ตอนที่ 282 ถูกไล่ออกยกบ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 282 ถูกไล่ออกยกบ้าน

ไม่ใช่แค่หวังหรงคนเดียวที่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ยังรวมถึงพ่อและแม่ของหล่อนด้วย

พ่อหรงและแม่หรงได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาโดยตรงก่อนช่วงพักกลางวันเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ได้รับข่าวร้ายว่าตัวเองถูกจัดให้พ้นสภาพการเป็นพนักงาน

พ่อและแม่ของหวังหรงเอะอะโวยวายกับผู้บังคับบัญชาทันที ต้องการคำตอบว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถูกไล่ออกเสียได้

ปกติแล้วพวกเขาไม่เคยมีปากเสียงกับผู้บังคับบัญชามาก่อน เพราะกลัวว่าอาจถูกจับสวมรองเท้าคู่เล็ก(1)

แต่เมื่อเรื่องบานปลายมาจนถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจทุบหม้อข้าวและจมเรือ(2) วางท่าเอะอะใหญ่โต เผื่อว่าการกระทำนี้จะสามารถกดดันให้ผู้บังคับบัญชาถอนการตัดสินใจเสียใหม่

ผู้บังคับบัญชาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครอบครัวของคุณมีนักโทษที่ถูกตัดสินจำคุก ตามนโยบาย พวกคุณควรถูกเชิญออกไปนานแล้ว ผมเพิ่งมาเชิญพวกคุณออกเอาตอนนี้ก็ดีแค่ไหน สำนักงานการไฟฟ้าเป็นองค์กรภาคส่วนใหญ่ ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความมั่นคงของชาติอีกด้วย เกิดวันหนึ่งสมาชิกในครอบครัวของพวกคุณได้รับการปล่อยตัว แล้วเขาก่อเหตุวินาศกรรมขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น พวกคุณชดใช้ผลลัพธ์ที่ตามมาได้หรือเปล่า!”

ทันทีที่ถูกถอดหมวกทรงสูงออก(3) พ่อและแม่ของหวังหรงก็อารมณ์เสียมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตพวกเขายังจะกลับเข้าทำงานในสำนักงานการไฟฟ้าได้ เกรงว่าแม้แต่หน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ก็คงไม่รับพวกเขาเข้าทำงานเช่นเดียวกัน

สองสามีภรรยาเดินกลับบ้านด้วยความสับสน แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเดินไปจนถึงประตูทางเข้าเขตชุมชน ฟางจั๋วหรานกลับมายืนดักพวกเขาไว้เสียก่อน

ฟางจั๋วหรานมาเยี่ยมเยือนถึงเขตชุมชนสำนักงานการไฟฟ้าเชียวหรือ ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก!

ต้องเป็นเพราะเขารู้ความจริงที่หรงหรงถูกนังสารเลวหลินม่ายจ้างนักเลงให้มาทำร้ายร่างกายหล่อนอย่างรุนแรงแน่ พอเขาเห็นธาตุแท้อันเลวทรามของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ถึงได้กลับมาหาหรงหรง

ไม่อย่างนั้นจะอธิบายการมาปรากฏตัวของเขาอย่างกะทันหันที่นี่ได้ออย่างไร?

เขากับคุณย่าของหรงหรงตัดความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกันไปแล้ว เท่ากับตัดขาดมิตรภาพกับคนของตระกูลหวังไปด้วย เขาคงไม่มาถึงเขตชุมชนสำนักงานการไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์แน่

แม่หรงมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานกับหรงหรงกลับมาคบหากัน ต่อให้พวกเขาสองสามีภรรยาจะกลายเป็นบุคคลว่างงาน ฟางจั๋วหรานก็คงเลี้ยงดูปรนนิบัติพวกเขาไม่ให้อดอยาก

สีหน้าของแม่หรงแปรเปลี่ยนเป็นประจบสอพลอทันที หล่อนทักทายเขาด้วยความกระตือรือร้น “จั๋วหราน เธอมาถึงที่นี่เชียว กลับบ้านพร้อมกับพวกเราเร็วเข้า ป้าจะเข้าครัวทำอาหารอร่อย ๆ ให้เธอเอง ช่วงนี้เธอผอมลงไปเยอะ!”

ขณะที่พูดแบบนั้น ก็เอื้อมมือออกไปหมายจะคล้องแขนฟางจั๋วหราน

แต่ฟางจั๋วหรานกลับหลบเลี่ยงมือของหล่อนอย่างนึกรังเกียจ ชายตามองหล่อนด้วยหางตา “สมาชิกสามคนในครอบครัวของพวกคุณถูกไล่ออกกันยกบ้าน เป็นยังไงล่ะครับ ยังมีแก่ใจยิ้มระรื่นอยู่อีกเหรอ?”

ทันทีที่แม่หรงได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้างไปทันที “หรงหรงก็ถูกไล่ออกด้วยเหรอ?”

สองสามีภรรยาไม่รู้ว่าลูกสาวของตัวเองก็ถูกไล่ออกอีกคน ก่อนหน้านี้พวกเขายังหวังให้หวังหรงทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และหวังว่าสามีในอนาคตของหล่อนจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดี

ไม่คาดคิดว่าหวังหรงเองก็ถูกไล่ออก หมายความว่าหล่อนไม่อาจทำงานหาเลี้ยงพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาต้องกินลมตะวันตกเฉียงเหนือ(4)อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ใบหน้าของพ่อหรงเปลี่ยนเป็นมืดมน ถามฟางจั๋วหรานด้วยความโกรธ “เธออยู่เบื้องหลังการที่เราสามคนถูกไล่ออกใช่ไหม?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้ายอมรับ “เป็นฝีมือของผมเอง ใครสั่งสอนให้ลูกสาวคุณแจ้งความเท็จใส่ร้ายม่ายจื่อกันล่ะ ผมเคยเตือนแล้วว่าตราบใดที่หล่อนวุ่นวายกับม่ายจื่อแค่ครั้งเดียว ผมจะจัดการแก้แค้นหล่อนอย่างสาสม!” หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป

พ่อและแม่ของหวังหรงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

นังอกตัญญูหวังหรงนั่นสร้างเรื่องอีกแล้ว ต้องให้คนในครอบครัวตัวเองถึงคราววิบัติก่อนหรือไงถึงจะยอมรามือ!

หวังหรงเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลผู่จี้ด้วยอารมณ์โศกเศร้า ยังไม่ทันยกแก้วขึ้นดื่มน้ำจนหมด พ่อแม่ของหล่อนก็กลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

ก่อนหน้านี้หล่อนไม่รู้ว่าพ่อและแม่ของตัวเองก็ถูกไล่ออกจากงานเหมือนกัน หล่อนคิดว่าคนที่โดนไล่ออกคือตัวเองเพียงคนเดียว

จนกระทั่งเห็นสีหน้าน่าเกลียดของพวกเขา หล่อนจึงรู้ทันทีว่าพวกเขาเองก็ถูกไล่ออก ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ด้วยความรู้สึกผิด เปล่งเสียงออกมาด้วยความกระดากอาย “พ่อ…”

ก่อนที่คำว่า ‘แม่’ จะถูกเอ่ยออกจากริมฝีปาก พ่อหรงและแม่หรงก็รีบเดินจ้ำอ้าวตรงเข้ามา แล้วระดมเรี่ยวแรงทั้งหมดทุบตีลูกสาวทันที

แม่หรงแค่นเสียงก่นด่าไปด้วยขณะที่ลงไม้ลงมือ “อย่ามาเรียกพวกเราแบบนั้นนะ! เราไม่ใช่พ่อแม่ของแก เราเป็นศัตรูของแกต่างหาก แกถึงได้บ่อนทำลายชีวิตของเราถึงขนาดนี้!”

หวังหรงถูกซ้อมจนเริ่มเกิดอาการวิงเวียน หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าพลางร้องแก้ตัว “หนูไม่ได้ทำลายชีวิตใคร! หนูไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้!”

“แกเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสองคนตกงาน ยังมีหน้าแก้ตัวว่าตัวเองไม่ได้ทำอีกเรอะ!”

เมื่อเห็นว่าถึงขั้นนี้แล้วหวังหรงยังยืนกรานปฏิเสธ พ่อและแม่ของหล่อนก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น

หวังหรงพยายามหยิบยกเหตุผลอื่นที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ถูกไล่ออกมาอ้าง “การที่พ่อกับแม่โดนไล่ออกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนูซะหน่อย พี่ชายต่างหากที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้!”

พอได้ยินว่าหวังหรงยังคงปัดความรับผิดชอบ แม่หรงก็ยิ่งโกรธจัด “พี่ชายแกทำให้เราต้องเป็นแบบนี้งั้นเหรอ? แกลืมไปแล้วหรือว่าที่พี่ชายแกต้องมาติดคุกเพราะอะไร?”

พ่อหรงตบหน้าหวังหรงสุดแรงจนหล่อนล้มลงไปกองกับพื้น เลือดไหลรินออกมาจากมุมปาก

“มันจะไม่เกี่ยวข้องกับแกได้ยังไง? ฟางจั๋วหรานเพิ่งยอมรับกับพวกเราเอง ว่าสาเหตุที่เราถูกไล่ออกกันยกบ้านก็เป็นเพราะความโง่ของแก!”

หวังหรงถูกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทุบตีอย่างรุนแรงจนตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นป้องกันศีรษะอีกต่อไป หล่อนนอนนิ่งอยู่กับพื้น ปล่อยให้พวกเขาทุบตีโดยไม่ขัดขืน

ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวตรงหน้าก็เป็นลูกสาวของพวกเขา พอเห็นแบบนั้นพ่อหรงและแม่หรงก็เกิดความสงสารขึ้นมา ในที่สุดก็ยอมหยุดทุบตี

แม่หรงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทั้งน้ำตา “ฉันบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอย่าได้ไปยุ่งวุ่นวายกับนังสารเลวหลินม่ายนั่นอีก ทำไมแกถึงไม่ฟัง! ทำไมแกถึงไม่เชื่อฟังบ้าง หา!”

ภายในใจของหวังหรงกลับไร้ความสำนึกผิด มีแต่ความชิงชัง ความโกรธแค้นอย่างเหลือประมาณ

หล่อนเกลียดฟางจั๋วหรานที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องหลินม่าย!

ในขณะที่ครอบครัวของหวังหรงกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็กำลังยุ่งอยู่กับขั้นตอนมากมายในการเปิดโรงงานตัดเสื้อ

เถาจืออวิ๋นรับผิดชอบการสรรหาช่างตัดเย็บจำนวนสิบคน นอกจากนี้ยังคิดจะรับสมัครช่างอีกสี่คนให้ทำหน้าที่เจาะรังดุมและเย็บกระดุมอีกด้วย

หลินม่ายแวะไปหาเฉินเฟิงเพื่อขอซื้อคูปองอุตสาหกรรมจากเขา เธอต้องการซื้อจักรเย็บผ้าและจักรโพ้ง(5)อย่างละแปดหลัง

เฉินเฟิงรีบหยิบคูปองอุตสาหกรรมจำนวนมากออกมาให้เธอทันที “ฉันไม่เอาเงิน ยกให้เธอฟรี ๆ เลย”

โดยปกติแล้วราคาธุรกรรมของคูปองต่าง ๆ ที่วางขายอยู่ในตลาดมืด คูปองอุตสาหกรรมนับเป็นคูปองที่มีราคาแพงที่สุด เฉพาะกองคูปองตรงหน้ามูลค่ารวมกันก็ฌไม่ต่ำกว่าสองถึงสามร้อยหยวนแล้ว

เฉินเฟิงวางพวกมันไว้ตรงหน้าหลินม่าย แต่หลินม่ายกลับไม่กล้ารับไว้!

เธอพยายามปฏิเสธ “ฉันไม่สบายใจหรอกนะถ้าไม่จ่ายเงิน สหายพี่น้องควรชำระบัญชีกันอย่างชัดเจนถึงจะถูก”

เฉินเฟิงมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เธอเป็นคนแจกจ่ายงานให้ฉันนะ สถานะระหว่างเราเป็นสหายพี่น้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่? ในเมื่อเราไม่ใช่แม้แต่พี่น้อง แล้วจะใช้หลักการชำระบัญชีได้ยังไง?”

พอเห็นสีหน้าลำบากใจของหลินม่าย เขาจึงโบกมือ “ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำงานใต้ดินแล้ว คูปองอุตสาหกรรมที่มีก็ไม่รู้จะขายให้ใคร อย่างน้อยยกให้เธอไปยังดีกว่าเป็นขยะอย่างเสียเปล่า อีกอย่าง เธออุตส่าห์หาลู่ทางสร้างอาชีพใหม่จนฉันมีเงินเป็นกอบเป็นกำ ฉันอยากแบ่งคูปองให้เธอสักสองสามใบไม่ได้เชียวเหรอ?”

หลินม่ายได้คูปองอุตสาหกรรมแล้วก็รีบเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง ซื้อจักรเย็บผ้าและจักรโพ้งที่มีคุณภาพดีที่สุดมาอย่างละแปดหลัง

สถานที่ตั้งของโรงงานยังไม่มีพื้นที่ที่แน่นอน ดังนั้นจึงจัดสถานที่ทำงานให้อยู่บนห้องใต้หลังคาของอาคารที่หลินม่ายเพิ่งซื้อไปก่อน

ด้วยพื้นที่กว้างหลายร้อยตารางเมตร เพียงพอแล้วที่จะจัดวางจักรจำนวนสิบหกหลังไว้โดยไม่แออัด

กระบวนการเตรียมสถานที่และอุปกรณ์เสร็จสิ้นภายในหนึ่งวัน หลังจากนั้นเถาจืออวิ๋นก็ไปที่โรงงานทอผ้าเพื่อขอซื้อผ้าที่มีตำหนิ พอทุกอย่างเสร็จสรรพ ก็ให้ช่างที่ผ่านการคัดเลือกเริ่มผลิตเสื้อผ้า

หลินม่ายแวะไปที่โรงพยาบาลเพื่อติดต่อขอรับผลการตรวจร่างกายของฉีฉี เธอกับเถาจืออวิ๋นจึงโล่งใจเสียทีที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา

วันอันยุ่งเหยิงผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุดก็ถึงวันเปิดร้านเปาห่าวซือแห่งใหม่

เนื่องจากหลินม่ายต้องการขยายกิจการร้านซาลาเปาและติ่มซำให้ใหญ่ขึ้น เธอจึงให้ความสำคัญกับการทำป้ายร้านเป็นพิเศษ

เธอติดต่อจ้างวานช่างทำป้ายตั้งแต่เนิ่น ๆ ป้ายร้านที่ได้สวยงามมากทีเดียว เจิ้งซวี่ตงจัดคนให้เอาป้ายขึ้นไปแขวนที่หน้าร้านตั้งแต่คืนก่อนเปิดร้านแล้ว

หลินม่ายยังคงเก็บงำความลับจนวินาทีสุดท้าย ไม่มีใครรู้เรื่องการเปิดตัวร้านเปาห่าวซือแห่งใหม่เลย นอกจากฟางจั๋วหรานและโจวฉายอวิ๋น

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวร้านควรมีการแสดงรื่นเริงเพื่อเรียกความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการจุดประทัด หรือการเชิดสิงโต

ใครก็ตามที่เดินผ่านไปมาจะได้รับผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์ลายเครื่องหมายการค้าของร้านเปาห่าวซือแจกฟรี แต่มีเงื่อนไขว่าพวกเขาจะต้องเข้าไปรับในตัวร้าน

ยุคสมัยนี้ ผู้คนไม่เคยเห็นการแจกของที่ระลึกในโอกาสสำคัญแบบไร้กฎเกณฑ์มาก่อน ถึงแม้ว่าของที่ระลึกชิ้นนั้นจะมีการพิมพ์ลายเพื่อโฆษณาก็ตาม

ไม่นานนัก ผู้คนจำนวนมากจึงวิ่งกรูกันเข้าไปในตัวร้านเพื่อขอรับผ้าเช็ดหน้าจากร้านเปาห่าวซือเป็นของที่ระลึก

แน่นอนว่าการรับของแจกฟรีจะต้องต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ

หลายคนที่กำลังยืนเข้าคิวเพื่อรอรับผ้าเช็ดหน้าต่างก็เลื่อนสายตาไปอ่านเมนูอาหารชวนชิมที่ติดอยู่บนผนัง

คาดไม่ถึงเลย ถึงแม้ร้านจะตกแต่งอย่างวิจิตรหรูหราแบบนี้ แต่ซาลาเปา ติ่มซำ หรือของว่างอย่างอื่นที่มีขาย กลับไม่ได้มีราคาแพงไปกว่าแผงลอยข้างนอก

พอมองทะลุเข้าไปในครัวผ่านผนังกระจกใส จะเห็นได้ว่าซาลาเปากับติ่มซำมีขนาดชิ้นไม่เล็กเลย ที่สำคัญคือสะอาดถูกสุขอนามัยเป็นอย่างยิ่ง

……………………………………………………………………………………………………………….

สวมรองเท้าคู่เล็ก แสดงถึงการใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือเบียดเบียนผู้ที่มีสถานะต่ำกว่า

หมายถึง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อสู้ตาย

หมวกทรงสูง ในที่นี้เปรียบเปรยถึง ถูกถอดยศ ถอดตำแหน่ง

หมายความว่า อดอยากปากแห้ง กินลมจนอิ่มแทนข้าว

จักรโพ้ง คือจักรสำหรับเย็บตะเข็บด้านข้างของตัวเสื้อ วงแขน และรอบคอ เพื่อเก็บงานไม่ให้ขอบผ้าหลุดลุ่ย

สารจากผู้แปล

โดนขนาดนี้ยังไม่สำนึกอีกนะยัยหวังหรง ไม่รู้เลยว่าที่ชีวิตตัวเองพินาศมันเป็นเพราะการกระทำของตัวเองทั้งนั้น

ไหหม่า(海馬)