ตอนที่ 281 เตรียมเปิดโรงงานตัดเสื้อขนาดย่อม

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 281 เตรียมเปิดโรงงานตัดเสื้อขนาดย่อม

คุณแม่หม่าถูกหลินม่ายสั่งสอนถึงสองครั้งติดต่อกัน นางจึงโกรธมาก ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วร้องห่มร้องไห้เสียงดัง “ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว แก่จนอายุปูนนี้แท้ ๆ กลับถูกเด็กเมื่อวานซืนตะคอกใส่!”

หลินม่ายหันไปคว้ามีดทำครัวขึ้นมาจากโต๊ะอาหารขนาดเล็กของเถาจืออวิ๋น ก่อนจะขว้างออกไปสุดแรงจนมันปักอยู่แทบเท้าของคุณแม่หม่า “ในเมื่อคุณอยากตายนัก งั้นก็เอามีดทำครัวเล่มนี้ไปซะ ฉันจะสนองความต้องการของคุณเอง ตาย ๆ ไปซะก็ดี มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เปลืองอากาศเปล่า ๆ!”

คุณแม่หม่าตื่นตระหนกจนร้องไห้คร่ำครวญไม่ออก กะพริบตาพร่ามัวมองไปทางหลินม่าย ในใจเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

นางอุตส่าห์ขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ผู้หญิงคนนี้ควรหวาดกลัวถึงจะถูก ทำไมถึงได้กล้าส่งมีดให้ตนแบบนี้ล่ะ?

ขณะเดียวกันนั้น เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “นะ… นี่มันอะไรกัน?”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง เห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีผิวหนาหยาบกร้านตามแบบฉบับของสาวชนบทเยี่ยมหน้าเข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องด้วยสีหน้าสยดสยอง

หลินม่ายคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจเป็นผู้เช่าร่วมในบังกะโลนี้เช่นเดียวกัน

จึงหันไปพูดกับเธอ “พี่สาวคะ รบกวนช่วยแจ้งตำรวจที บอกว่าที่นี่มีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น”

หญิงสาวชนบทคนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์และมีน้ำใจมาก ดังนั้นจึงรีบวิ่งออกไปแจ้งตำรวจโดยไม่รอช้า

พอหลินม่ายหันกลับมาก็เห็นว่าผู้ชายหยาบคายที่นอนอยู่กับพื้นในตอนแรกเริ่มขยับตัวเคลื่อนไหว ดูเหมือนเขาจะตื่นขึ้นแล้ว

เธอจึงรีบหาเชือกมัดเขาไว้ จากนั้นก็ผละออกไปดูอาการของฉีฉี

โชคดีที่หลังจากปลุกฉีฉีให้ตื่นขึ้นแล้ว อาการของเด็กชายไม่ผิดปกติแต่อย่างใด

คุณแม่หม่าเหล่ตามองไปทางเถาจืออวิ๋นด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นก็หันไปพูดกับคุณแม่เถา “ตัดขาด เธอต้องตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับนังแพศยาคนนี้ซะ!”

ถึงแม้คุณแม่เถาไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา แต่สังเกตจากการแสดงออกของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่านางเองก็เห็นด้วย

อารมณ์ของเถาจืออวิ๋นสงบลงกว่าเดิมมาก หล่อนแสดงสีหน้าไม่แยแส

หล่อนต้องการตัดขาดกับแม่ตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่นึกไม่ถึงว่าคุณแม่หม่าจะใช้เรื่องนี้มาเป็นเหตุผล!

ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวชนบทก็เดินนำเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา

เจ้าหน้าที่ตำรวจฉุดร่างชายหยาบคายให้ลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินนำทุกคนไปที่สถานีตำรวจ

มีแค่หลินม่ายที่พอจะรู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นมาอย่างไร

ก่อนหน้านี้ ผู้เช่าอีกสองคนในบังกะโลอาจออกไปข้างนอกหลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ

แต่เถาจืออวิ๋นไม่รู้ หล่อนนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง เปิดดูภาพยนตร์ไปพลาง ๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจในการตัดเย็บเสื้อผ้าจากชุดที่ดาราฮ่องกงและไต้หวันเหล่านั้นสวมใส่

ชายหยาบคายคนนั้นฉวยโอกาสบุกเข้ามาในห้องทันที หวังกระทำมิดีมิร้ายกับหล่อน

เถาจืออวิ๋นพยายามต่อสู้ขัดขืนอย่างสุดความสามารถ

ทันทีที่ฉีฉีเห็นว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะทำร้ายผู้เป็นแม่ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที แต่กลับถูกชายหยาบคายเตะเขาจนร่างกระเด็นไปกระแทกกับมุมห้องแล้วหมดสติไป

ชายหยาบคายกลัวว่าเสียงร้องตะโกนของเถาจืออวิ๋นจะเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นจนทำให้เขาไม่สำเร็จความใคร่ จึงคว้าเอาผ้าขนหนูมายัดใส่ปากของหล่อนไว้

โชคดีที่หลินม่ายปรากฏตัวทันเวลา ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเลวร้ายถึงขั้นหายนะ

หลังจากลงบันทึกประจำวันเสร็จแล้ว หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็พาฉีฉีไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล

ถึงแม้อาการของฉีฉีในตอนนี้จะยังดูเป็นปกติ แต่การที่เขาถูกผู้ชายร่างใหญ่เตะจนศีรษะกระแทกหมดสติไปก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงต้องตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

ทั้งสามมาที่โรงพยาบาลผู้จี้ ในขณะที่ฉีฉีกำลังเข้ารับการตรวจร่างกาย พวกเธอก็บังเอิญเจอกับฟางจั๋วหราน

เขามารับคนไข้เคสฉุกเฉินรายหนึ่ง อ่านผลการตรวจเพื่อดูว่าควรวินิจฉัยให้เข้ารับการผ่าตัดทันทีหรือเลื่อนนัดออกไปก่อน

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นต่อแถวรออยู่นอกห้องหัตถการ เขาก็ขมวดคิ้วถาม “พวกคุณมาที่นี่กันทำไม?”

หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

ฟางจั๋วหรานเสนอแนะ “ในเมื่อบ้านเช่าหลังนั้นไม่ปลอดภัยอีกต่อไป คุณให้เสี่ยวเถากับลูกชายของเธอมาพักอยู่ที่ร้านของคุณสักระยะก็ได้นะ”

หลินม่ายคิดแบบนั้นเหมือนกัน จึงพยักหน้ารับ

หลังจากฉีฉีเข้ารับการตรวจร่างกายแล้ว ผลการตรวจยังไม่ออกในทันที ต้องรออีกสักสองวัน

เถาจืออวิ๋นโอบฉีฉีไว้ เดินตามหลินม่ายกลับไปที่ร้านเปาห่าวซือของเธอ

เถาจืออวิ๋นยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง “บ้านของเธอมีห้องอยู่แค่ไม่กี่ห้อง ถ้าเราสองแม่ลูกย้ายเข้ามาอยู่ จะไม่แออัดไปหน่อยหรือ?”

หลินม่าย “ถึงจะแออัดแต่ก็ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์หรอก เดี๋ยวเราก็จะได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่แล้ว”

เถาจืออวิ๋นถาม “เธอซื้อบ้านหลังใหญ่ไว้แล้วเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า

พอกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายปล่อยให้ฉีฉีอยู่ในความดูแลของโต้วโต้ว จากนั้นก็ถีบรถสามล้อพาเถาจืออวิ๋นกลับไปที่บ้านเช่า เพื่อขนสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกมา

เมื่อไปถึงบังกะโลนั้น พวกเธอก็เจอเข้ากับหญิงสาวชนบทคนเดิมที่ช่วยเป็นธุระไปแจ้งตำรวจให้ หลินม่ายหยิบเงินสิบหยวนออกมาจ่ายให้เธอเป็นการขอบคุณ

เถาจืออวิ๋นเห็นแบบนั้นก็รีบผลักมือเธอออก “ฉันเอง ฉันเอง”

ตอนนี้เถาจืออวิ๋นได้รับค่าจ้างจำนวนมากจากหลินม่าย สถานะทางการเงินของเธอจึงไม่ขัดสนอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่อยากรบกวนหลินม่ายซ้ำซ้อน

หญิงสาวชนบทยอมรับค่าตอบแทนจากเถาจืออวิ๋นด้วยความเกรงอกเกรงใจ

ของใช้ส่วนตัวของเถาจืออวิ๋นมีไม่มากนัก ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็ขนของทุกอย่างกลับมาที่ร้านอาหาร

ตกเย็นหลังมื้ออาหารค่ำ เด็กน้องทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ดูโทรทัศน์ไปพลาง กินแตงโมไปพลาง

ถือเป็นเรื่องดีที่มีตลาดสดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าแตงโมหรือผลไม้อื่น ๆ ล้วนหาซื้อได้ง่าย

ส่วนหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็นั่งหารือกันเกี่ยวกับการเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดย่อม

เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงไม่จำเป็นต้องรับสมัครช่างตัดเย็บมากมาย แค่สิบคนก็เพียงพอแล้ว

ค่าจ้างจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือค่าแรงพื้นฐานและค่าจ้างเป็นรายชิ้นงาน

ค่าจ้างเป็นรายชิ้นงานหมายความว่า พนักงานจะได้รายรับเพิ่มเติมตามจำนวนเสื้อผ้าที่พวกเขาสามารถตัดเย็บได้

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พนักงานเอาเปรียบหรือกินแรงในระหว่างทำงาน

เถาจืออวิ๋นจะได้รับตำแหน่งเป็นทั้งคนออกแบบและคนตรวจสอบคุณภาพ

หลินม่ายกำหนดเงินเดือนพื้นฐานให้เธออยู่ที่หนึ่งร้อยหยวน ส่วนรายรับเพิ่มเติมนั้นจะขึ้นอยู่กับยอดขายเสื้อผ้า

ทุกครั้งที่เสื้อผ้าถูกขายออกไป ค่าคอมมิชชันจะอยู่ที่ตัวละหนึ่งเหมา หรือแล้วแต่เถาจืออวิ๋นจะร้องขอ

เถาจืออวิ๋นพยักหน้าอย่างหนักแน่น พูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันยอมรับข้อเสนอนี้แน่อยู่แล้ว สมัยที่ยังทำงานเป็นนักออกแบบในโรงงาน เงื่อนไขคือยอดขายต้องมากกว่าห้าสิบตัวถึงจะได้รับค่าคอมมิชชัน แต่เธอคำนวณค่าคอมมิชชันให้เป็นรายตัวแบบนี้ ต่อให้วันหนึ่งจะขายเสื้อผ้าได้แค่หนึ่งร้อยตัว ฉันก็ได้รับเงินค่าจ้างส่วนนี้มากถึงสามร้อยหยวนต่อเดือนแล้ว นี่นับว่าไม่น้อยเลย!”

หลังจากปรึกษาหารือกันเรื่องกำลังคน ค่าจ้าง และสวัสดิการต่าง ๆ แล้ว ทั้งสองก็พูดคุยกันต่อเกี่ยวกับรูปแบบการตัดเย็บเสื้อผ้า

หลินม่ายคิดว่าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน พวกเธอไม่ควรรีบร้อนคิดค้นสไตล์เฉพาะตัวจนเกินไป ให้ตัดเย็บเลียนแบบสไตล์ยอดนิยมไปก่อน

รอจนกว่าแบรนด์จะได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ถึงเวลานั้นค่อยคิดค้นรูปแบบเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง

เถาจืออวิ๋นเห็นด้วย และแนะนำว่า “ฉันคงต้องขอดูแบบเสื้อผ้าที่เธอรับซื้อมาจากกว่างโจวหน่อย ถึงจะตัดเย็บเลียนแบบสไตล์นั้นได้ ถ้าเธอมีโอกาสได้ไปกว่างโจวอีก อย่าลืมซื้อเสื้อผ้าตัวอย่างกลับมาให้ฉัน ฉันจะลองใช้เนื้อผ้าที่มีตำหนิตัดเย็บดู รับประกันได้เลยว่าไม่เลวร้ายไปกว่าชุดตัวอย่างแน่ ที่สำคัญ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากเนื้อผ้ามีตำหนิมีต้นทุนต่ำ ยังไงก็ถูกกว่าเสื้อผ้าที่รับซื้อมาจากกว่างโจวอยู่แล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันเชื่อในฝีมือคุณ แต่เพราะคุณตัดเย็บเสื้อผ้าจากเนื้อผ้าที่มีตำหนิได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าช่างตัดเย็บที่เราว่าจ้างมาจะทำแบบนั้นได้เสียหน่อย ถึงอย่างไรก็ยังต้องซื้อผ้าคุณภาพปกติมาใช้สอยอยู่ดี”

เถาจืออวิ๋นเย้ยหยัน “ถ้าช่างของเราไม่สามารถตัดเย็บชุดจากเนื้อผ้าที่มีตำหนิได้ อย่างนั้นก็แปลว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ ถึงการใช้ผ้าคุณภาพปกติในการตัดเย็บจะดีกว่า กระบวนการรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องคอยตัดส่วนที่มีตำหนิออกก็จริง แต่ในเมื่อเธอวางแผนว่าจะจ้างช่างสิบคน เป้าหมายการผลิตก็ควรอยู่ที่สูงสุดสามร้อยตัวต่อวัน ช่างแต่คนละคนต้องตัดเย็บเสื้อผ้าคนละสามสิบตัว แม้แต่ผ้ามีตำหนิ ช่างฝีมือดียังสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนได้สามสิบตัวต่อวันเลย ดังนั้นการใช้ผ้ามีตำหนิในขั้นตอนนี้เลยไม่ส่งผลต่อความเร็วต่อการผลิตเท่าไหร่ ยิ่งไม่มีผลต่อคุณภาพของเสื้อผ้า พอเราพัฒนาแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์จนได้รับความนิยมในระดับหนึ่งแล้ว เราค่อยจัดการตั้งโรงงานอย่างจริงจัง แล้วใช้ผ้าคุณภาพปกติ”

สองชาติที่แล้วหลินม่ายขลุกอยู่แต่ในแวดวงธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร แต่ชาตินี้เธอจับพลัดจับผลูมาทำธุรกิจเสื้อผ้าโดยบังเอิญ

ถ้าไม่นับกลยุทธ์ในการค้าขายเสื้อผ้าแล้ว ความรู้ในส่วนของกระบวนการตัดเย็บของเธอนับว่าผิวเผินมาก

เมื่อเห็นว่าเถาจืออวิ๋นอธิบายได้อย่างชัดเจนและมีเหตุผล จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นก็จัดการตามที่คุณว่าเลย”

จนกระทั่งเข้านอนในตอนกลางคืน ฉีฉีกับแม่ของเขานอนห้องเดียวกัน ส่วนหลินม่ายก็ย้ายมานอนกับโจวฉายอวิ๋น

ถึงเตียงจะกว้างพอสมควร แถมยังมีพัดลมไฟฟ้า แต่สภาพอากาศในฤดูร้อนแบบนี้ก็ยังอบอ้าวเกินไป ไม่เหมาะที่คนสองคนจะนอนเบียดกันอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็คงต้องยอมทนไปก่อน

หวังหรงถูกตู้กวงฮุยตักตวงความสุขจากเรือนร่างเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ทำให้ต้องเดินกลับบ้านทั้ง ๆ ที่ขาถ่างจนเสียบุคลิก

โชคดีที่พ่อหรงและแม่หรงไม่สนใจไยดีสารทุกข์สุกดิบของลูกสาวคนนี้อีกต่อไป จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ นี่ทำให้หล่อนรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

หล่อนไม่อยากให้ใครรู้เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่จะกลัวการถูกถามไถ่

หลังจากนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มในค่ำคืนที่ผ่านมา เช้าวันรุ่งขึ้นอาการอ่อนเพลียของหล่อนก็ดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยท่าทางการเดินก็กลับมาเป็นปกติ

หวังหรงสะพายกระเป๋าไปทำงานตามปกติ ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวดีที่ทำให้หล่อนยิ้มออกเป็นครั้งแรก

บรรดาเพื่อนร่วมงานสาวที่รวมหัวกันหัวเราะเยาะหล่อนเมื่อวานนี้ ต่างก็ถูกคนร้ายเอากระสอบคลุมหัวแล้วทุบตีในระหว่างที่เดินทางมาทำงานในตอนเช้า น่าเสียดายที่ไม่สามารถตามจับคนร้ายได้

เพื่อนร่วมงานพากันคาดเดาว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับหวังหรงแน่ เพราะช่วงนี้หล่อนดูสนิทสนมกับตู้กวงฮุยเป็นพิเศษ บางคนได้ยินว่าทั้งสองคบหากันอย่างลับ ๆ

มีความเป็นไปได้สูงว่าหล่อนคงไปขอให้ตู้กวงฮุยช่วยยืนหยัดปกป้องหล่อน และสั่งสอนบทเรียนให้กับเพื่อนร่วมงานสาวเหล่านั้น

เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ต่างหวาดกลัวว่าตัวเองอาจตกเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกสั่งสอน จึงไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยหวังหรงอีกต่อไป

หวังหรงรู้สึกกระหยิ่มใจมาก

แต่หล่อนลำพองใจได้แค่ไม่ถึงสามชั่วโมง ไม่ช้าข่าวร้ายก็ลอยมาเข้าหู

ก่อนถึงช่วงพักกลางวัน หัวหน้างานเรียกให้หล่อนไปพบที่สำนักงาน บอกให้หล่อนไปรับเงินค่าจ้างก้อนสุดท้ายจากแผนกบัญชี แล้วค่อยเก็บข้าวของออกไปจากที่นี่

หวังหรงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสก ๆ สมองของหล่อนว่างเปล่าขาวโพลน

ต่อให้ใช้นิ้วหัวแม่โป้งในการเดา หล่อนก็คาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็นว่านี่ต้องเป็นฝีมือของฟางจั๋วหรานที่เอาคืนหล่อนเรื่องหลินม่ายแน่

แต่คดีความระหว่างหล่อนกับหลินม่ายยังไม่ทันได้รับข้อสรุปจากทางตำรวจด้วยซ้ำ เขาใช้วิธีนี้เล่นงานหล่อนได้อย่างไรกัน!

ทันทีที่รับเงินเดือนมาเรียบร้อยแล้ว หวังหรงก็รีบไปที่โรงพยาบาลผู่จี้เพื่อเอาเรื่องฟางจั๋วหราน หล่อนถามทั้งน้ำตา

“เห็น ๆ กันอยู่ว่าหลินม่ายจ่ายเงินจ้างนักเลงพวกนั้นมาทำร้ายฉัน ที่ฉันแจ้งความกับตำรวจก็เป็นความจริงทั้งนั้น ทำไมพี่ถึงได้เล่นงานฉันอย่างนี้ ความยุติธรรมของพี่อยู่ที่ไหน? เมื่อก่อนพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย พอเจอหลินม่าย พี่กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยุติธรรมแล้วเหรอที่ทำกับฉันแบบนี้?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับ “แล้วเธอทำตัวคู่ควรให้ฉันปฏิบัติกับเธอด้วยความยุติธรรมหรือเปล่าล่ะ?”

หวังหรงได้แต่หลั่งน้ำตาด้วยความคับแค้นใจ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เฮ้อ ส่วนหนึ่งมันก็มาจากที่เธอทำตัวเองนะยัยหรง ผูกแล้วก็ต้องรู้จักแก้เองแล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)