ตอนที่ 241 อยากให้ข้าเป็นห่วงหรือ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 241 อยากให้ข้าเป็นห่วงหรือ ?

อนุยอดรักกลับบ้านเดิมไปเยี่ยมบิดา เมื่อได้ทราบสาเหตุก็มาร้องไห้ฟูมฟายกับเจ้าหน้าที่จ้าว ก่อนหน้านี้ได้มีผู้คนจำนวนมากมาร้องเรียนเรื่องนี้ซึ่งทำให้เขาเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก คราวนี้ได้สร้างปัญหากวนใจให้แก่อนุที่เขาโปรดปรานมากที่สุดจึงออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรมโดยสั่งตระกูลอู๋คืนเงินผู้เสียหายทั้งหมดและปิดกิจการเสีย !

สำหรับตระกูลอู๋ที่เพิ่งสูญเสียเงินไปหลายหมื่นตำลึง คงไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว ร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้ต้องโอนถ่ายกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่น ร้านขายผ้าก็ต้องปิดตัวลงอีก ต่อไปอาวุโสและเด็กตาดำ ๆ จะกินอะไรกันเล่า ?

ไม่ได้การ จู่ ๆ ท่านอาของอู๋ปัวก็ผุดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา เขาจ้องเขม็งไปทางโกดังเก็บสินค้าหลายสิบห้องของตระกูลหลินอยู่นานสองนาน จากการคำนวณแล้วในสิบวันตระกูลหลินมีรายได้เข้ามามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึง หนึ่งเดือนก็มีรายได้เข้ามาประมาณสี่ร้อยถึงห้าร้อยตำลึง โอ้ นี่คือแม่ไก่ฟักไข่ทองคำชัด ๆ !

หลังจากสอบถามแล้วก็พบว่าเจ้าของโกดังเป็นคนต่างถิ่น ไม่มีผู้สนับสนุน แต่บอกคนภายนอกว่าเป็นโกดังเก็บสินค้าของตระกูลหนิง นางตั้งใจจะข่มขู่ผู้ใดกันแน่ ท่านอาของอู๋ปัวสอบถามตระกูลหนิงมาแล้วได้รับคำยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลหลิน ! ดังนั้นเขาจึงวางแผนลอบวางเพลิงในคราวนี้อย่างอุกอาจ

แผนการเป็นไปตามนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลอู๋ลอกเลียนตัวอย่างสัญญาเช่ามาจากที่ใด ทั้งยังเข้าใจจุดอ่อนของหลิวว่ายจื่อผู้มีปัญญาน้อยนิดอีกด้วย ลอกเลียนได้แม้กระทั่งสัญญาที่เต็มไปด้วยหลุมพรางอย่างสมบูรณ์หนึ่งชุด จากนั้นก็หลอกล่อให้หลิวว่ายจื่อลงนามสัญญา บนสัญญาได้ระบุอย่างชัดเจนว่าหากสินค้าได้รับความเสียหายจะต้องชดใช้เป็นเงิน 10 เท่า

พวกเขาคิดว่าเจ้าของคนต่างถิ่นผู้นี้จะต้องไม่มีเงินชดใช้มากมายถึงเพียงนั้น เขาก็แค่ยื่นข้อเสนอให้ใช้หนี้ด้วยโกดังเก็บสินค้า โกดังที่มีเงินเข้าทุกวันเหล่านี้จะไม่ตกสู่เงื้อมมือตระกูลอู๋ได้อย่างไร ?

ในเมื่อเป้าหมายคือโกดังเก็บสินค้า การวางเพลิงด้านนอกคงจะดูไม่ดีแน่นอน พวกเขาจึงเข้าไปในโกดังอีกครั้งและเผาม้วนผ้าที่เก็บอยู่ภายในจนเกิดเป็นรูหลายวง เมื่อควบคุมไฟได้แล้ว วันที่สองก็ไปเรียกร้องให้ตระกูลหลินชดใช้ แผนการนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก !

คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจถึงแผนการชั่วร้าย ทั้งยังคิดแผนซ้อนแผนให้ดาบนั้นคืนสนอง ทำเหมือนจับตะพาบในไห แม้ออกแรงดิ้นให้ตายก็ดิ้นไม่พ้น พวกมันจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ สุดท้ายตระกูลอู๋จึงต้องรับสารภาพความจริงออกมา !

คดีความนี้ถูกมอบหมายให้ทางอำเภอ เมื่อนายอำเภอหวางเห็นแล้วก็ช่วยผู้มีพระคุณของหมินอ๋องซื่อจื่อทันที คดีความนี้ได้รับการพิพากษาขั้นร้ายแรง สุดท้ายก็ตัดสินให้ท่านอาของอู๋ปัวซึ่งบริหารงานมานานนับสิบปีและทั้งตระกูลอู๋ชดใช้ให้แก่เจ้าของโกดังเก็บสินค้าซึ่งก็คือหลินเว่ยเว่ยเป็นจำนวนเงิน 1,000 ตำลึง !

ตระกูลอู๋ร่ำไห้โดยไร้หยดน้ำตา ตระกูลหลินซื้อโกดังเก็บสินค้าแห่งนั้นด้วยเงิน 800 ตำลึง อีกทั้งกำแพงรอบนอกก็เลอะคราบสีดำเล็กน้อย ยังให้พวกตนชดใช้ด้วยเงินตั้ง 1,000 ตำลึง…

เงินจำนวน 1,000 ตำลึงสำหรับตระกูลอู๋ในอดีตย่อมไม่ถือว่ามากมาย ทว่าตอนนี้รากฐานของตระกูลอู๋แทบจะกลวงเป็นโพรง อีกทั้งร้านค้าทั้งสองแห่งที่สร้างเงินได้มากสุดก็ต้องปิดตัวลงและโอนถ่ายกรรมสิทธิ์ ผู้เฒ่าและเด็กน้อยตาดำ ๆ ในตระกูลต้องอาศัยที่นาหลายสิบหมู่ประทังชีวิต…ตอนนี้ยังต้องมาประสบภัยแล้งอันร้ายแรงอีก พืชผลไม่ผลิดอกออกผลเลย !

สุดท้ายเงินจำนวน 1,000 ตำลึงนี้จึงต้องนำเงินสินเดิมของเหล่าสตรีตระกูลอู๋มาชดใช้ !

ด้วยความที่เกือบสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้แก่เจ้าของตัวจริงอย่างนางหนูรอง หลิวว่ายจื่อจึงรู้สึกผิดไม่น้อย แม้แต่ส่วนแบ่งที่ได้มาคราวนี้ก็ยังไม่ต้องการ ถึงกระนั้นหลินเว่ยเว่ยก็อยากให้เขาเก็บไว้

“ในโลกของการค้าขายก็เป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย หลังจากนี้ก็ควรมีสติให้มากหน่อย ! อาว่ายจื่อ ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ ชายชราสูญเสียม้าแต่ได้รับโชคอันยิ่งใหญ่ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้เราก็ยังถือว่าโชคดี ประสบพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแต่ไม่ถึงแก่ชีวิตและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข แม้ตอนนี้จะยังราบรื่นแต่ในวันข้างหน้าอาจตกอับโดยไม่รู้ตัวก็ได้”

เมื่อเรื่องนี้ผ่านพ้นไป หลิวว่ายจื่อยิ่งมุมานะเพื่อช่วงชิงชัยชนะ เขามักจะพกกระดาษขนาดเล็กที่หลินเว่ยเว่ยเขียนให้ทุกวันติดตัวไป ระหว่างเดินทางก็ครุ่นคิด กินข้าวก็นึกถึง แม้แต่จะนอนก็ยังเฝ้าฝันแต่คำที่อยู่บนกระดาษนั้น หลิวว่ายจื่อไม่ใช่คนโง่ แถมยังฉลาดหลักแหลมมาก แม้ว่าในอดีตเขาจะฉลาดแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้ก็ใช้ประโยชน์จากความฉลาดมาจดจำคำที่มักใช้เขียนสัญญา เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จดจำได้เกือบขึ้นใจแล้ว

ผิดเป็นครูและต่อไปถ้าต้องลงนามสัญญาอีก เขาต้องอ่านสัญญาเหล่านั้นให้ละเอียดหลายรอบ รูปแบบสัญญาของตนจะจดจำไว้ขึ้นใจ ไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมาหลอกลวงโดยง่ายอีกเด็ดขาด !

หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป หลินเว่ยเว่ยก็นำเงินชดใช้นั้นซ่อนไว้ก่อนจะขึ้นเกวียนเทียมล่อกลับหมู่บ้านพร้อมบัณฑิตหนุ่มอย่างเบิกบานใจ เจียงโม่หานเริ่มเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต “ตอนเจ้ามาที่นี่ เจ้าสัญญาไว้ว่าอย่างไร ? ”

“อะไรเล่า ? ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเสียหน่อย ? ” หลินเว่ยเว่ยคิดทบทวนอย่างจริงจังครู่หนึ่ง หลายวันมานี้นางอยู่กับบัณฑิตหนุ่ม ไม่ได้ทำเรื่องที่นอกเหนือจากข้อตกลงเลย !

“คืนนั้นผู้ดูแลชิวได้บุกมา….” เจียงโม่หานเอ่ยถึงชื่อคนผู้นั้น

หลินเว่ยเว่ยจึงรีบพูดทันทีว่า “เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงเขาอีก ! คนปัญญาอ่อนผู้นั้น แค่กระดิกนิ้ว ข้าก็สามารถควบคุมได้แล้ว ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายหรอก หากกลับถึงบ้านไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเอ่ยชื่อเขาให้ท่านแม่ข้าได้ยินเด็ดขาด นางต้องเป็นห่วงแน่”

“ไม่อยากให้ท่านป้าเป็นห่วง แต่อยากให้ข้าเป็นห่วงหรือ ? ” เจียงโม่หานชำเลืองตามองครู่หนึ่ง

“ไม่ใช่ ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “เขาก็เป็นได้แค่เห็บตัวน้อยเท่านั้น โดนกัดแต่ไม่ถึงตาย ข้าไม่ใช่คนโง่ที่พาตนเองไปตายหรอก ข้ายับยั้งชั่งใจได้ เอาล่ะ หยุดโมโหได้แล้ว กลับไปข้าจะทำอาหารอร่อยให้เจ้ากิน ! ”

เจียงโม่หานส่งเสียง หึ “ยั่วโมโหข้า แล้วบอกจะทำอาหารอร่อยให้กิน เจ้าเห็นข้าเป็นสิ่งใด นักกินเช่นนั้นหรือ ? ”

“นักกินก็ดีจะตายไป ! ได้กินก็มีความสุขแล้ว ! ข้าซื้อซี่โครงมาด้วย เจ้าอยากกินซี่โครงตุ๋นน้ำแดง ซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานหรือซี่โครงชุบแป้งข้าวเจ้า ?…” เกวียนเทียมล่อเคลื่อนที่ไปตามทาง เสียงของหลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ กลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม…

ฤดูใบไม้ร่วงปรากฏสีเหลืองทองอร่ามพัดพาสายลมเย็นชุ่มช่ำปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง ผืนป่าที่เคยเขียวขจีบัดนี้ถูกย้อมจนมีสีสันโดดเด่นตัดสลับไปมาในช่วงเดือนเก้า ผู้คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวต่างทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หลินจื่อเหยียนถูกหลินเว่ยเว่ยส่งมาเก็บของป่าบนภูเขา ทำงานจนตัวเป็นเกลียวถึงพลบค่ำทุกวัน ภายในระยะเวลาไม่กี่วันเขาสามารถเก็บรวบรวมเมล็ดสนได้มากกว่า 2,000 ชั่ง เมล็ดต้นเจินและถั่วสมองอีก 3,000 กว่าชั่ง นอกจากนี้ก็ยังเก็บเห็ดป่า เห็ดหูหนูดำและเห็ดหูหนูขาวได้มากกว่า 200 ชั่งอีกด้วย

โชคดีเมล็ดสนปากอ้าที่ลู่เหวินจวินกำหนดไว้ได้ถูกขนส่งไปยังเมืองหลวงแล้ว ทำให้โรงงานแปรรูปเมล็ดสนมีที่ว่างสำหรับเก็บพืชผลที่เพิ่งเก็บเกี่ยวจากภูเขา

รอให้แขนของหลินเว่ยเว่ยดีขึ้นกว่านี้ ข้าวโพดในนาของตระกูลหลินก็คงจะสุกงอม ตั้งแต่เหตุการณ์น้ำค้างแข็งในครานั้นตระกูลหลินก็ระวังมาก เวลานี้จึงเตรียมอุ่นเครื่องให้ผืนนา โชคดีที่สวรรค์ยังเมตตา แม้ว่าอุณภูมิจะลดลงเรื่อย ๆ แต่อุณภูมิที่ลดลงโดยไม่ได้ตั้งตัวนั้นไม่เคยเกิดขึ้นอีก

เมื่อล่วงเลยมาถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมินอกบ้านในยามราตรีต่ำสุดแค่ 6 – 7 องศาเซลเซียสเท่านั้น ผลผลิตข้าวโพดตระกูลหลินไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด มันจึงค่อย ๆ สุกงอมขึ้นทุกวัน

ทั่วทั้งหมู่บ้านฉือหลี่โกวล้วนจับจ้องข้าวโพดของตระกูลหลิน ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ‘จับจ้อง’ ในที่นี่ไม่ใช่คำศัพท์ในแง่ลบ เพราะทุกคนล้วนให้ความสำคัญนั่นเอง !

ในด้านอื่น บุตรสาวคนรองตระกูลหลินก็ล้วนมีความสามารถทั้งสิ้น ทำไร่ทำนาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ผู้ใด ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวของครอบครัวอื่นถูกเก็บเกี่ยวได้ไม่เกิน 100 ชั่งต่อหมู่ แต่ผืนนาที่นางเฝ้าทะนุถนอมสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 400 ชั่งต่อหมู่ เมื่อเมล็ดพันธุ์ดีผลผลิตที่ได้ก็สูงตามไปด้วย

คนอื่นไม่ยอมปลูกข้าวโพด ทว่าภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของนางส่งผลให้ลำต้นข้าวโพดมีความหนา ฝักอวบ เมล็ดมีขนาดใหญ่สีเหลืองทอง หมู่บ้านฉือหลี่โกวในอดีตก็เคยปลูกข้าวโพดเช่นกัน แต่สิ่งที่ได้คือข้าวโพดแต่ละต้นมีฝักงอกงามออกมาแค่หนึ่งฝัก ซึ่งในฝักนั้นมีเมล็ดที่ค่อนข้างเล็กจนน่าสงสารและมีน้อยมากจนนั่งนับได้

ข้าวโพดของตระกูลหลินที่ทุกคนเห็นมีฝักเหยียดยาวยิ่งกว่าฝ่ามือของชายวัยกลางคน เมล็ดข้าวโพดเรียงตัวสวย มีความอวบอิ่ม เห็นแล้วน่าชื่นใจยิ่งนัก อีกทั้งบนลำต้นก็มีฝักข้าวโพดงอกงามออกมาสองถึงสามฝัก มากสุดก็ห้าฝักและค่อย ๆ สร้างผลผลิตที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้น