บทที่ 271 เจ้าดำที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 271 : เจ้าดำที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน

แอนดรูว์…เรียกทับทิมเม็ดนี้ว่าเจโรม

จี้จือซู่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วหนังหัวของเธอก็ชาวาบ จากนั้นหลังของเธอก็หนาววูบขึ้นมากะทันหัน แล้วร่างของเธอก็เกร็งขึ้นตามสัญชาตญาณ

เธอมองทับทิมในมือเจ้าของร้านหลินอีกครั้ง ความกลัวดูจะเกาะเกี่ยวหัวใจของเธออย่างแน่นหนา

ราวกับหมอกที่บดบังอยู่สลายไป แล้วรายละเอียดบางอย่างที่เมื่อครู่เธอไม่ทันสังเกตก็พลันเด่นชัดขึ้นมา

อัญมณีสีแดงนั่น ที่จริงแล้ว…มันคือศิลานักปราชญ์ความบริสุทธิ์สูงที่บรรจุพลังงานอีเธอร์จำนวนมหาศาลไว้ข้างใน แต่เพราะว่ามันยังสดมากเกินไป กลิ่นเลือดจาง ๆ และพลังชีวิตจึงยังตกค้างอยู่

แล้วความตระหนักรู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็เด้งขึ้นมาในหัวของเธอ!

ศิลานักปราชญ์ก้อนนี้คือเจโรม!

จี้จือซู่หันอย่างยากลำบากไปมองบิดาของเธอที่สบตาเธอตอบอย่างแข็ง ๆ สีหน้าของจี้ป๋อหนงขาวราวกระดาษ และเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะปาดเหงื่อเย็น ๆ ที่ก่อตัวอยู่บนหน้าผากของเขาเลย ความกลัวกำลังแสดงออกทางสายตาของเขาอย่างชัดเจน

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนธรรมดา แต่ที่จริงแล้วเขามีความเข้าใจโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติดีกว่าตัวผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่มาก และเขาก็ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาย่อมเข้าใจความหมายแฝงที่เจ้าของร้านหนังสือพูดถึงในทันที

ถึงปากเขาจะบอกว่า “เรื่องมีราคาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ” แต่เขากลับหันไปชี้บอกว่าอัญมณีที่เขาส่องเล่นอยู่นั้นเป็นชีวิตของคนจริง ๆ คนหนึ่ง…

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะสื่อว่า หากคุณทำให้ผมพอใจไม่ได้ ราคาที่พวกคุณจะต้องจ่ายก็อาจเป็นอะไรก็ได้ อย่างชีวิตของพวกคุณเป็นต้น…!

เป็นการคงอยู่ที่น่ากลัวอย่างไร้ที่เปรียบจริง ๆ ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจจากคำพูดที่มองไม่เห็นอีก…

จี้ป๋อหนงตกสู่ภวังค์ และรู้สึกราวกับว่าตัวเองกลับไปในสมัยยังเด็กที่ได้เห็นผู้ปกครองเขตกลางของนอร์ซินจริง ๆ

มันเป็นประสบการณ์การเผชิญหน้าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงสุดที่ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เลย

เขาเคยติดต่อกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาหลายต่อหลายคน และส่วนใหญ่พวกเขาก็จะปลดปล่อยรัศมีในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติออกมาทันทีที่เจอหน้า และใช้อำนาจทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัวทันที

กฏแห่งป่าจะทำลายหลักเหตุผลและศักดิ์ศรีของคนที่ตัวสั่นด้วยความกลัวทันที และนี่จึงกลายเป็นวิธีปราบพยศคนทั่วไปที่ได้ผลดีมาก

แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ทำเหมือนคนตรงหน้าที่ไม่มีกลิ่นอายเหนือธรรมชาติหลุดออกมาสักกระผีก แต่คำพูดแต่ละคำของเขากลับราวกับเสียงกระซิบของปีศาจ หรือราวกับเส้นหนวดที่พร้อมฉวยทุกโอกาสในการทะลวงเข้าไปกำหัวใจของคนฟังที่น่ากลัวจนหายใจไม่ออก

แค่คำพูดไม่กี่คำก็ทำลายการป้องกันของคนฟังได้แล้ว

หลังจากความจริงอันน่ากลัวข้อนั้นถูกเปิดเผย จี้ป๋อหนงก็มองทับทิบเม็ดนั้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวราวกับเห็นซากศพไร้หนังที่บิดเบี้ยวไปมาอยู่ในนั้น

อวัยวะภายในและโครงกระดูกถูกบังคับให้ต้องขดอยู่ในนั้น มันดิ้นรนที่จะบิดร่างกายไร้หนังของมันแล้วกรีดร้องอย่างเงียบ ๆ ให้กับโลกภายนอกอย่างน่าสยดสยอง…

จี้จือซู่เบือนหน้าหนีอย่างใจเย็น เธอสัมผัสได้ว่าบิดาของเธอคงสติหลุดไปหน่อยแล้ว ร่างทั้งร่างของเขาไม่ไหวติงราววิญญาณหลุดลอย

นี่คือคำเตือนที่แท้จริง!

อำนาจอำพรางของแหวนผู้สันโดดหายไปเมื่อเผชิญกับผู้มีอำนาจสูงกว่า

อย่าเพิ่งรีบร้อน ถ้ากลับไปได้อย่างปลอดภัยล่ะก็ จี้ป๋อหนงก็ไม่เป็นไรหรอก!

เธอยกมุมปากของเธอขึ้นแล้วยิ้มแข็ง ๆ “ตลกค่ะ ตลกมาก คนจะเปลี่ยนไปเป็นอัญมณีได้อย่างไรกัน นี่เป็นมุกที่ตลกจริง ๆ ค่ะ……”

“คุณก็คิดแบบนั้นสินะครับ?” หลินเจี๋ยถอนหายใจ “แต่เจโรมคนนี้สมควรโดนแล้วล่ะครับ”

กลุ่มการค้าผูกขาดอย่างบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์นั้นมีการกระจายข่าวที่ไวมากถ้าเทียบกับเจ้าของร้านหนังสือต๊อกต๋อย

เมื่อรองหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมของสมาคมแห่งสัจธรรมที่สำคัญขนาดนั้นตายลง ข่าวของอุบัติเหตุนี้ก็ย่อมถึงหูขององค์กรต่าง ๆ เหล่านี้ทันที

เมื่อพิจารณาจากกิริยาท่าทางของจี้จือซู่แล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ไม่ต้องเปลืองพลังงานมานั่งอธิบายเลย

ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงแสดงท่าทีราวกับแม่บ้านขี้ซุบซิบ และหลังจากตัดเรื่องพิเศษบางเรื่องอย่างการติดต่อครั้งก่อนระหว่างเขากับแอนดรูว์ไป เขาก็พูดกับจี้จือซู่อีกครั้ง

นอกจากนี้เขายังเน้นไปที่การปรามาสการปฏิบัติราวกับเป็นเดนมนุษย์ของเจโรม และแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อคุณหนูน้อยพรีม่าที่กำลังช่วยงานคาเฟ่หนังสือที่ร้านข้าง ๆ อยู่

ในขณะที่เขากำลังเล่าถึงการประเมินอารมณ์ขันของแอนดรูว์ขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ถามยิ้ม ๆ “คุณก็คิดใช่ไหมครับว่าเขาเป็นคนตลกมาก แถมยังบอกอีกว่าเขาจะพาอัญมณีนี้หรือก็คือเจโรมกลับมาหาผม แต่จริง ๆ แล้วผมขอให้เขาพาเจโรมมาที่นี่ก็เพื่อคุยกันว่าจะชดใช้เรื่องประตูร้านผมอย่างไร…”

“ชดใช้…เรื่องประตูเหรอคะ?”

จี้จือซู่ตะลึงไปแล้วหันไปมองประตูไม้ของร้านหนังสือ

ตอนนี้มันดูสมบูรณ์แบบ แต่ถ้ามองดี ๆ ก็ยังพอเห็นร่องรอยการซ่อมอยู่

หลินเจี๋ยคิดแล้วก็เคืองสุด ๆ แล้วเขาก็อธิบาย “ผมให้มูเอนซ่อมประตูแล้วล่ะครับ แต่ก่อนหน้านี้เพราะเจโรม ประตูร้านผมถึงมีรูเบ้อเริ่มเลย”

เขาอธิบายไปใหญ่โตด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “รูใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เงินขนาดไหนเพื่อซ่อมมัน คุณว่าเขาควรชดใช้ไหมล่ะครับ?”

จี้จือซู่พยักหน้า “ค่ะ”

สรุปแล้ว เจโรมก็เป็นฝ่ายเริ่มทำให้เจ้าของร้านหลินโกรธก่อน ดังนั้นเขาสมควรได้รับบทลงโทษนี้แล้วล่ะ…

หลินเจี๋ยถอนหายใจ “แต่คนก็ตายไปแล้ว ผมก็เลยทำได้แค่จ่ายเอง ขอโทษครับ ที่ต้องให้คุณมานั่งฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องไปซะได้ เมื่อกี้คุณบอกว่ามีอะไรที่ต้องขอร้องผมเหรอครับ?”

สีหน้าของจี้จือซู่แข็งค้าง แล้วเธอก็กระชุ่มกระชวยขึ้น ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดมาถึงจนได้

ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหลินจะค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกก่อนหน้านี้ของพวกเธอ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถามออกมาแบบนี้

เธอสูดหายใจลึก ๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง “ฉันในฐานะตัวแทนเครือบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์อยากขออนุญาตเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือจากร้านหนังสือของคุณค่ะ เราจะส่งเสริมการขายหนังสือให้คุณในขอบเขตที่คุณอนุญาต”

หลินเจี๋ยผงะไปครู่หนึ่ง เขาจำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อครั้งที่จี้จือซู่มาเยือนครั้งก่อน เธอก็เคยพูดทำนองนี้ไปแล้วคร่าว ๆ แต่เพราะเธอไม่สามารถเป็นตัวแทนบริษัทโรลล์ได้ เขาจึงไม่ได้พูดคุยลงรายละเอียดใด ๆ

การให้บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือ นี่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน!

การขาดลูกค้าเป็นหนึ่งในปัญหาไม่กี่อย่างของเขาที่กังวลอยู่ แต่มันจะถูกแก้ได้ทันทีด้วยสถานการณ์นี้ และบางทีมันอาจจะแก้ปัญหาเงินขาดมือให้เขาได้ด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็จะเหมือนขาดสีสันไปด้วย เพราะสิ่งที่เขาชอบทำก็คือคุยเรื่องต่าง ๆ กับลูกค้าแปลกหน้าแล้วขายหนังสือให้พวกเขา จากนั้นก็ช่วยพวกเขาแก้ปัญหาชีวิตบางอย่าง

และยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอีกข้อด้วย

ว่าหนังสือบนชั้นหนังสือพวกนี้ บางเล่มขายไม่ได้

เพราะความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของโลกทั้งสองนั้นต่างกันมาก เนื้อหาบางส่วนจึงอาจเป็นอะไรที่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่สามารถเข้าใจได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาแน่นอน

หากต้องการแก้ปัญหานี้ หลินเจี๋ยก็ต้องตรวจสอบคัดแยกมันเอง แล้วเลือกหนังสือไปให้พวกเขาขาย

นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ๆ

หลินเจี๋ยครุ่นคิดอย่างลังเล แล้วจู่ ๆ เขาก็เห็นเงาในฝากระเป๋าที่เปิดอยู่ตรงหน้าเขาพลัน ‘มีชีวิต’ ขึ้นมา แล้วก็ยืดสิ่งที่คล้ายมือออกไปครอบแอปเปิลทองคำในกระเป๋าเอาไว้

เจ้าดำ!

หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ สัณชาตญาณบอกเขาว่านี่คือเจ้าดำที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน