถนั่งนิ่งตลอดทาง นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการรวบรวมความกล้าและเอ่ยถาม “พี่อาหมาน คุณหนูของพี่ปกติชอบทำสิ่งใดในเวลาว่างหรือ”
อาหมานฟังแล้วคิดไม่ตก
คุณหนูชอบทำสิ่งใดในเวลาว่าง? พอนึกดู ช่วงนี้คุณหนูดูเหมือนจะชอบเรื่องการฆ่าฟันลอบวางเพลิงที่สุด
เอ่อ เรื่องนี้พูดออกไปไม่ได้!
อาหมานทำให้ลำคอโล่ง แล้วจึงเอ่ยอย่างมั่นใจ “คุณหนูของข้าชอบปรุงเซียงลู่น่ะ”
นางไม่ได้พูดมั่ว ช่วงนี้คุณหนูปรุงเซียงลู่ออกมาหลายกลิ่นและได้ส่งไปขายที่ร้าน ได้ยินว่าได้รับความชื่นชอบจากบรรดาฮูหยินกับคุณหนูเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อาหมานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย ก็นั่นมันคุณหนูของนางเองนี่ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ทำได้ดีทุกอย่าง ฆ่าฟันจุดไฟเผาก็ทำได้เฉียบขาดปานนั้น ความสามารถในการปรุงเซียงลู่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่คนอื่นจะทำตามได้ยากเช่นกัน
ปรุงเซียงลู่? อาหยานึกถึงตอนที่เจียงซื่อหยิบหนอนขึ้นมาแกล้งนางอย่างไม่มีสีหน้ากลัวใดๆ นางจึงไม่เชื่อคำพูดของอาหมานแม้เพียงครึ่งคำ
สายตาอันดุร้ายของคุณหนูเจียงในตอนนั้นทำให้นางมั่นใจได้ว่า หากนางพูดสิ่งใดที่มากเกินไป ฝ่ายตรงข้ามจะต้องทำในสิ่งที่ลั่นวาจาไว้เป็นแน่ นางเคยได้ยินข่าวลือว่าเหล่าคุณหนูชนชั้นสูงหาความสุขด้วยการทรมานคน คุณหนูเจียงอาจเป็นคนแบบนั้น ถ้าเช่นนั้นสาวรับใช้ข้างกายของนางก็น่าสงสารมาก
สายตาแห่งความสงสารที่อาหยาแสดงออกมาทำให้อาหมานรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถาม “ทำไมเจ้ามองข้าอย่างนั้น”
อาหยาดึงสติกลับมา ยิ้มแห้งและตอบไป “การปรุงเซียงลู่ช่างเป็นความชอบที่เหมาะสมกับนางฟ้าอย่างคุณหนูเจียงจริงๆ”
อาหมานยิ้มอย่างสดใส “แน่นอน”
ที่จริงแล้ว นางรู้สึกว่าการฆ่าฟันลอบวางเพลิงก็เหมาะสมด้วยเหมือนกัน มันน่าตื่นเต้นกว่าปรุงเซียงลู่อีก
อาหยาตะลึงใจ เห็นไหมเล่า คำพูดของสาวรับใช้คนโตของคุณหนูเจียงมันฝืนแค่ไหน คงเอาไว้หลอกคนอื่นสินะ
สาวรับใช้คนเล็กขยับไปใกล้ประตูอย่างเงียบๆ และตั้งใจว่าจะปิดปากตัวเองให้เงียบสนิท
เวลานี้ เสียงม้าร้องพลันดังขึ้นทลายบรรยากาศและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในรถม้า
อาหมานมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นคนแรก นางเปิดม่านแล้วมองออกไป ก็เห็นรถม้าจวนจูที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากรถม้าของนางในตอนแรก พุ่งออกไปไกลราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยจากธนู และบนถนนก็เต็มไปด้วยความตกใจร้องลั่นของผู้คน
“คุณหนู!” อาหมานเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด นางออกมาจากรถม้าคิดจะกระโดดทันที
เหล่าฉินที่บังคับรถม้ากระโดดลงไปก่อนและเอ่ยอย่างเร่งรีบ “อาหมาน มาบังคับม้าแทนข้า”
หลังจากพูดเสร็จ เหล่าฉินวิ่งอย่างฉับไวไปยังข้างๆ จูจื่ออวี้ที่ตกใจอึ้งเหมือนคนโง่ แล้วดึงเขาลงจากหลังม้าอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็ขี่ม้าตรงไปยังรถม้าที่สูญเสียการควบคุม