บทที่ 268 ลูกธนูสามดอกอันแหลมคม

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 268 ลูกธนูสามดอกอันแหลมคม

เทพธิดาที่กล้าเถียงแม้แต่กับเสด็จพ่อ ตอนนี้ที่ได้พูดกับเขา ดูเหมือนว่าจะมีความจองหองไม่เท่าแต่ก่อนแล้ว……

นี่ไม่ได้ชี้ให้เห็นแล้วรึว่า ความประทับใจของเทพธิดาที่มีต่อเขามันเยอะกว่าความประทับใจที่มีต่อเสด็จพ่ออยู่มากโข?

เมื่อได้รู้เช่นนี้ ใจของเขาก็มีชีวิตชีวา

“ตามข้ามา ฮึ่ยย่ะ……”

ไม่นานนัก หลานเยาเยาก็ตามเย่หลีเฉินมาถึงทางทิศใต้ของเขตล่าสัตว์

ชัดเลยว่าเย่หลีเฉินไม่ใช่คนแรกที่รู้ว่าทางทิศใต้ของเขตล่าสัตว์จะมีเหยื่อให้ล่าเยอะ ดังนั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่แห่งนี้ก็เจอผู้คนมากมายมาประดังกันอยู่

เมื่อพวกเขาเห็นรัชทายาทพาเทพธิดามา

แต่ละคนก็ประหม่ากันขึ้นมา

“ข้าไปล่ะ เทพธิดามาแล้ว ทุกๆคนอย่าได้ชักช้าลีลา หากรอช้าเทพธิดาจะสอยไปหมดพอดี”

ไม่รู้ว่าผู้ใดพูดออกมา

ผู้เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์เหล่านั้น ก็กรูไปกันหมด

หลานเยาเยา:“……”

นางปราดเปรื่องปานนั้นเชียวรึ?

ไม่ขนาดนั้นมั้ง!

ก็แค่ขี่ม้าเร็วหน่อย ยิงธนูแม่นหน่อยก็เท่านั้นเอง!

ก็ไม่น่าจะทำให้พวกเขาเกรงกลัวกันขนาดนี้มั้ง?

เมื่อเห็นเทพธิดาดูหมดคำพูด เย่หลีเฉินจึงยกมุมปาก

“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก แม้พวกเขาจะได้เห็นเหยื่อก่อน ก็ใช่ว่าพวกเขาจะยิงโดน เทพธิดา ท่านน่ะปราดเปรื่อง ไม่แน่เสด็จอาอาจแพ้พ่ายให้แก่ท่านก็เป็นได้”

เย่หลีเฉินคาดหวังอย่างมากว่าผู้ชนะในครั้งนี้จะเป็นนาง

ประการแรก คือหวังให้นางชนะจริงๆ

ประการที่สอง เขาอยากจะเห็นมากๆว่าเสด็จอาผู้แพ้การแข่งขันจะมีท่าทีเช่นไร?

เขาล่ะอยากเห็นทีท่าของเสด็จอาที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้จริงๆเลย!

“แพ้งั้นรึ? ก็ไม่แน่ ทักษะการยิงธนูของอ๋องเย่นั้นดีกว่าข้าอยู่บ้าง”

หลานเยาเยาก็แค่พูดตามความเป็นจริง

ทักษะการยิงธนูของเย่แจ๋หยิ่งนั้นเก่งกาจอย่างถ่องแท้ ไม่งั้นเขาจะใช้เวลาอันสั้น ล่าเหยื่อจนตามนางทันอย่างไร?

“ท่านดูจะรู้จักเสด็จอาดีเสียจริง”

“แม้ข้าจะเดินทางท่องไปหลายที่หลายทาง แต่หาได้ปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดไม่ อ๋องเย่ผู้เป็นอ๋องเทพสงครามแห่งประเทศก่วงส้า ข้าเองก็ได้ยินวีรกรรมของเขามาบ้าง”

อีกทั้ง!

ในเขตล่าสัตว์เมื่อครู่ ก็ได้พบกับอ๋องเย่อยู่หลายครา ได้เห็นทักษะการยิงธนูของเขา ก็ดีกว่าข้าอยู่บ้างจริงๆ”

นางหาได้กลัวเย่หลีเฉินเคลือบแคลงสิ่งใดไม่

เพราะในท้ายที่สุด!

ชื่อเสียงและวีรกรรมของเย่แจ๋หยิ่ง ทั่วโลกเขาต่างรู้กันหมด การที่นางรู้ก็เป็นเรื่องปกติ

หลังได้ยินนางตอบ

เย่หลีเฉินก็พยักหน้าเข้าใจ

จากนั้นพวกเขาสองคนก็ไปล่าสัตว์ด้วยกัน สิ่งที่ทำให้หลานเยาเยาประหลาดใจคือ ทักษะการยิงธนูของเย่หลีเฉินก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน

“องค์ชายรัชทายาท ทักษะการยิงธนูของท่านก็ไม่เลวนี่”

หรือว่าเย่หลีเฉินจะซ่อนความแข็งแกร่งของตนมาตลอด?

“เทพธิดาก็ว่าไป!”

เย่หลีเฉินคำนับเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววโดดเด่นแปลกตา

หลังจากเห็นเทพธิดาดูไม่ได้ใส่ใจนัก เขาก็แอบโล่งใจไปเปาะนึง

ไม่คิดเลยว่า จะแสดงทักษะการยิงธนูออกมาโดยไม่รู้ตัว

หากเสด็จพ่อรู้เข้า เดาว่าคงจะไม่ได้มีสีหน้าที่ยินดีปรีดาเป็นแน่

เพียงแต่ว่า……

ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกหมองหม่นอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เย้ยหยันตนเอง

ใช่แล้วล่ะ ไม่ว่าทักษะการยิงธนูของเขาจะดีหรือไม่ดี แล้วเทพธิดาจะมาอะไรด้วย?

ทันใดนั้น!

เสียง “ฟิ้ว”

ลูกธนูอันแหลมคมที่เย็นยะเยือกพุ่งผ่านอากาศมา โดยเป้าหมายคือหลานเยาเยา ทั้งยังมุ่งมาที่หัวใจของนางอีกด้วย

ท่าทีของเย่หลีเฉินแปรเปลี่ยนไป หลังตะโกนลั่นว่า “ระวัง” ก็มีปฏิกิริยาอันรวดเร็ว เหาะไปทางเทพธิดาในทันที

หลานเยาเยาไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

นางรู้อยู่แล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป ในช่วงที่ลูกธนูอันแหลมคมพุ่งมา นางก็คิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร

ผู้ใดจะรู้ได้……

ว่าเย่หลีเฉินจะกระโจนเข้ามา เหวี่ยงนางลงจากหลังม้า

แม้ว่าวิธีนี้จะหลบลูกธนูอันแหลมคมได้ แต่ภาพลักษณ์ของนางดูจะย่ำแย่ไปหน่อย

โชคดีว่าตอนที่ยังตกไม่ถึงพื้น เย่หลีเฉินก็ได้หมุมโลกทั้งใบอย่างรวดเร็ว โดยใช้ตัวของเขาเป็นที่รองรับ

ซึ่งมันช่วยรักษาภาพลักษณ์ของนางไว้

ดังนั้นหลังจากตกลงถึงพื้น นางจึงไม่ได้ตกโดนพื้น แต่จบลงอยู่ในอ้อมกอดของเย่หลีเฉิน

นางถึงขนาดได้ยิน เสียงหัวใจของเย่หลีเฉินที่เต้นระรัว ทั้งยังได้ยินเสียงฮึดฮัดอยู่เหนือหัวนาง เดาว่าคงจะกระแทกแรงไม่เบา

เพียงแต่ว่า……

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคงโอบกอดนางไว้แน่นอยู่ในอ้อมแขน

“ฟิ้ว……”

“ฟิ้ว……”

ลูกธนูอันแหลมคมที่เย็นยะเยือกอีกสองลูกพุ่งมา

หลานเยาเยาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือใช้กำลังภายในทำลายลูกธนูอันแหลมคม

แต่ในไม่ช้า นางก็พบว่ามันไม่ง่าย

ลูกธนูอันแหลมคมที่ยิงมานั้นถูกอัดฉีดด้วยกำลังภายใน และคนที่ซุ่มยิงธนูจะต้องมีกำลังภายในอันสูงส่ง แม้แต่ตอนที่นางใช้กำลังภายในปัดลูกธนูอันแหลมคม ก็ถึงกับชาไปทั้งแขน

ตั้งแต่ที่นางแอบมีกำลังภายในมา

ก็น้อยครั้งมากที่จะเห็นคนที่มีกำลังภายในมากกว่านาง และในตอนนี้ นางกล้ารับประกันเลยว่า ผู้ที่ซุ่มโจมตีนางต้องมีกำลังภายในที่ไม่ด้อยไปกว่านางเป็นแน่

ดวงตากลมโตที่ดำขลับของหลานเยาเยาหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็มองอย่างระวังไปทางต้นตอที่ลูกธนูอันแหลมคมพุ่งมา

คิดไว้แล้วว่า คงจะมีการลอบสังหารที่ปะทะกันอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

แต่ที่แปลกคือ

คนที่ซุ่มโจมตีนาง หลังยิงลูกธนูอันแหลมคมออกมาสามดอก อยู่ๆกลิ่นอายของความอันตรายก็จางหายไป

จากนั้น ก็ไม่มีลูกธนูอันแหลมคมยิงมาแล้ว

สรุปเลยว่า การลอบสังหารอันลึกลับครั้งนี้ ก็จางไปอย่างลึกลับเช่นกัน

เมื่อเย่หลีเฉินลุกขึ้น ก็รีบมาอยู่ข้างๆนาง คุ้มกันอยู่ข้างตัวนาง

ครู่ต่อมา!

เมื่อเห็นว่ามิมีอันตรายใดๆแล้ว เขาก็หันตัวไปขึ้นหลังม้าในทันใด ด้วยใบหน้าที่หมองหม่นมิเปลี่ยนแปลง

ในเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์แท้ๆ ยังเกิดขึ้นได้กลางวันแซกๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีการลอบสังหารเช่นนี้

อีกทั้ง!

เป้าหมายของการลอบสังหารก็เป็นเทพธิดาที่เพิ่งจะมาเยือนเมืองหลวง

“มีอย่างที่ไหน ใต้ฝ่าพระบาทแท้ๆ ยังกล้าลอบสังหารกันกลางวันแสกๆ ข้าจักต้องนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

เทพธิดาจงวางใจ เดี๋ยวข้าจะรีบให้องครักษ์สืบสาวราวเรื่องผู้ที่ลอบสังหารให้จงได้”

ผู้ใดจะรู้ได้……

ว่าจะถูกหลานเยาเยาขวางไว้

“ไม่จำเป็น ผู้ที่ลอบสังหารกล้าลอบสังหารกลางเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ ก็ต้องรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี และนอกจากลูกธนูสามดอกที่ยิงมา พวกเราหาได้เห็นหน้าคร่าตาของผู้ลอบสังหารไม่ แล้วจักสืบรู้ได้อย่างไร?”

จะว่าไปแล้ว

วันนี้ในช่วงที่นางหาที่แอบกินน่องไก่ พวกชายชุดดำเหล่านั้นที่เจอเข้าก็ยังไม่ปรากฏตัวกันเลยนี่

เดาว่าการลอบสังหารคงยังไม่จบลง

เมื่อเห็นนางพูดแบบส่งเดช กับท่าทีที่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

เย่หลีเฉินก็รู้สึกถึงความใจเย็นอันนิ่งสงบของนางในทันที

ราวกับว่าการลอบสังหารเช่นนี้ นางชินชาไปนานแล้ว

เช่นนั้นในแววตาของนางจึงไม่มีความปั่นป่วนเลยแม้แต่น้อย

แต่!

เขาจะปล่อยมันไปไม่ได้

นี่เป็นการสร้างความอัปยศอดสูแก่คนในราชวงศ์!

“เทพธิดาไม่ต้องกังวล ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าผู้ลอบสังหารชัดเจนนัก แต่การลอบสังหารเทพธิดานั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่สามารถปล่อยมันไปได้ ข้าจะตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าจะตรวจสอบให้ท่านเอง”

ที่เทพธิดาพูดก็มีเหตุผล

ในเมื่อไม่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของผู้ลอบสังหาร การสืบสาวราวเรื่องเช่นนี้ เป็นดั่งการงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ

แต่

ผู้ที่มีความสามารถทำเรื่องเช่นนี้ก็มีไม่มากนัก

เช่นนั้นการที่จะตรวจสอบก็ไม่ได้อยากจนเกินกำลัง

“ก็ดี!”

เขารักการตรวจสอบนักก็ตรวจสอบไป ยังไงเสียก็ไม่ได้มีผลต่อนางมากมาย

เพียงแต่ว่า……

เมื่อครู่ที่เขาเหวี่ยงตัวนางลงจากม้านั้นจริงจังมากเลยสินะ?

ก็แจ่มแจ้งอยู่ว่าเป็นการกระทำที่ทั้งหล่อเหลาและอบอุ่นหัวใจ แต่เหตุใดนางถึงไม่สัมผัสถึงมันเลยล่ะ?

กลับรู้สึกน่าขันแทน……

ใช่สิ!

ก็น่าขันนั่นแหล่ะ!

เป็นไปได้ไหมว่าที่เย่หลีเฉินเคยทำกับนางไว้จะมากเกินไป หรือว่าตัวนางเองจะไม่มุ่งทางโลกจริงๆ?