ตอนที่ 283 เลี้ยงอาหารมื้อค่ำ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 283 เลี้ยงอาหารมื้อค่ำ

หลังจากที่ผู้สัญจรไปมารับผ้าเช็ดหน้ามาคนละหนึ่งผืนแล้ว บางคนก็ถือโอกาสเข้าไปกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านเสียเลย

ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นร้านของว่าง แต่ที่จริงแล้วในร้านยังขายของหวาน เช่น เต้าฮวย ต้านจิ่ว น้ำเต้าหู้ กุ้ยฮวาหู ซุปงาดำ และเมนูอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

การผสมผสานระหว่างของคาวและของหวานทำให้การกินมีอรรถรสมากขึ้น

กิจการร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ของหลินม่ายครึกครื้นมาก กระทั่งเจ้าของร้านของว่างหลายคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องยืนเขย่งเพื่อมองข้ามฟากถนน

ยุคสมัยนี้ถนนไม่ได้กว้างถึงสิบหกเลน อย่างมากสุดก็แค่แปดเลนเท่านั้น

ตราบใดที่สายตาแหลมคมพอ ก็จะมองเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวที่ปิดทองอยู่บนพื้นกระดานสีแดงของร้านใหม่… เปาห่าวซือ ได้อย่างชัดเจน

เจ้าของร้านของว่างเหล่านั้นเห็นว่าตัวอักษรพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับป้ายร้านอาหารของหลินม่าย ก็รีบเอาข่าวนี้ไปเตือนเธอด้วยความหวังดี

พวกเขาตะโกนบอกจากระยะไกล “เสี่ยวหลิน ไม่ดีแล้ว ร้านของว่างฝั่งตรงข้ามถนนขโมยชื่อร้านของเธอไปแอบอ้าง เธอต้องไปเอาเรื่องพวกเขาเดี๋ยวนี้!”

เจ้าของร้านกลัวว่าหลินม่ายอาจไม่กล้าไปเจรจาตามลำพัง จึงตบหน้าอกของตัวเองราวกับจะขันอาสา พูดว่า “ไม่ต้องกลัวไป เราจะไปกับเธอเอง เธอต้องได้รับคำอธิบายจากเขา”

หลินม่ายยิ้มพลางโบกมือ “ขอบคุณสำหรับความหวังดีค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก นั่นคือร้านใหม่ของฉันเอง”

เจ้าของร้านของว่างเหล่านั้นประหลาดใจมาก “เธอเปิดร้านใหม่ทั้งที แล้วทำไมเธอถึงไม่ย้ายไปประจำอยู่ที่นั่นล่ะ?”

หลินม่ายตอบกลับ “ฉันจ้างผู้จัดการร้านให้คอยดูแลแทนค่ะ มีเขาอยู่ทั้งคน ฉันไม่จำเป็นต้องไปคุมงานด้วยตัวเอง”

เหตุผลหลักเพราะเธอต้องการปล่อยให้เจิ้งซวี่ตงลองอยู่คนเดียว ในอนาคตเขาคนนี้จะกลายเป็นแขนซ้ายและขวาของเธออย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเปิดตัวร้านด้วยซ้ำ

บรรดาเพื่อนบ้านผู้หวังดีได้ยินดังนั้นก็ทยอยแยกย้ายกันไป

หลินม่ายหันกลับเข้ามาในตัวร้าน พอเห็นว่าสีหน้าของพนักงานในร้านไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ จึงถามว่า “พวกคุณเป็นอะไรไป?”

พนักงานคนหนึ่งถาม “เถ้าแก่เนี้ย ร้านของเราที่นี่กำลังจะปิดกิจการลงในเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมคะ?”

“ใช่” หลินม่ายพยักหน้า “เฮ่อเชิ่งจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายและคืนเงินค่าเช่าส่วนเกินให้ครบแล้ว ฉันต้องคืนบ้านหลังนี้ให้เขาในอีกไม่กี่วันนี้แหละ”

พนักงานจึงถามต่ออย่างไม่พอใจ “หมายความว่าพวกเรากำลังจะตกงานสินะ?”

หลินม่ายยิ้ม “ที่แท้พวกคุณก็กังวลเรื่องนี้นี่เอง ฉันไม่มีทางลอยแพให้พวกคุณต้องกลายเป็นคนว่างงานแน่นอน”

เธอหันกลับไปทางหน้าร้าน ก่อนจะชี้ไปที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณเห็นร้านเซาเข่าตรงนั้นไหม ร้านนั้นก็เป็นร้านของฉันเหมือนกัน ร้านนี้ปิดกิจการลงเมื่อไหร่ พวกคุณย้ายไปทำงานในร้านนั้นได้เลย”

พอบรรดาพนักงานรู้ว่าปากท้องของตัวเองไม่ได้รับผลกระทบ ก็หันกลับไปทำงานตรงหน้าต่อด้วยความสบายใจ

หลังจากปลอบใจพนักงานแล้ว หลินม่ายก็ออกไปซื้อเฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอนสำหรับย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ เพื่อที่เธอจะได้ย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ส่งคืนบ้านให้กับเฮ่อเชิ่งโดยเร็ว

หลังจากใช้เวลาเลือกซื้อของไปเกือบวัน หลินม่ายก็ตัดสินใจซื้อของจำเป็นทุกอย่างเท่าที่ตัวเองนึกออก ตั้งใจว่าจะเตรียมขนย้ายตั้งแต่วันพรุ่งนี้

ส่วนอย่างอื่นที่ยังคิดไม่ออกในตอนนี้ เดี๋ยวค่อยซื้อเพิ่มหลังจากย้ายบ้านเรียบร้อยแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าการเลือกซื้อของจะเหนื่อยยิ่งกว่าทำงานเป็นเท่าตัว ขาทั้งสองของหลินม่ายเมื่อยล้าจนขาแทบลาก

ระหว่างมื้อค่ำ ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอแสดงท่าทางหมดเรี่ยวแรงขนาดนั้นก็ถามไถ่ “ซื้อของครบแล้วเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า

ฟางจั๋วหรานคีบซี่โครงชิ้นหนึ่งวางลงในชามของเธอ “เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมค่อยมาช่วยคุณย้ายของก็แล้วกัน ผมหยุดงานพอดี เดี๋ยวจะขอแรงนักศึกษาให้มาช่วยขนย้าย”

สติของหลินม่ายกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ตอนแรกเธอกำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะหาคนช่วยขนของจากไหนดี จึงรีบตอบรับ “ได้สิ ได้สิ!”

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานเรียกนักศึกษาชายกลุ่มใหญ่ให้ติดตามเขามา รอให้ทุกคนกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายเสร็จก่อนแล้วค่อยจัดการขนของ

ลูกน้องของเฉินเฟิงที่แอบคุ้มครองหลินม่ายอย่างลับ ๆ เห็นแบบนั้น ก็รีบกลับไปที่ตลาดสดแล้วตะโกนรายงาน “ลูกพี่ เถ้าแก่เนี้ยหลินกำลังจะย้ายของวันนี้แล้ว พวกเราควรไปช่วยหล่อนดีไหมครับ?”

เฉินเฟิงเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันที “แหงสิ ฉันกับเธอเป็นหุ้นส่วนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันจริงไหม?”

จากนั้นเขาก็เดินไปตบหัวของลูกน้องที่เข้ามารายงานดังฉาด “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าพวกเราไม่ได้ทำอาชีพเป็นอันธพาลอีกต่อไป ให้เรียกฉันว่าผู้จัดการเฉิน อย่าเรียกว่าลูกพี่ให้ได้ยินอีก!”

เหล่าลูกน้องที่เข้ามารายงานความคืบหน้ารีบตอบรับ “พวกเราผิดไปแล้วครับ ผู้จัดการเฉิน!”

เหลียนเฉียวเองก็ออกไปพร้อมกับเฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

ยังไม่ทันเดินไปถึงร้านอาหารของหลินม่าย เขาก็เห็นว่านักศึกษาแพทย์ชายกลุ่มใหญ่ที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวกำลังช่วยกันขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ของหลินม่ายอย่างขันแข็งเหมือนมดงาน

การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นภาพที่เจริญสายตามาก แม้แต่ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมายังหยุดมอง

เฉินเฟิงหยุดกึกอยู่กับที่ ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกคนของตัวเอง “กลับเถอะ!”

ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินมาด้วยความกระตือรือร้น แต่กลับต้องจากไปด้วยความผิดหวัง มีแค่เหลียนเฉียวที่กลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ด้วยกำลังคนหลายสิบคนแบบนี้ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้าวของเครื่องใช้จากบ้านหลังเดิมก็ถูกขนย้ายไปยังบ้านหลังใหม่ที่ตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว ฟางจั๋วหรานจึงพานักศึกษาชายกลับไป

บ้านหลังใหม่มีเครื่องใช้สำหรับอุปโภคบริโภคครบถ้วน ขาดก็แต่ผ้าม่าน เถาจืออวิ๋นคุมงานอยู่บนห้องใต้หลังคาได้สักพักก็ออกไปที่โรงงานทอผ้า เพื่อขอซื้อผ้าเนื้อดีสำหรับทำผ้าม่าน

การทำผ้าม่านสักผืนหนึ่งไม่สามารถหาซื้อผ้ามีตำหนิมาใช้ในการตัดเย็บได้ จำเป็นต้องซื้อผ้าเนื้อดีตลอดทั้งผืนเท่านั้น เนื่องจากผ้าม่านเป็นงานที่ต้องใช้ผ้าหน้ากว้างผืนใหญ่ ถ้าใช้ผ้ามีตำหนิ รอยตำหนิบนเนื้อผ้าจะทำให้ผ้าม่านหมดราคาไม่น่ามอง

หลินม่ายเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอขอแรงวังเสี่ยวลี่และพนักงานคนอื่น ๆ ให้ช่วยกันขนของจากร้านเดิมไปยังร้านเซาเข่าฝั่งตรงข้าม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดร้านเซาเข่าในวันพรุ่งนี้

งานอันยุ่งเหยิงผ่านไปจนเสร็จสิ้นในเวลาประมาณบ่ายสามโมง

หลินม่ายกลับมาที่บ้านหลังใหม่ด้วยความเหนื่อยอ่อน ตั้งใจว่าจะงีบหลับสักหน่อย แล้วเก็บแรงไว้ออกไปตั้งแผงขายของที่ถนนเจียงฮั่นในตอนเย็น

ตั้งแต่ร้านเปาห่าวซือแห่งใหม่เปิดตัวมาจนถึงวันนี้ เสื้อผ้าจำนวนมากที่ตัดเย็บเสร็จสะสมไว้หลายวันยังไม่ถูกนำออกไปวางขาย

ถ้าไม่เร่งระบายสินค้าออกไป เสื้อผ้าก็จะค้างอยู่ในสต็อกเกินความจำเป็น อาจส่งผลให้โรงงานเสื้อผ้าที่เพิ่งก่อตั้งต้องหยุดพักการผลิตเป็นการชั่วคราว

แต่ไม่นานนักหลังจากที่เธอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงของฟางจั๋วหรานร้องเรียกจากด้านนอกประตู

เธอจำต้องลากสองขาที่หนักอึ้งเดินไปเปิดประตูให้เขา ทันใดนั้นถึงเห็นว่าฟางจั๋วหรานยืนอยู่ข้างนอก โดยมีพนักงานยกของอีกสองคนอยู่ด้านหลัง แบกตู้เย็นเอาไว้

เธอรีบก้าวออกไปอย่างเร่งรีบเพื่อเปิดทางให้พวกเขาเข้ามาข้างใน

ฟางจั๋วหรานสั่งให้พนักงานยกของจัดวางตู้เย็นไว้ในห้องอาหาร พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็กลับไป

หลินม่ายยิ้มกว้าง “ฉันลืมซื้อตู้เย็นไปสนิทเลย”

ฟางจั๋วหราน “เท่าที่ผมจำได้ คุณยังอยากซื้อเครื่องซักผ้าอีกด้วย แต่ผมไม่ได้ซื้อมาพร้อมกัน ผมลองถามผู้จัดการร้านดู เขาบอกว่าที่ร้านจะสั่งซื้อมาแค่สิบสองเครื่องต่อเดือน และทุกครั้งที่วางขาย สินค้ามักจะขายหมดภายในสองวัน ผมเลยไม่แน่ใจว่าเดือนหน้าจะแย่งซื้อทันหรือเปล่า”

หลินม่ายใจเต้นแรงขั้นมาทันทีหลังจากได้ยินแบบนั้น “จื่อฉิงบอกว่าในโกดังของด่านศุลกากรมีเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าหลายประเภทเลยค่ะ ครั้งหน้าถ้าฉันไปที่กว่างโจวอีกจะลองถามดูเผื่อได้สิทธิ์ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างตู้เย็นและเครื่องซักผ้าบ้าง ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้เอง ส่วนที่เหลือค่อยให้เฉินเฟิงนำไปเสนอขาย”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ดีเหมือนกัน”

จู่ ๆ ก็เหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฉินเฟิงเคยบอกให้ผมเชิญเขามาเลี้ยงอาหารมื้อค่ำหลังจากที่ระบายสินค้าทั้งหมดที่รับซื้อมาจากโกดังด่านศุลกากรครั้งแรกจนหมด ป่านนี้เขาคงขายของพวกนั้นจนหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ผมกลับลืมเชิญเขามาเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ เลือกวันสู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ ไหน ๆ วันนี้ผมก็หยุดงานพอดี ลองเชิญเขามากินอาหารมื้อค่ำเนื่องในโอกาสที่คุณย้ายบ้านใหม่ก็ได้ เดี๋ยวเขาจะคิดเล็กคิดน้อยว่าผมไม่เต็มใจเชิญเขามากินอาหารร่วมกัน”

หลินม่ายได้ยินว่าน้ำเสียงของเขามีความลำบากใจแฝงอยู่ก็นึกอยากหัวเราะ แต่เธอกลัวว่าเขาจะเสียหน้า จึงพยายามอดกลั้นความขบขัน

“ฉันจะออกไปเชิญเขากับเหลียนเฉียวมากินอาหารมื้อเย็นที่บ้าน ระหว่างทางว่าจะแวะซื้อวัตถุดิบสักหน่อย”

ว่าแล้วหลินม่ายก็คว้าตะกร้าจ่ายตลาดออกไป ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาก็กลับมาที่บ้านพร้อมกับตะกร้าที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบ

ฟางจั๋วหรานกับโต้วโต้วช่วยกันทำความสะอาดบ้าน หลังจากเสร็จงานทั้งสองก็นั่งพักบนโซฟาพลางกินผลไม้ดับร้อนไปด้วย

ทันทีที่เห็นว่าหลินม่ายกลับมาแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ คว้าเอาตะกร้าหนัก ๆ ในมือเธอไปถือไว้ ถามว่า “ทำไมคุณออกไปนานจัง?”

“ตอนที่ฉันแวะไปเชิญเฉินเฟิงกับเหลียนเฉียวให้มากินอาหารเย็นด้วยกัน ฉันรวดคุยเรื่องงานกับเฉินเฟิงเพลินไปหน่อย”

ขณะที่พูดแบบนั้น หลินม่ายก็เดินตามฟางจั๋วหรานเข้าไปในครัว พับแขนเสื้อขึ้นตั้งท่าจะลงมือปรุงอาหารมื้อเย็น

ฟางจั๋วหรานวางตะกร้าลงบนเตาแก๊ส แล้วหันไปพูดกับเธอว่า “คุณไปนั่งพักที่โซฟาเถอะ กินผลไม้ เอนหลังพักผ่อนสักหน่อย เรื่องอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”

หลินม่ายมองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง “ไม่ยักรู้ว่าศัลยแพทย์แบบคุณมีทักษะในการทำอาหารด้วย เกิดอาหารที่คุณทำมีรสชาติไม่อร่อยขึ้นมา เฉินเฟิงคงยิ่งเข้าใจผิดว่าคุณจงใจแกล้งเขา อายแขกซะเปล่า ให้ฉันทำเถอะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝีมือการทำอาหารของผมก็ไม่ได้แย่นะ”

“เชื่อฉันเถอะน่า!” หลินม่ายผลักเขาออกไป ก่อนจะสาละวนอยู่กับงานในครัวต่อไป

ฟางจั๋วหรานทำอะไรไม่ถูก จึงรอช่วยเป็นลูกมือเธออยู่ห่าง ๆ

เถาจืออวิ๋นเย็บผ้าม่านเสร็จพอดี หล่อนเดินลงมาจากห้องใต้หลังคา แล้วเรียกหลินม่ายให้ออกไปช่วยหล่อนแขวนผ้าม่าน

ฟางจั๋วหรานวางงานในมือลงทันที “เดี๋ยวผมช่วย”

อาศัยความสูงของเขา ไม่นานผ้าม่านทั้งหมดก็ถูกแขวนเสร็จในเวลาอันสั้น

ผ้าม่านทุกผืนเป็นสีเขียวอ่อน พิมพ์ลายด้วยดอกไม้สีขาวกระจุ๋มกระจิ๋ม มองแล้วสดชื่นสบายตาเป็นอย่างยิ่ง

ประมาณหกโมงเย็น เฉินเฟิงก็พาเหลียนเฉียวมาถึงบ้านหลังใหม่ตามนัด

พอเฉินเฟิงเห็นว่าฟางจั๋วหรานสวมผ้ากันเปื้อนผืนเล็กที่ตกแต่งด้วยลูกไม้กรุยกรายพันอยู่รอบเอว ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “นึกไม่ถึงเลยว่ารองศาสตราจารย์สาขาศัลยศาสตร์จะวางมือจากการถือมีดผ่าตัด แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นพ่อบ้านอย่างเต็มตัวแบบนี้”

ฟางจั๋วหรานกลับวางตัวสงบนิ่งไม่คล้อยตามไปกับคำหยอกล้อของอีกฝ่าย ราวกับงานพ่อบ้านเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และเฉินเฟิงไม่ควรดูถูกเขา

เฉินเฟิงรู้สึกเบื่อหน่ายที่มุกตลกของตัวเองไม่เป็นผล จึงเม้มริมฝีปาก แล้วส่งแจกันโบราณคู่หนึ่งที่ถือติดมือมาด้วยให้กับหลินม่าย “อยู่เย็นเป็นสุข สงบร่มรื่น”

หลินม่ายยื่นมือออกไปรับแจกันโบราณ“อยู่เย็นเป็นสุข สงบร่มรื่น”คู่นั้น

ไม่วายถามเขาว่า “แจกันโบราณคู่นี้มีราคาแพงมากหรือเปล่า? ถ้าแพงเกินไปฉันคงไม่รับไว้”

“สมบัติตกทอดจากสมัยราชวงศ์ชิง เธอว่ามีมูลค่ามากแค่ไหนกันล่ะ!”

หลินม่ายได้ยินแล้วก็ยอมรับของขวัญนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ ก่อนจะจัดวางไว้ข้างกันกับหินลายดอกเก๊กฮวย(1)

ทันใดนั้น ห้องนั่งเล่นก็มีกลิ่นอายของความวินเทจแบบยุคเก่า

เหลียนเฉียวพูดกับหลินม่ายอย่างเชื่องช้า “ฉันเองก็มีของขวัญมาให้เหมือนกัน” จากนั้นก็ยื่นถุงผ้าในมือให้กับหลินม่าย

หลินม่ายรับมันมาถือไว้ พอมองเข้าไปในถุงผ้าก็พบว่าข้างในนั้นมีผ้าห่มผืนหนึ่งซึ่งมีสีสันสดใส

ของขวัญชิ้นนี้ดูไม่เหมือนของขวัญขึ้นบ้านใหม่เลย ดูเหมือนของขวัญแต่งงานมากกว่า

………………………………………………………………………………………………………

หินลายดอกเก๊กฮวย หรือ หินแจสเปอร์ลายดอกไม้ (Chrysanthemum Stone) ถือเป็นหินประดับที่คนจีนมีความเชื่อว่าเป็น ‘หินแห่งความมั่งคั่งและเกียรติยศ’

สารจากผู้แปล

นึกภาพพี่หมอเป็นสามีของม่ายจื่อออกเลยค่ะ พี่หมอต้องเป็นพ่อบ้านที่ดีได้แน่นอน

ไหหม่า(海馬)