ชั่ววินาทีที่รถม้าสูญเสียการควบคุม ปฏิกิริยาการตอบสนองของเจียงอีคือกอดเจียงซื่อเอาไว้ สองพี่น้องกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหนึ่งของรถม้าพร้อมกันและส่งเสียงตกใจออกมาเบาๆ
รถม้าโยกอย่างรุนแรงจนแทบนั่งไม่นิ่ง เจียงอีทนแรงกระแทกและเอ่ยถามเจียงซื่ออย่างเป็นห่วง “น้องสี่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เจียงซื่อที่ถูกเจียงอีกอดเอาไว้มีสีหน้าซีดมาก ชิ้นส่วนความทรงจำที่นับไม่ถ้วนผุดขึ้นในสมองเหมือนพลุที่แตกกระจาย
เมื่อชาติก่อน นางก็นั่งอยู่ในรถม้าเหมือนกัน และรถม้าก็เคลื่อนไปยังหน้าผา…
ความทรงจำที่เกี่ยวกับความตายถูกซ่อนไว้ในส่วนลึก ชั่ววินาทีที่ถูกกระตุ้น มันทำให้เนื้อตัวนางแข็งทื่อ จนลืมตอบสนองไปชั่วขณะ
เสียงเรียกที่ร้อนรุ่มของเจียงอีและเสียงลมพัด ซู่ว ที่ดังมาจากด้านนอกหน้าต่างทำให้เจียงซื่อได้สติ
อย่าตื่นตกใจ ถ้านางตื่นตกใจ ใครจะเป็นคนปกป้องพี่ใหญ่?
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร” เจียงซื่อยื่นมือจับส่วนนูนของรถม้าและพยายามเคลื่อนตัวไปยังประตูรถ
เจียงอีเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ เสียงที่พูดก็ยังเปลี่ยน “น้องสี่ เจ้าจะทำสิ่งใด”
“ข้าอยาก…รู้ว่า…เกิดสิ่ง…ใดขึ้น…” เสียงของเจียงซื่อขาดๆ หายๆ ตามการโยกไปโยกมาที่รุนแรงของรถม้า แต่การเคลื่อนตัวไปยังประตูยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด
เจียงอีออกแรงดึงข้อเท้าของเจียงซื่อเอาไว้ และเอ่ยอย่างร้อนใจ “น้องสี่ เจ้าอย่าก่อกวนไร้สาระเช่นนี้ ถ้าเจ้าตกจากรถม้าจะทำอย่างไร”
เจียงซื่อเห็นสถานการณ์ด้านนอกอย่างชัดเจนจากการเปิดออกของม่านที่ถูกลมพัด ม้าที่ดูอ่อนโยนเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระตุ้นมันจึงได้วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และคนขับรถม้าก็หายไปไม่เห็นแม้เงา คงถูกเหวี่ยงลงไปตั้งแต่มีเสียงดังขึ้น
หมายความว่า คนที่กำลังพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วตามแรงดึงนั้นมีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง
ลมพัดแรงมากจนเจียงซื่อแทบลืมตาไม่ขึ้น ภาพและสิ่งของทั้งสองข้างเลยผ่านไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกำลังหวนคืนสู่ฝันร้ายแบบเมื่อชาติก่อน เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้มีเจียงซื่อเพียงคนเดียว ในรถม้าที่สูญเสียการควบคุมยังมีเจียงอีอยู่เป็นเพื่อนนางด้วยอีกคน และเพราะความแตกต่างในข้อนี้ ทำให้เจียงซื่อที่กำลังเผชิญกับความน่ากลัว ไม่เพียงแต่ควบคุมสติไว้ได้ แต่ยังสงบนิ่งลงอีกด้วย
เรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือนางเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อนแล้ว ในตอนนั้น นางช่วยตัวเองไว้ไม่ได้ แต่ครั้งนี้นางจะไม่นอนนิ่งอีกต่อไป มือข้างหนึ่งของเจียงซื่อจับขอบประตู มืออีกหนึ่งข้างยื่นไปที่เอว จากนั้นก็หยิบของแหลมหนึ่งแท่งออกมาจากเหอเปา
ความเร็วเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นหนอนพิษกู่หรือผงยาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถใช้กับม้าที่ตกใจได้ ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือเข็มพิษที่เพิ่งใช้กับคนมีเคราครึ้มเมื่อไม่นานมานี้
ขอเพียงแค่ปลายเข็มทิ่มทะลุผิวม้า ยาพิษก็จะทำให้ม้ารู้สึกตัวชาไปทั้งตัวโดยใช้เวลาที่สั้นที่สุด แล้วความเร็วก็จะลดลง ถึงเวลานั้น จะเลือกกระโดดลงไปหรือช่วยเหลือตนเองด้วยวิธีอื่น ก็นับว่ามีตัวเลือกที่มากขึ้น
เพียงแต่ว่าม้ากับคนนั้นแตกต่างกัน การทิ่มให้ทะลุผิวหนังม้านั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือยังอยู่ในสถานการณ์ที่แทบจะบินอยู่เช่นนี้
เจียงซื่อจับเข็มและกัดปากแน่น สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปตกอยู่บนก้นม้าที่อยู่ด้านหน้า
เนื้อหนังตรงนั้นน่าจะนิ่มกว่า
ตอนนี้ นางพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเอ้อร์หนิวถึงชอบกัดตรงนั้น
เมื่อยืนยันเป้าหมายแล้ว เจียงซื่อจึงเริ่มคลานออกไป
เจียงอีที่อยู่ด้านหลังดึงขานางไว้เหนียวแน่น “น้องสี่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
“พี่ใหญ่ พี่จับรถไว้แน่นๆ ไม่ต้องสนใจข้า ข้ามีวิธีชะลอรถม้าลง”
แม้จะเป็นม้าที่กำลังตกใจกลัว อย่างไรเสียมันก็ดึงรถที่บรรทุกคนเอาไว้ ทั้งยังวิ่งอยู่บนถนนที่เป็นดินแฉะ ถึงจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็คงไม่เร็วปานสายฟ้าแลบ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เจียงซื่อมีความมั่นใจในการช่วยตัวเอง
“ไม่ได้นะน้องสี่ ถ้าข้าปล่อยมือ เจ้าจะตกลงไปได้” ตอนนี้เจียงอีก็ดื้อรั้น นางกอดขาเปลือยเปล่าของเจียงซื่อไว้แน่นไม่ยอมคลายมือออก
เจียงซื่อพลางรู้สึกเอือมระอา
นี่มันถ่วงแข้งถ่วงขากันนี่!
ผู้คนด้านหน้าต่างส่งเสียงกรีดร้องและเดินหลบ รถม้าก็เหมือนใกล้จะแยกออกจากกันเรื่อยๆ เจียงซื่อจึงเตรียมตัวจะสลัดเจียงอีออกด้วยการออกแรงสุดตัว จู่ๆ พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น “คุณหนู จับไว้แน่นๆ นะขอรับ!”
เหล่าฉินที่ขี่ม้าตามมาอย่างรวดเร็วพลันลอยตัวขึ้นกลางอากาศ เขากระโดดจากม้าที่ขี่และข้ามไปยังม้าที่ตกใจแทน ม้าตื่นตกใจพลันยกเท้าหน้าขึ้นต้องการสลัดคนที่อยู่ด้านหลัง รถม้าจึงโยกไปโยกมาในทันใด ดูเหมือนอันตรายมากกว่าเดิมเสียอีก
ชั่ววินาทีที่ได้ยินเสียงเหล่าฉิน เจียงซื่อหดตัวเข้าไปยังรถม้าทันที นางเอาตัวบังเจียงอีและเกาะด้านข้างไว้แน่น “พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัว เหล่าฉินต้องมีวิธีแน่ๆ พี่แค่จับไว้ให้แน่นระวังอย่าให้ถูกเหวี่ยงออกไป”
เจียงอีหน้าซีด นางพูดไม่ออกแม้คำเดียว รู้เพียงพยักหน้าไม่หยุด
รถม้าดูเหมือนจะช้าลง ภายใต้พลังและทักษะการควบคุมของเหล่าฉิน ม้าที่ตื่นตกใจเริ่มเชื่อฟัง
แต่ในเวลานี้ ตรงถนนด้านหน้าพลันมีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาแล้วยืนจ้องรถม้าที่กำลังวิ่งมาจนลืมตอบสนอง
เส้นเลือดบนหน้าผากของเหล่าฉินพลันปูดขึ้นจนเป็นสีเขียว เขาดึงให้ม้าเปลี่ยนทิศทางด้วยแรงที่มี ตอนที่เห็นว่าระยะห่างใกล้เด็กน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเงาร่างๆ หนึ่งพุ่งออกมากลางถนน โดยอุ้มเด็กน้อยขึ้นและกลิ้งอยู่หลายตลบจนไปถึงข้างถนน
หลังจากชั่ววินาทีนั้นผ่านไป เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดังสนั่น
รถม้าวิ่งไปข้างหน้าอีกหลายสิบจั้ง สุดท้ายก็หยุดลงอย่างช้าๆ
รถม้าทั้งคันดูเหมือนใกล้พังทลายและจอดนิ่งอยู่ข้างถนนอย่างน่าเวทนา เจียงอีออกจากรถม้าด้วยการช่วยพยุงจากเจียงซื่อ นางก้มตัวลงแล้วเริ่มอ้วก
“คุณหนู มิเป็นอะไรใช่หรือไม่” เหล่าฉินผูกม้าไว้กับต้นไม้ข้างถนนและเดินมาหา
แม้สีหน้าเจียงซื่อก็ดูแย่ไม่ต่าง แต่สตินับว่ายังนิ่งพอสมควร นางปัดมือและกล่าว “ข้ามิเป็นไร เหล่าฉิน เจ้าไปดูเด็กคนนั้นหน่อยว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เหล่าฉินพยักหน้าและเดินไปด้านหลัง
เจียงอีพักไปครู่หนึ่ง จึงเริ่มกล่าวพร้อมหน้าที่ซีด “น้องสี่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราไปดูเด็กคนนั้นกันเถอะ”
สองพี่น้องพยุงกันเดินไป คนที่ช่วยชีวิตเด็กเอาไว้กำลังตำหนิเหล่าฉินอย่างโมโห “นี่พวกเจ้าบังคับรถม้ากันอย่างไร ผู้คนเดินไปเดินมาเต็มถนนไม่พอ เกือบจะชนเด็กน้อยคนนี้แล้วด้วย”
เจียงซื่อเพิ่งเห็นว่าคนที่ช่วยชีวิตเด็กไว้คือหญิงวัยสาวคนหนึ่ง
นางต่างจากกุลสตรีทั่วๆ ไป หญิงสาวตรงหน้ารูปร่างสูงเพรียว สวมใส่ชุดแขนแคบเสื้อสั้นสีถั่วเขียว รองเท้าเซวียยาวหนึ่งคู่ และกางเกงที่สอดไว้ข้างในรองเท้า ทั้งชุดโดดเด่นด้วยคิ้วโก่งยาวสีดำเข้ม ชวนให้รู้สึกถึงความองอาจผ่าเผยและเฉียบขาดอย่างบอกไม่ถูก
“เด็กน้อยเป็นอะไรหรือไม่” เจียงซื่อเอ่ยถาม
หญิงสาวหันมาฝั่งเจียงซื่อพลางเห็นว่าหญิงผู้นี้มีใบหน้าสวย มีน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าที่เข้มขรึมก็พลางผ่อนคลายลง “โชคดีที่ไม่เป็นอะไร”
เจียงซื่อถอนหายใจโล่งอกพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่จริงใจ “ดีแล้ว โชคดีที่ได้แม่นางช่วยไว้เมื่อครู่นี้”
หญิงสาวกำลังจะพูดอะไร พลางมีสตรีคนหนึ่งที่ทำงานในทุ่งนาวิ่งมาอย่างร้อนใจ นางคว้าเด็กที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเอาไว้และร้องไห้ตาม
เจียงซื่อยื่นมือไปจับเหอเปาตรงเอว พลางรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
เหอเปาต้องบรรจุของจำนวนมาก จนไม่สามารถเหลือพื้นที่ให้กับเงินได้ แล้วเงินทั้งหมดก็เอาไปเก็บไว้ที่อาหมาน
“ท่านน้าเจ้าคะ ข้าขออภัยจริงๆ นี่คือค่ายารักษาของเด็กเจ้าค่ะ”
สตรีรับเงินจากเจียงอีพร้อมดึงเด็กขึ้นมากล่าวขอบใจ นางกลัวจะมีคนเห็นเงินวิบวับนี่ จึงได้อุ้มเด็กขึ้นมาแล้ววิ่งไปทันที นางทิ้งแม้กระทั่งเครื่องมือทำนา…
เจียงอีพาเจียงซื่อไปกล่าวขอบคุณหญิงสาวอีกครั้ง
หญิงสาวปัดมืออย่างไม่สนใจและเดินจากไป และในเวลานี้ ในกลุ่มฝูงชนที่ยืนดูความคึกคัก มีดวงตาอยู่สองคู่ได้จับจ้องไปยังหญิงสาว