ในกลุ่มฝูงชน ชายชุดยาวกับชายมีเคราสบตากันและกัน ต่างเกิดความรู้สึกประหลาดใจกับการพบเจอที่ไม่คาดคิดนี้ พวกเขาสันนิษฐานว่าคนที่แอบฟังอยู่ด้านหลังต้นไม้และโจมตีพวกเขา น่าจะเป็นสตรีอันธพาลคนหนึ่ง แล้วในตอนที่พวกเขากำลังหงุดหงิดใจกับการที่ไม่มีเบาะแสใด พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบบุคคลน่าสงสัยที่นี่
คนที่ชอบดูความคึกคักเป็นชีวิตจิตใจอาจไม่ทันสังเกต แต่เขาสองคนรู้ตั้งแต่วินาทีที่หญิงสาวพุ่งออกไปช่วยชีวิตเด็กแล้วว่านางเป็นคนที่มีวรยุทธ์ เมื่อดูจากทิศทางที่หญิงสาวเดินมา มันคือที่ตั้งของวัดไป๋อวิ๋นพอดี สตรีวัยสาวคนหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าเคยไปวัดไป๋อวิ๋น และยังมีวิชาอยู่ในตัว นี่ไม่ใช่คนที่ตรงตามเงื่อนไขที่สุดอีกหรือ
“ตามนางไป” ชายชุดยาวเอ่ยเสียงต่ำ
คนมีเคราพยักหน้าพร้อมกับจับไม้กระบองเหล็กตรงเอว แสงแห่งความดุร้ายพลันแล่นผ่านสายตา
กล้าสาดผงพริกใส่ตาเขา? กล้าทุบศีรษะเขาจนสลบ? หากในวันนี้เขาไม่ได้สั่งสอนนางคนนี้ให้ทำตัวดีๆ หลายปีมานี้เขาคงใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่ามาก!
เมื่อเห็นเพื่อนเดินไป ชายชุดยาวจึงไม่สนใจในความคึกคักที่อยู่ตรงหน้าอีก เขาจ้องมองเจียงซื่อหนึ่งทีแล้วจึงจากไปเงียบๆ คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วกับสตรีศักดิ์อาซังมีใบหน้าที่คล้ายกันมาก หากตรงหว่างคิ้วมีไฝสีแดงหนึ่งจุด แล้วตบแต่งเพิ่มอีกเสียหน่อย ก็เพียงพอที่จะมองของปลอมเป็นของจริงได้
เสียดายนัก ที่หญิงสาวคนตรงหน้าเกิดในจวนปั๋ว หากคนเป็นคนหนึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยจะต้องเกิดความปั่นป่วนโกลาหลขึ้นแน่ ต่อไปก็จะไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าองค์ชายเจ็ดอย่างเปิดเผยได้อีก หากว่าเป็นเช่นนี้ ถึงมีใบหน้าที่คล้ายกันแค่ไหนก็คงทำได้เพียงล้มเลิก มิสู้หญิงสาวในซ่องที่ควบคุมได้ง่ายกว่า
“อีเหนียง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” แล้วจูจื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็มาถึง
พอเห็นสีหน้ากังวลใจของจูจื่ออวี้ เจียงอีพลันรู้สึกขาอ่อน และเกือบร้องไห้
จูจื่ออวี้พุ่งเข้าไปคว้าตัวเจียงอีพร้อมกับเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
อาหมานวิ่งมากอดเจียงซื่อไว้อย่างร้อนใจ เสียงพูดสั่นระริก “คุณหนู บ่าวตกใจหมดเลย!”
เจียงซื่อตบๆ อาหมานให้นางคลายมือออก จากนั้นเดินไปหาม้าตื่นตกใจโดยไม่เอ่ยคำใด
ตอนนี้ม้าตื่นตกใจได้เงียบลงแล้ว มันยืนเรียบร้อยอยู่ใต้ต้นไม้ เม็ดเหงื่อไหลพรากดุจธารน้ำ กำลังส่ายหางกระสับกระส่ายไปมา ไม่มีความบ้าคลั่งเหมือนเมื่อสักครู่เลยสักนิด
อาหมานคว้าเจียงซื่อไว้อย่างรีบเร่ง “คุณหนู…”
“ไม่เป็นไร” เจียงซื่อเดินอ้อมม้าตื่นตกใจสองสามก้าว
เหล่าฉินเดินเข้ามา
“เหล่าฉิน เจ้าคิดว่าม้าตัวนี้เหตุใดถึงตื่นตกใจขึ้นมากะทันหัน”
เหล่าฉินเดินไปตรวจดูปากกับจมูกของม้า เขาขมวดคิ้วและตอบ “โดยปกติ ม้าที่ถูกฝึกมาแล้วตื่นตกใจกะทันหัน อาจเป็นเพราะมันกินของผิดปกติที่ผสมอยู่ในหญ้าและของสิ่งนั้นสามารถทำให้ม้าเกิดความบ้างคลั่งขึ้นมา และอาจเป็นเพราะมันรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมากะทันหัน หรือไม่ก็อาจตกใจกับสิ่งรบกวนจากภายนอกขอรับ ก่อนเริ่มเดินทางทุกอย่างยังเป็นปกติ ฉะนั้น สามารถตัดเรื่องการถูกรบกวนออกไปได้ เมื่อสักครู่ ข้าได้ตรวจดูแล้ว บนตัวม้าไม่มีบาดแผลภายนอก แต่มันรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่คงต้องว่ากันอีกที ส่วนหญ้าที่กิน ผิดปกติหรือไม่ จะต้องไปตรวจหญ้าที่เหลือก่อนถึงจะทราบขอรับ…”
“ตรวจดูเศษอาหารในกระเพาะของม้าก็รู้ได้เหมือนกันใช่หรือไม่”
เหล่าฉินตะลึงงันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูสถานการณ์อีกทีขอรับ หากว่าสิ่งผิดปกติที่ผสมกับหญ้ายังไม่ย่อย หมอที่มีประสบการณ์บางทีอาจหาสาเหตุเจอ แต่ทว่ามันย่อยสลายจนหมดแล้วคงยาก และหากว่าอยากใช้วิธีนี้หาสาเหตุที่แท้จริง ก็ต้องผ่าท้องของม้าออกขอรับ…”
เขาไม่ขมวดคิ้วเวลาฆ่าคน จะฆ่าม้าหนึ่งตัวก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือคุณหนูกลับนึกถึงวิธีนี้… เมื่อนึกถึงการแสดงออกที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ของเจียงซื่อเมื่อเขาบอกว่าเขาฆ่าคนเป็น เหล่าฉินก็เข้าใจทันที สตรีที่กล้ารับคนอย่างเขา แน่นนอว่าต้องเป็นคนที่แกร่งกว่าใคร
อาหยาที่เงี่ยหูฟังเงียบๆ มองดูเจียงซื่อพร้อมเผยอาการหวาดกลัวออกมา พลันเอามือปิดปากแน่นสนิท
เห็นหรือไม่ๆ คุณหนูเจียงจะชื่นชอบการปรุงน้ำหอมอย่างที่อาหมานพูดได้อย่างไร นี่ต่างหากที่เป็นความสามารถจริงๆ ของคุณหนูเจียง
อาหมานประหลาดใจไม่ต่าง แต่นางก็แสดงสีหน้าไม่สนใจออกมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าม้าตัวนี้เกือบทำให้คุณหนูของนางเกิดอุบัติเหตุ หากถูกผ่าท้อง ก็สมควรแล้วล่ะ
เจียงซื่อเพียงวิเคราะห์ตามสถานการณ์ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของทั้งสามคนนางก็เข้าใจทันทีว่าทั้งสามเข้าใจผิด แต่นางรู้สึกพอใจใบหน้าที่ตะลึงตกใจของอาหยาเป็นอย่างมาก นางจึงไม่คิดแก้ต่างใดๆ และยังเอ่ยถามต่อ “แล้วถ้าตรวจดูอุจาระของม้าล่ะ”
เหล่าฉินถึงกับตะลึงตอบไม่ถูก เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยตอบ “พูดยากขอรับ สิ่งผิดปกติบางอย่างไม่มีพิษ มันเพียงแค่เกิดผลขึ้นกับม้าพอดี ถ้าเช่นนั้นอุจาระของม้าก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้ขอรับ”
“เป็นเช่นนี้หรือ…” เจียงซื่อก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วยกมือขึ้นกดรอบๆ ก้นของม้า
ทั้งสามคนที่เห็นท่าทีของนางพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นในทันใด
พวกเขาไร้เดียงสามากไปแล้ว เมื่อครู่นี้ที่คุณหนูคิดจะผ่าท้องของม้าเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อยมาก การจับก้นม้าด้วยหน้านิ่งๆ นี่สิถึงน่าตกใจ! อย่าบอกนะว่าคุณหนูกำลังดันให้ม้ารีบถ่ายอุจจาระ… เมื่อนึกถึงภาพๆ นั้น ทั้งสามคนพลันขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน
เจียงซื่อไม่สนใจความคิดคนรอบข้างอยู่แล้ว นางลูบก้นของม้าอย่างใจจดใจจ่อ ม้าตื่นตกใจเหมือนไม่เคยพบไม่เคยเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ในตอนแรกยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจนกระทั่งคุณหนูลูบจับเป็นเวลานานมาก จู่ๆ มันก็ยกขาหลังขึ้นมา อาหมานตกใจมาก นางคว้าเจียงซื่อแล้วถอยหลังทันที ม้าตื่นตกใจเตะขาหลังอยู่หลายที ไม่นานนักมันก็เงียบสงบลง
จูจื่ออวี้พยุงเจียงอีเดินเข้ามา พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “น้องสี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เจียงซื่อมองจูจื่ออวี้ ขนตาพลางสั่นเล็กน้อย น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่ทำให้คนเดาไม่ถูก “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของจูจื่ออวี้แสดงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ราวกับเอ็นดูเจียงซื่อเหมือนน้องสาวของเขาเองปานนั้น “ม้าตัวนี้ตื่นตกใจ เดาอารมณ์ยาก น้องสี่อย่าเข้าใกล้มันอีกเลย”
เจียงอีพูดตาม “ใช่ น้องสี่ เมื่อครู่นี้ที่เจ้าเข้าใกล้ม้า มันอันตรายมาก”
เจียงซื่อยิ้ม “พี่เขยพูดถูก ม้าที่ตื่นตกใจนั้นอันตรายมาก เมื่อตอนที่ข้ากับพี่ใหญ่นั่งอยู่ในรถม้า ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าฉินมาช่วยทันเวลา แต่รอให้รถม้าพุ่งชนต้นไม้หรือผู้คนบนถนนจนพลิกคว่ำ ข้าไม่กล้าพูดเลยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น”
เจียงอีนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดเมื่อครู่นี้พลางรู้สึกตัวสั่นอย่างหยุดไม่ได้ หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับน้องสี่ นางจะรายงานต่อท่านพ่ออย่างไร แล้วถ้าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง เยียนเยียนยังเด็กมาก ถ้าไม่มีแม่จะทำอย่างไร เจียงอีเพียงแค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ความกลัวต่างๆ ก็กระโจนเข้ามาเหมือนคลื่นทะเลซัด มันน่ากลัวยิ่งกว่าการที่รถม้าสูญเสียการควบคุมเสียอีก
เจียงซื่อมองดูรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ด้านข้าหนึ่งที จากนั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามจูจื่ออวี้ “พี่เขยเจ้าคะ คนขับรถม้าล่ะเจ้าคะ”
จูจื่ออวี้กวาดสายตาไปด้านข้างหนึ่งที ชายแข็งแกร่งอายุราวๆ สี่สิบคนหนึ่งเดินออกมาคุกเข่าต่อหน้าจูจื่ออวี้พร้อมกับร้องขออภัย “ข้าน้อยสมควรตาย ตอนนั้นข้าถูกเหวี่ยงลงไปกะทันหัน จนไม่ได้ปกป้องฮูหยินกับคุณหนู…”
เจียงซื่อมองคนขับรถม้าของจวนจูที่กำลังยอมรับความผิดอย่างเย็นชาและไม่ได้ตอบสนองใดๆ
เจียงอีเป็นคนใจอ่อน นางถอนหายใจและกล่าว “เอาล่ะ อุบัติเหตุเช่นนี้ก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะคาดเดาได้…”
จูจื่ออวี้มองเจียงซื่อด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ถึงแม้คนขับรถม้ากระทำความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ละเลยในหน้าที่ น้องสี่วางใจได้ พี่เขยจะลงโทษเขาอย่างหนัก เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะข้าเองที่วางแผนไม่ดี ไว้ข้าไปขอรับการอภัยจากท่านพ่อตาด้วยตัวเองที่จวนนะ…”
เจียงซื่อฟังจูจื่ออวี้พูดจนจบด้วยใบหน้าที่ไร้สีหน้าใดๆ จากนั้น นางยิ้มเย็นเยือกให้เขาหนึ่งที “พี่เขยควรไปขอรับการอภัยจากท่านพ่อจริงๆ เจ้าค่ะ”