บทที่ 265 มีไข้จริงๆ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เป็นไข้?

ได้ยินสองคำนี้ สายตานัทธีก็เกร็งขึ้นทันที รีบยื่นมือไปแตะหน้าผากของวารุณี

จากที่แตะนี้ ก็มีไข้จริงๆ

หน้าผากของเธอร้อนมาก หน้าก็แดงมาก ชัดเจนว่าตอนที่รอเขานั้นถูกลมพัดใส่

“คุณผู้ชาย คุณวารุณีเป็นอะไรคะ?”ป้าส้มถามอย่างเป็นห่วง

นัทธีเอามือคืนกลับมา น้ำเสียงหม่นลงอย่างชัดเจน“มีไข้ครับ”

“ใช่จริงๆด้วย!”ป้าส้มถอนหายใจ

นัทธีก้มเอวแล้วอุ้มวารุณีออกมาจากรถ เดินไปที่ประตูคฤหาสน์

ป้าส้มตามไปติดๆ กางร่มให้ทั้งสอง

หลังจากเข้าไปคฤหาสน์แล้ว นัทธีก็อุ้มวารุณีมาที่ห้องนอนชั้นสาม ซึ่งก็คือเตียงนอนของห้องตัวเขาเอง จากนั้นหันกลับไปกำชับป้าส้มที่เข้ามาด้วยกันว่า“ป้าเรียกหมอมาทันทีเลยนะครับ”

“ค่ะ”ป้าส้มพยักหน้า หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อหมอทันที

นัทธีก็ไม่อยู่ว่างๆ หยิบเสื้อผ้าที่สะอาดออกมาจากห้องเสื้อผ้าของตัวเอง เปลี่ยนให้วารุณี

จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำเพื่อบิดผ้าขนหนูหมาดๆออกมา ประคบไปที่หน้าผากของวารุณี

ทำพวกนี้เสร็จ หมอก็มาถึง

นัทธียืนอยู่ข้างเตียง ตามองหมอตรวจและรักษาตัวให้วารุณีอย่างตั้งใจ

“เธอเป็นไงบ้างครับ?”นัทธีกำมือทั้งสองข้างแน่นแล้วถาม

หมอเปิดกล่องยามา“เธอไม่เป็นไร แค่มีไข้ธรรมดา บวกกับช่วงนี้เหนื่อยมาก แล้วก็โดนลมเย็นโกรกใส่ เมื่อความเย็นเข้าไปในร่างกายก็จะทรุดลงทันที ฉีดยาเข็มหนึ่งพักสักคืนก็ดีแล้วครับ”

ได้ยินคำนี้ หัวใจที่เกร็งแน่นของนัทธีก็ผ่อนคลายลงมา แม้แต่ฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำไว้ก็คลายออก

จากนั้น หมอก็ฉีดยาให้วารุณีเสร็จ ขอตัวลา

นัทธีจึงมีเวลาไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำ

พอเขาอาบน้ำเสร็จ ตอนที่สวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำ เช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ป้าส้มก็ถือของสีดำๆชามหนึ่งมาพอดี ผลักประตูเข้ามา“คุณผู้ชาย นี่คือน้ำขิงค่ะ คุณก็ดื่มสักชามนะคะ ขับความเย็นออก จะได้ไม่เป็นหวัด”

นัทธีมองน้ำขิงชามนั้นที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกขึ้นจมูก ถึงแม้ในใจจะปฏิเสธ แต่กลับไม่ปฏิเสธออกไป เอาผ้าขนหนูพาดไว้ที่คอ มือข้างหนึ่งรับชามมา ขมวดคิ้วแล้วดื่มน้ำขิงรวดเดียวจบ

พอดื่มเสร็จ เขาก็ยื่นไปให้อย่างหน้าหมองหม่น“อารัณกับไอริณล่ะครับ?”

“พวกเขาหลับแล้วค่ะ”ป้าส้มรับชามเปล่ามาแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

นัทธีตอบอือ“ดึกมากแล้ว ป้าส้มก็กลับไปพักผ่อนเถอะครับ”

“ค่ะ งั้นคุณผู้ชายก็รีบนอนนะคะ”ป้าส้มพยักหน้า หันกลับออกไป

นัทธีปิดประตูห้อง ดึงผ้าขนหนูบนคอลงมา แล้วเช็ดผมต่อจากเมื่อกี๊ให้เสร็จ จนเช็ดผมจนแห้งแล้ว เขาก็เอาผ้าขนหนูทิ้งลงไปที่โซฟา ไปที่ข้างเตียงแล้วเปิดผ้าห่มออกนอนลงไป นอนกอดวารุณี

เช้าวันถัดมา

นัทธีตื่นมาตอนแรก ก็หันข้างตรวจดูอาการของวารุณี แตะไปที่หน้าผากของเธอ ดูว่าไข้ของเธอลดหรือยัง

หลังจากแตะหน้าผากของเธอว่าไม่ร้อนแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงจูบไปที่หน้าเธอ ลงไปจากเตียงแล้วอาบน้ำ จากนั้นเปลี่ยนชุดออกไปจากห้องแล้วลงไป

“คุณพ่อ”ห้องรับแขกที่ชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ เด็กทั้งสองคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา เห็นนัทธีลงมา ก็ทักทายเสียงหวานทันที

นัทธีตอบกลับด้วยสายตาที่อ่อนโยน เดินไปถามเด็กทั้งสองคนว่า“ย้ายมาอยู่นี่ ชินยัง?”

“ชินแล้วครับ”อารัณพยักหน้าก่อน

ไอริณก็ไม่ยอมน้อยหน้า แกว่งแขนเล็กๆทั้งสองข้างแล้วพูดว่า“พ่อคะ ไอริณชอบที่นี่มากเลย ห้องใหญ่มาก แล้วก็ยังมีตุ๊กตาตั้งเยอะ”

เห็นยัยเด็กสาวตัวน้อยดูน่ารัก นัทธีก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบผมของเธอ“ชอบก็ดี ถ้าขาดอะไรตรงไหน บอกคุณยายส้มนะ ให้ยายส้มไปเตรียมให้พวกลูก”

“ได้หมดเลยเหรอครับ?”อารัณถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

นัทธีมองไปที่เขา“แค่ไม่ผิดกฎหมาย ก็ได้หมด”

จากความสามารถของเขาแล้ว แค่เด็กสองคนนี้ต้องการ เขาก็ทำให้ได้หมด

อารัณยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น“พ่อครับ ผมอยากได้ห้องอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง และก็หนังสือเยอะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์”

“คอมพิวเตอร์?”นัทธีเลิกคิ้ว“ลูกอ่านรู้เรื่องเหรอ?”

“อ่านรู้เรื่องค่ะ พี่เก่งมาก”ไอริณพยักหน้าเล็กๆตอบไป“พี่เล่นคอมพิวเตอร์ได้ หม่ามี๊ยังบอกว่าพี่เป็นแฮกเกอร์……อะไรนั่นด้วย?ใช่แฮกเกอร์ไหมพี่?”

เธอหันไปมองอารัณ

อารัณตอบอือ“ใช่!”

ถึงแม้หม่ามี๊สั่งให้พวกเขาไม่ต้องไปบอกใคร เรื่องที่เขารู้วิธีแฮ็ก

แต่เขาคิดว่า จากระดับความฉลาดของคุณอานัทธีแล้ว ไม่นานก็ต้องรู้ งั้นก็สู้บอกไปเลยดีกว่า

“ลูกรู้วิธีแฮ็กเหรอ?”รูม่านตาของนัทธีสั่นคลอน รู้สึกตกใจ

เขารู้นานแล้วว่าเด็กคนนี้มีไอคิวสูงมาก ไกลเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะยังประเมินเด็กคนนี้ต่ำไป เด็กคนนี้ดันมีความสามารถนี้อยู่ด้วย

แปลกจัง ในใจของนัทธีรู้สึกภูมิใจขึ้นมา

“โอเค ห้องอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์ แล้วก็หนังสือด้านคอมพิวเตอร์ พ่อจะให้คนไปเตรียมให้ เสร็จช้าที่สุดก็พรุ่งนี้”นัทธีเก็บความช็อกไว้ในใจ มองอารัณแล้วพูด

อารัณกระโดดลงโซฟาอย่างดีใจ วิ่งไปตรงหน้าเขา“พ่อครับ นั่งยองลงมาสิ”

“ทำไมเหรอ?”ถึงปากนัทธีจะถามแบบนี้ แต่ที่ตัวกลับนั่งยองลงมาอย่างไม่ลังเล

อารัณยื่นมือเล็กๆทั้งสองข้างออกไป จับใบหน้าของนัทธี แล้วจูบไปที่หน้าของเขา“ขอบคุณครับพ่อ”

“หนูก็ด้วยค่ะ!”ไอริณเห็นแบบนี้ ก็วิ่งไปตรงหน้านัทธี เบียดอารัณออก แล้วจูบไปที่หน้าของนัทธีอีกข้าง

นัทธีตะลึงก่อน หลังจากได้สติคืนมา ก็มองลูกชายลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าใจของตัวเอง อ่อนลงทันที

จนเขายังคิดว่า แค่เด็กสองคนนี้พูดมา ถึงจะเอาดาวบนท้องฟ้า เขาก็เด็ดลงมาให้พวกเขาได้

“พวกคุณทำอะไรกันอยู่เหรอ?”จู่ๆ เสียงของวารุณีก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของสามพ่อลูก

นัทธียืนขึ้นมา มือแต่ละข้างจูงมือเด็กละคนแล้วหันหน้าไปมอง

วารุณีสวมเดรสยาวลูกไม้สีขาว ด้านนอกคือสูทสีดำตัวเล็ก กำลังจับราวบันได ลงมาจากบันได

นัทธีหันสีหน้าเธอยังซีดขาว จิตวิญญาณยังไม่พร้อม ก็ปล่อยมือของเด็กทั้งสองคน เดินไปประคองเธอ“ช้าๆหน่อย เดี๋ยวล้ม”

“อือ”เผชิญหน้ากับความใส่ใจของเขา ในใจวารุณีรู้สึกอบอุ่น พยักหน้ายิ้มๆ

นัทธีประคองวารุณีลงมา มาที่หน้าโซฟา ให้เธอนั่งลง

เด็กทั้งสองคนปีนขึ้นโซฟาซ้ายคนขวาคน นั่งอยู่ข้างๆเธอ

อารัณขมวดคิ้ว มองวารุณีอย่างเป็นห่วง“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปครับ?”

“ใช่ค่ะหม่ามี๊”ไอริณก็กะพริบตาถาม

เธอใสซื่อแค่ไหน ไม่ฉลาดเท่าอารัณแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็มองออกว่า สภาพของหม่ามี๊ตัวเองไม่ค่อยดี

นัทธีเทน้ำอุ่นให้วารุณี

วารุณียิ้มให้เขา ยื่นมือไปรับมา แล้วจึงตอบคำถามของลูกทั้งสองคนไปว่า“หม่ามี๊ไม่เป็นไร ก็แค่เป็นหวัด”

“ยังมึนหัวไหม?”นัทธีนั่งลงตรงข้ามสามคนแม่ลูก แล้วถาม

วารุณีกดไปที่คิ้ว“นิดหน่อยค่ะ”

“งั้นวันนี้คุณก็อยู่พักผ่อนที่บ้าน ไม่ต้องไปทำงาน”นัทธีนั่งไขว่ห้าง

วารุณีดื่มน้ำอุ่น“ก็ได้แค่แบบนี้แหละ”

ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่มึนหัว ที่ตัวก็ยังไม่มีแรง ไม่มีอารมณ์จะไปทำงานจริงๆ

“ใช่สิ พวกคุณพูดอะไรกันเหรอ?”วารุณีวางแก้วน้ำลง ถามไปอีกรอบว่า“ตอนที่ฉันลงมา ได้ยินลูกทั้งสองคนพูดขอบคุณคุณ คุณซื้ออะไรให้พวกเขาใช่ไหม?”