ตอนที่ 89-1 พี่สาวร่วมสายเลือด
ตอนนี้ฮูหยินใหญ่รู้สึกหวาดกลัวด้วยอาการสั่นเทาและรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวกําลังเย็นยะเยือกจนทําให้ลิ้นของนางรู้สึกชาจึงกล่าวอย่างยากลําบาก:
“ข้ามิทราบว่าเหตุใดท่านพี่จึงโกรธเช่นนี้ ในเมื่อข้ามิได้ทําสิ่งใดเลย!”
น้ําตาของฮูหยินใหญ่ไหลรินในขณะที่กล่าวประโยคสุดท้ายโดยไม่สนภาพลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเกิดอันตรายใด ๆ กับจิวหยินเหนียงแม้เพียงรอยเล็บข่วน เจ้าก็จะโดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน” หลี่เสี่ยวหรันพ่นคําแต่ละคําที่เย็นเฉียบราวกับน้ําแข็ง
คํากล่าวนี้ทําให้ฮูหยินใหญ่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนับตั้งแต่วันที่แต่งงานเข้ามาในบ้านตระกูลหลี่นางก็ไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นตอนนี้นางไม่เพียงแต่จะรู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังสามารถลิ้มรสความสิ้นหวังที่แสนจะทุกข์ทรมานได้
ลี่เสี่ยวหรันจะทําตามที่เขากล่าวแน่นอน! แต่ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของหลี่จางเล่อก็ทําลายความเงียบสงบในห้อง:
“ท่านพ่อ ท่านปฏิบัติต่อท่านแม่เช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“เหตุใดจึงจะทํามิได้?” หลี่เสี่ยวหรันหันกลับมามองหลี่จางเล่อพร้อมกับกล่าวอีกว่า
“แล้วนางปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร? เว่ยหยางอาจเป็นลูกสาวของนางสนม แต่นางก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าอยู่ในเส้นเลือดอีกทั้งนางยังคงเป็นน้องสาวของเจ้าด้วย
แต่เจ้ากับแม่ของเจ้ากลับพยายามทําร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งข้าก็ยังเมตตาปล่อยให้เจ้าทั้งคู่ลอยนวลขณะที่ตอนนี้พวกเจ้ายังพยายามที่จะทําร้ายและขับไล่จิวหยินเหนียง!จางเล่อ!เจ้าต้องการให้พ่อเปล่าเปลี่ยวเช่นนั้นรึ? หรือเจ้าทั้งคู่ต้องการบังคับให้ข้าไปอยู่ที่อื่นด้วย?!”
หลี่จางเล่อไม่เคยเห็นท่านบิดาของนางโกรธมากเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัวและกระโจนเข้าหาเขา:
“ท่านพ่อ…ท่านแม่และข้าต้องการหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ท่าน น้องสามคงจะกล่าววาจาใส่ร้ายข้า เพราะนางคงจะอิจฉาข้ามาตลอดท่านพ่อ…ท่านต้องมี
หลี่เสี่ยวหรันสะบัดมือออกจากบุตรสาวคนโปรดพร้อมกับกล่าวว่า
“น้องสาวของเจ้าอิจฉาเจ้าเช่นนั้นหรือ? เจ้าหมายถึงว่าจิวหยินเหนียงพูดเรื่องไร้สาระด้วยหรือ? จางเล่อ!เจ้าทําให้ข้าผิดหวังมาก…เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อปรับทัศนคติและตราบใดที่ข้ามิยินยอม…ห้ามเจ้ากลับบ้านเป็นอันขาด!”
หลังจากกล่าวจบเขาจึงจากไปโดยไม่ได้หันกลับมามองพวกนางอีกเลย และเมื่อเดินออกมาจากห้องของฮหยินใหญ่เขาก็ได้พบกับหลี่เว่ยหยางยืนอยู่อย่างเงียบสงบ เขาจึงเดินไปยืนตรงหน้าบุตรสาวและมองเข้าไปในดวงตาของนางพร้อมกับกล่าวว่า:
“เว่ยหยาง! เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ดังนั้นหากผู้ใดรังแกเจ้า…ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างแน่นอน”
หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้างอย่างมีความสุข:
“ขอบคุณท่านพ่อ”
หลังจากที่หลี่เสี่ยวหรันจากไปแล้ว หลี่จางเล่อก็รีบวิ่งออกมาพร้อมกับดวงตาของนางที่จับจ้องไปที่หลี่เว่ยหยาง
ทําให้น้องสาวต่างมารดาขมวดคิ้วขึ้นและมองไปที่หลี่จางเล่อด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปาก โดยรอให้นางระบายความโกรธแค้นหรือแสดงอาการเสียสติให้เห็น
แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกเสียหน้าและลําคอมีอาการแข็งเกร็ง แต่หลี่จางเล่อก็มีความตั้งใจแน่วแน่และกล่าวด้วยน้ําเสียงสั่นเครืออย่างไม่กระดากปาก:
“น้องสาม .. ตอนนี้ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนหน้าด้าน แต่ในฐานะพี่สาวของเจ้า ข้าจะหยุดสร้างปัญหา เพราะไม่ว่าจะยังไงเราก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน
ดังนั้นหากข้าต้องไปอยู่ที่อื่น เจ้าก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน และการต่อสู้ของเราจะถูกมองว่าเป็นเรื่องตลกสําหรับคนอื่นเท่านั้นอีกทั้งคําว่า “หลี่ ก็มิสามารถเกิดขึ้นได้หากเรามสามัคคีกัน
ซึ่งเจ้าก็รู้ดีว่าการใช้ชีวิตในศาลาวัดนั้นช่างยากลําบากเหลือเกิน แล้วเจ้าจะทนดูข้าได้รับความทุกข์ทรมานโดยกินอาหารธรรมดา ๆ และทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้หรือ?”
ตอนนี้หลี่เว่ยหยางไม่ได้กล่าวสิ่งใด และทําเพียงมองผ่านหลี่จางเล่อออกไปราวกับว่าไม่มีผู้ใดยืนอยู่ตรงนี้
อย่างไรก็ตามหลี่จางเล่อเกลียดชังหลี่เว่ยหยางจนเข้ากระดูกดําและดูถูกนางเสมอ ไม่เพียงแต่นางเกิดจะต้อยต่ํากว่าเท่านั้นโดยสิ่งที่สําคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะหน้าตาหรือท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่สามารถแม้แต่จะเทียบกับคุณหนูใหญ่ได้
แต่เป็นเพราะเหตุใด หลี่เว่ยหยางจึงโดดเด่นมากขึ้นทุกวัน?…ทําไมนางถึงโชคดีและนางทนได้อย่างไรที่โดนกลั่นแกล้งสารพัดเมื่อคิดได้ดังนั้นหลี่จางเล่อจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ในขณะที่มองไปยังน้องสาวต่าง มารดาผู้นี้
หากเพียงนางเสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวานนี้ หลี่จางเล่อก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงเกี่ยวกับความโกรธของหลี่เสี่ยวหนแล้ว หลี่จางเล่อก็รู้สึกราวกับว่าลําคอของตนเองแห้งผากแต่นางก็พยายามต่อสู้เพื่อตนเองอีกครั้ง:
“เว่ยหยาง! เจ้ารู้ดีว่าไฟไหม้เมื่อวานนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ และท่านแม่ยังสั่งให้คนเข้าไปช่วยเจ้า…สําหรับเรื่องของจิวหยินเหนียงนั้น ข้ามมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนแต่ท่านพ่อกลับมาระบายเรื่องนี้กับข้า …”
เมื่อพี่สาวกล่าวจบ หลี่เว่ยหยางก็ยังคงสงบนิ่งและจ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม ทําให้หลี่จางเล่อรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของตนเองเย็นชาและหนักอึ้งราวกับว่ามันเต็มไปด้วยหินก้อนโตแต่นางก็ยังกล่าวต่อไปด้วยลําคอที่แข็งเกร็งและน้ําเสียงที่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้:
“ใช่! บางทีหัวใจของเจ้าอาจยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังข้าและท่านแม่ แต่เรามีสายเลือดเดียวกันหากเจ้าเต็มใจที่จะอ้อนวอนเพื่อข้าต่อหน้าท่านพ่อ ข้าก็ยินดีที่จะลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและเป็นพี่สาวที่ดีของเจ้า
และข้าสามารถบอกท่านแม่เพื่อให้เจ้าเข้าร่วมงานอื่น ๆ ได้ ตอนนี้เจ้าอายุสิบสามแล้วและจะมีส่วนร่วมในอีกสองปีข้างหน้าเจ้าจะต้องการความช่วยเหลือจากข้าเช่นกันใช่หรือไม่?
ดังนั้นน้องสามจงไปหาท่านพ่อและบอกกับท่านว่า ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิดวลและนี่เป็นแผนการทั้งหมดของจิวหยินเหนียง เพื่อต้องการสร้างความบาดหมางระหว่างพวกเราพี่น้อง!”
ทันใดนั้นหลเว่ยหยางก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติก่อนที่จะกล่าวว่า:
“พี่ใหญ่! ท่านช่างไร้ยางอายเสียจริง ข้ามเคยเห็นใครหน้าด้านเท่าท่านมาก่อนเลย”
คํากล่าวนี้ทําให้หลี่จางเล่อตัวสั่นราวกับว่านางถูกประกายไฟแผดเผาและการแสดงออกของนางก็เปลี่ยนไปทันทีด้วยการเบิกตากว้างพร้อมกับจ้องมองด้วยลําแสงที่น่ากลัวและตะโกนว่า
“หลี่เว่ยหยาง! ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้าจะช่วยขอร้องให้ข้า…ข้าจะมิถือสาอะไรเจ้า…มิฉะนั้น…”
“มิฉะนั้นจะเป็นเช่นไร? เจ้าจะจุดไฟเผาข้าอีกครั้งเช่นนั้นหรือ?” หลี่เว่ยหยางยิ้มจาง ๆ ด้วยดวงตาที่สงบและลึกล้ําทําให้ผู้ที่พบเห็นถึงกับมีอาการสั่นสะท้าน
“เจ้ามันสารเลว…” หลี่จางเล่อแทบจะไม่สามารถกล่าวอันใดได้ เนื่องจากกําลังกังวลใจ
“ข้านึกมิถึงเลยว่าพี่ใหญ่จะมาขอโทษข้าด้วยตัวเอง เดิมที่ข้าเคยคิดว่าท่านโหดร้ายแต่อย่างน้อยท่านก็มีศักดิ์ศรีในตัวเองบ้าง
แต่ตอนนี้พี่ใหญ่กลับยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองทิ้งไปเพียงเพราะมิอยากอยู่ที่นี่พี่ใหญ่ข้าขอกล่าวตามตรงว่าการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ ดังนั้นข้าจึงมิมีอํานาจที่จะห้ามท่าน
เช่นนั้นหากพี่ใหญ่มิต้องการอยู่ที่นี่ก็จงไปขอร้องท่านพ่อด้วยตนเอง และอย่าหวังว่าข้าจะช่วยท่านได้แต่ข้าอยากจะแนะนําว่าตอนนี้ท่านโกรธมาก…เช่นนั้นควรปฏิบัติตามจะดีกว่า เพราะหากท่านมิเชื่อฟังท่านพ่ออาจมิใช่แค่สั่งให้ท่านที่อยู่ที่นี่เพื่อกลับใจ แต่อาจสั่งให้ท่านบวชเป็นแม่ชีแทน!”
“นังเด็กผี..ข้าจะมิมีวันให้อภัยเจ้า!” หลี่จางเล่อกรีดร้องและบิดตัววิ่งออกไปจากห้องโถง
ไปจอไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่ที่งดงามประพฤติตัวในลักษณะนี้มาก่อน โดยนางสูญเสียความสุขมสง่างามของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างสะใจพร้อมกับกล่าวว่า:
“สุนัขจะกระโดดข้ามกําแพงก็ต่อเมื่อเมื่อถูกบังคับ แต่คราวนี้มิว่านางจะพยายามแค่ไหนนางก็จะมิสามารถหลีกหนีจากชะตากรรมนี้ได้”
ต่อมาตามคํากล่าวของเขาหลี่เสี่ยวหรันส่งหลี่จางเล่อไปที่วิหารในบ่ายวันนั้นโดยอ้างว่านางป่วยและต้องอยู่บนเขาเพื่อพักฟื้น ทําให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปทั่วเหมือนไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วและก่อให้เกิดเสียงซุบซิบนินทามากมาย
ขณะที่ฮูหยินใหญ่ก็ล้มป่วยเป็นเวลาถึงสามเดือนเช่นเดียวกัน ซึ่งการเดินทางไปขึ้นไปบนเขาในครั้งนี้ไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างที่นางหวัง แต่กลับต้องสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักของนางไปแทน