บทที่ 266 การศึกษาชนชั้นนำ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เปล่าๆ”นัทธียังไม่ตอบ เด็กทั้งสองคนก็รีบส่ายหน้าส่ายมือ

ท่าทางของพวกเขานี้ ทำให้วารุณียิ่งมั่นใจ ว่าพวกเขาขออะไรกับนัทธี

“นัทธี พวกเขาให้คุณไปซื้ออะไร?”หลังจากวารุณีมองลูกสองคนนี้อย่างเคร่งขรึม ก็ขมวดคิ้วถามนัทธี

ถึงแม้เขาจะเป็นพ่อแท้ๆของเด็กสองคนนี้ เด็กสองคนนี้ขอสิ่งของกับเขาก็ไม่ผิดตรงไหน

แต่ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้พวกเขาต่างไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ดังนั้นเธอจึงไม่อยากให้สองคนนี้ขอสิ่งของกับเขาตามใจชอบ นิสัยแบบนี้ไม่ดีนัก

เหมือนจะอ่านความคิดในใจของวารุณีออก ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับ“พวกเขาขอของบางอย่างกับผมน่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ก็แค่หนังสือ”

“หนังสือ?”วารุณีตะลึง“หนังสืออะไร?”

“ด้านคอมพิวเตอร์”นัทธีมองเด็กทั้งสองคนที่ก้มหน้าแล้วตอบ

“คอมพิวเตอร์?”ท่าทีของวารุณีเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดอะไรได้ ก็อ้าปาก สอบถามไปว่า“ประธานนัทธีคุณคงไม่ใช่ว่ารู้แล้วใช่ไหมว่าอารัณ……”

นัทธีเงยคางขึ้นอย่างไม่ปริปากพูดใดๆ“ใช่ ผมรู้แล้ว พูดตรงๆนะ ผมตกใจมาก แต่ว่าดีใจมากกว่า อารัณเป็นเด็กอัจฉริยะ คุณเคยคิดว่าจะฝึกฝนเขาอย่างดีไหม?”

“ฝึกยังไง?”วารุณีเอียงหัว

สภาพของเธอ บอกได้ชัดเจนแล้วว่า เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้

นัทธีจัดท่านั่ง แล้วมองเธอพูดออกไปว่า“เช่นพัฒนาพรสวรรค์ของเขา ฝึกฝนเขาสู่ด้านชนชั้นนำ”

ชนชั้นนำ?

อารัณได้ยินสามคำนี้ ดวงตาทรงหงส์เหมือนกับนัทธีก็มีประกายขึ้นมา

ไอริณชูมือเล็กๆขึ้นมาถาม“พ่อคะ ชนชั้นนำคืออะไร?”

“ก็อย่างพ่อไง”อารัณตอบแทน

เขาพอรู้จักบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปกับตระกูลไชยรัตน์ ถึงจะรู้จักไม่ลึกซึ้งนัก แต่ก็รู้ว่านัทธีเป็นประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป และยังเป็นหัวหน้าครอบครัวของตระกูลไชยรัตน์ด้วย มีพนักงานกว่าแสนคนที่อยู่ในเงื้อมมือ

สำหรับเขาแล้ว คนอย่างนัทธี ถึงจะเรียกว่าชนชั้นนำที่แท้จริง

วารุณีกัดริมฝีปาก“ความหมายของคุณคือ ให้อารัณไปเรียนการสอนชนชั้นนำ?”

“ใช่ เขามีพรสวรรค์นี้ ผมไม่อยากให้ทิ้งเสียไปง่ายๆแบบนี้”นัทธีพยักหน้า

วารุณีกำฝ่ามือ“ฉันเข้าใจ แต่จากที่ฉันรู้ การสอนชนชั้นนำนั้นยากลำบาก ต้องเรียนหลายอย่าง ฉันแค่หวังว่า อารัณจะเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความสุข……”

“ความคิดของคุณไม่ผิด แต่คุยเคยคิดไหมว่า อารัณอยากเดินตามความคิดของคุณหรือเปล่า?”นัทธีเอามือกุมหัวแล้วตัดบทเธอ

ริมฝีปากสีแดงของวารุณีขยับ“หมายความว่าไง?”

นัทธีเงยหน้าไปที่อารัณ สื่อว่าให้เธอดู

วารุณีมองไป ก็เห็นอารัณสูดลมหายใจลึกๆ ใบหน้าเล็กๆที่อ่อนเยาว์นั้น เต็มไปด้วยความจริงจัง“หม่ามี๊ ผมอยากเรียนครับ!”

“อะไรนะ?”วารุณีตาเบิกกว้างด้วยความตะลึง“ลูกอยากเรียนการสอนชนชั้นนำ?”

“อือ”อารัณพยักหน้า

วารุณีจับหน้าของเขา“ลูกรัก ลูกรู้ไหมการสอนชนชั้นนำคืออะไร?”

“ผมรู้นิดหน่อยครับ”อารัณกะพริบตา

ไอริณมองหม่ามี๊กับพี่ชายอยู่ข้างๆ ไม่พูดจา

วารุณีขทวดคิ้วแน่นขึ้น“ในเมื่อรู้ งั้นลูกยัง……”

“ผมอยากเป็นคนแบบพ่อ”อารัณชี้ไปที่นัทธี

สายตานัทธีเป็นประกายเล็กน้อย และก็ไม่เอามือกุมหัว นั่งตัวตรง“เป็นคนแบบพ่อนี้เหรอ?”

“อือ ผมนับถือพ่อมาก ดังนั้นผมก็อยากกลายเป็นคนที่ทรงอำนาจเหมือนพ่อ คนที่พูดคำไหนคำนั้น!”อารัณกำฝ่ามือเล็กๆสองข้าง พูดอย่างเด็ดเดี่ยว

มุมปากของวารุณีกระตุก ทันใดนั้นก็ไม่พูด

เธอได้แต่ทอดถอนใจ นี่สมแล้วที่เป็นแบบนัทธี

นัทธีไม่รู้ว่าในใจวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากบางๆยกขึ้นมา“เหตุผลนี้ไม่เลว ลูกแน่ใจหรือยัง?”

“อือ!”อารัณพยักหน้าแรงๆ

ไอริณที่ไม่เข้าใจ ก็พยักหน้าตาม

นัทธีเงยหน้ามองไปที่วารุณี

วารุณีก้มหน้าผากอย่างปวดหัว“โอเค แม่เห็นด้วยแล้ว”

เธอเป็นแม่ที่คุยด้วยง่าย แค่เป็นความต้องการของลูกตัวเอง ปกติแล้วเธอไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง

เรื่องการสอนชนชั้นนำจึงจบลงแบบนี้

“เย้ ขอบคุณครับแม่……”

“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณแม่เลย”วารุณียกนิ้วขึ้นมา แตะไปที่ปากของอารัณที่จะร้องออกมาอย่างดีใจ“แม่รับปากลูกแล้วจริง แต่ลูกก็ยังต้องไปโรงเรียนอนุบาล ตอนเช้าไปโรงเรียนอนุบาล ตอนเย็นกลับมาเรียนการสอนชนชั้นนำ เข้าใจไหม?”

ได้ยินคำนี้ นัทธีก็มองเธออย่างมีความหมาย

อารัณคอตกลง“อ๋า?ยังต้องไปโรงเรียนอนุบาลด้วยเหรอครับ?”

วารุณีเอานิ้วมือออกมาจากปากเขา“ทำไม ไม่เอา?ในเมื่อไม่เอาก็ช่างละ การสอนชนชั้นนำก็เลิกคิดได้เลย”

“ไม่ๆๆ”อารัณรีบกอดแขนของวารุณีไว้“หม่ามี๊ ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว!”

“เข้าใจก็ดี”วารุณีบีบจมูกของเขา จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปที่นาฬิกาตรงข้อมือ พบว่าสายมากแล้ว ก็ตบหลังเขากับไอริณ“โอเค รีบไปกินข้าวเช้าเถอะ ต้องไปโรงเรียนแล้ว”

“อ้อ”เด็กทั้งสองคนตอบรับไป จูงมือกันเข้าไปที่ห้องอาหาร

นัทธียืนขึ้นมา“พวกเราก็ไปเถอะ”

“อือ”วารุณีพยักหน้ายิ้มๆ

นัทธีเดินมาตรงหน้าเธอ ดึงเธอมา“คุณยืนหยัดจะให้อารัณไปโรงเรียนอนุบาล เพราะอยากให้อารัณรักษานิสัยที่มองโลกในแง่ดีและร่าเริงไว้?”

“ใช่ค่ะ”วารุณีไม่แปลกใจที่นัทธีนึกถึงตรงนี้ได้ ถูกเขาประคองไป ก็ตอบไปว่า“ตอนอยู่ต่างประเทศ ฉันเคยเห็นเด็กที่เรียนการสอนชนชั้นนำมากมาย ก่อนที่จะเรียนการศึกษาชนชั้นนำ นิสัยพวกเขาก็ต่างกันไป แต่พอเรียนการศึกษาชนชั้นนำแล้ว นิสัยของพวกเขาก็เหลือแค่ความเมินเฉย

“และเพราะแบบนี้ คนอื่นจึงมองความคิดที่แท้จริงในใจของพวกเขาไม่ออก”นัทธีมองใบหน้าที่สวยงามของเธอแล้วพูด

วารุณีถอนหายใจ“ใช่ค่ะ ฉันเข้าใจ แต่ความเมินเฉยที่ยาวนานมากขึ้น สุดท้ายก็จะปลายเป็นคนที่เย็นชา น้อยครั้งที่จะเผยความรู้สึกออกมา คุณก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”

นัทธีไอออกมาเบาๆ ไม่พูดจา

เขาต้องยอมรับว่า นิสัยเย็นชาของเขา ก็เกี่ยวข้องกับการศึกษาจริงๆ

แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุด ก็คือการตายของพ่อแม่

“ที่โรงเรียนอนุบาลไม่ได้สอนวิชาอะไร โดยพื้นฐานแล้วก็มีแค่ให้เด็กๆเล่นเกม ดังนั้นฉันอยากให้อารัณอยู่ที่นี่ มีทั้งวัยเด็ก และก็ไม่พลาดการสอนชนชั้นนำ ถึงสุดท้ายการสอนชนชั้นนำจะทำให้ภายนอกเขาเย็นชา แต่ในใจก็ยังอบอุ่น”วารุณีพูดด้วยรอยยิ้ม

คำพูดของเธอนี้ ทำให้นัทธีละสายตาลงอย่างครุ่นคิด

อย่างที่เธอพูดจริงๆ เด็กที่เรียนการศึกษาชนชั้นนำ นอกจากเรียนแล้วก็มีแต่เรียน ไม่มีโอกาสได้สนุกกับความสุขในวัยเด็ก พอโตแล้ว จึงกลายเป็นคนเย็นชา

แต่ตอนนี้อารัณได้สนุกกับวัยเด็ก และยังได้เรียนการสอนชนชั้นนำ บางทีอาจจะไม่เหมือนกัน

“งั้นก็ดี ผมจะช่วยอารัณหาครูแต่ละวิชาให้”นัทธีเปิดประตูห้องอาหารออกไป

“ขอบคุณค่ะนัทธี”วารุณีไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือของเขา ยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกขอบคุณ

เขาคือหัวหน้าครอบครัวของตระกูลไชยรัตน์สำหรับตัวตนแล้ว ครูที่หามา จะต้องยอดเยี่ยมมากกว่าที่เธอหาแน่

เพื่อลูกแล้ว เธอโง่สิถึงจะปฏิเสธ

“คุณไม่ต้องขอบคุณหรอก อารัณเป็นลูกชายของผม ผมในฐานะพ่อ ทำสิ่งนี้ให้เขาก็สมควรแล้ว”นัทธีมองเด็กทั้งสองคนที่กำลังกินอาหารเช้า ดึงเก้าอี้ให้วารุณีแล้วจึงพูดออกไป

วารุณีได้ยินคำนี้ ร่างกายก็เกร็งขึ้นมาทันที

นัทธีตระหนักได้ถึงความผิดปกติของเธอ จึงหันหน้ามองเธอ“คุณเป็นอะไร?”