ตอนที่ 284 เฉินเฟิงเมา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 284 เฉินเฟิงเมา

อาหารหลายเมนูถูกยกมาเสิร์ฟ ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน

ฟางจั๋วหรานยกแก้วขึ้นเป็นการขอบคุณเฉินเฟิง “ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือคู่หมั้นของผมไว้หลายครั้ง”

หลินม่ายเหลือบมองเขา เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘คู่หมั้น’ ราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ

เฉินเฟิงยกแก้วขึ้นชนแก้วของฟางจั๋วหราน พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิกลาย ๆ “คุณนี่ชอบทำตัวเป็นคนแก่ไปได้ ทุกครั้งที่เจอกันจะต้องพูดขอบคุณอยู่เรื่อย คุณอาจไม่รำคาญ แต่ผมน่ะรำคาญจะตายไป”

เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ คีบอาหารเข้าปากสองสามคำ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ “เมื่อกี้นี้คุณพูดว่าอะไรนะ? ม่ายจื่อเป็นคู่หมั้นของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อีกไม่นานหรอก เราตกลงว่าจะหมั้นกันในวันชาติปีนี้” ฟางจั๋วหรานพูดยิ้ม ๆ “รอให้ถึงวันนั้น คุณจะพาเหลียนเฉียวมาร่วมยินดีก็ยังได้”

เหลียนเฉียวรีบถาม “ทำไมถึงจัดงานหมั้นล่ะคะ? จัดงานแต่งไปเลยไม่ดีหว่าหรือ?” หลังจากพูดจบ สายตาของหล่อนก็มองตรงไปที่ฟางจั๋วหราน

ถึงฟางจั๋วหรานจะดูเป็นคนอัธยาศัยดี แต่ท่าทางน่าเกรงขามของเขาก็ทำให้หล่อนอดขนลุกไม่ได้

เขาอธิบายว่า “ม่ายจื่ออายุแค่สิบแปดปี อายุยังไม่ถึงวัยที่สมควรแต่งงาน”

เหลียนเฉียวได้รับคำตอบก็ไม่ถามซักไซ้อีก ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อไป

ดูเหมือนว่าวันนี้ความเจริญอาหารของหล่อนจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าปกติ

เฉินเฟิงพยายามโน้มน้าวให้ฟางจั๋วหรานดื่มไวน์เพิ่มอีกหน่อย ยื้อยุดกันไปมา ท่าทางดูกระสับกระส่ายชอบกล

ฟางจั๋วหรานให้เหตุผลว่าเขาดื่มสังสรรค์แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ถ้าดื่มมากเกินไปจะเป็นการทำลายสุขภาพเสียเปล่าๆ ในที่สุดเฉินเฟิงจึงยอมแพ้

อาหารมื้อนี้เอร็ดอร่อยมากทีเดียว

หลังจากส่งแขกและล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็หยิบผ้าห่มที่เหลียนเฉียวมอบให้เป็นของขวัญออกมากางและปูทับบนเตียงนอน

ผ้าห่มผืนนี้พิมพ์ลายดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ล้อมเป็นกรอบรอบตัวอักษร ‘喜’ (สุขยินดี) สีแดงขนาดใหญ่ไว้ตรงกลาง

เหลียนเฉียวต้องการแฝงความหมายทางอ้อมไว้ในของขวัญชิ้นนี้ ให้เธอกับฟางจั๋วหรานครองรักกันอย่างยาวนาน

ตอนที่เฉินเฟิงกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านหลังใหม่ของหลินม่าย เขายังวางตัวเป็นปกติเช่นทุกครั้ง

แต่นั่นเป็นเพราะตอนที่อยู่ต่อหน้าหลินม่าย เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาต่างหาก

เขาเหลือบไปเห็นร้านค้าขนาดเล็กริมถนน ก็เดินเข้าไปเคาะกระจกหน้าเคาน์เตอร์ทันที “มีเหล้าตัวแรงที่สุดในร้านไหม?”

เถ้าแก่ของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างกายบึกบึน แข็งแรงถึงขั้นสามารถล้มผู้ชายสองคนได้ในครั้งเดียว

แต่เมื่อเห็นว่าลูกค้ารายนี้เป็นเฉินเฟิง เขากลับแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ตอบอย่างสุภาพนอบน้อม

“เหล้าตัวนี้แรงที่สุดในร้านแล้วครับ” ว่าแล้วก็หันไปหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมา แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ด้วยมือที่สั่นเทา

เฉินเฟิงยกขวดเหล้าขึ้นมา ส่องดูระดับของเหลวที่อยู่ภายใน แล้วถามว่า “ขวดนี้ขายเท่าไหร่?”

“หนึ่งหยวนครับ”

เฉินเฟิงหยิบเงินหนึ่งหยวนออกมาตบลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะคว้าขวดเหล้าเดินจากไป

เหลียนเฉียวเดินตามหลังมาติด ๆ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากซื้อเหล้าล่ะคะ? ที่บ้านก็มีเหล้าอยู่ตั้งหลายขวด”

ขณะที่พูดแบบนั้น ระดับเสียงของหล่อนกลับแผ่วปลายลงเรื่อย ๆ

เฉินเฟิงคลายเกลียวตรงฝาขวด จากนั้นก็กระดกเหล้าเข้าปาก เงยหน้าขึ้นกลืนเหล้าขาวลงคอหลายต่อหลายอึก

เหลียนเฉียวตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง กว่าหล่อนจะได้สติ เฉินเฟิงก็กระดกเหล้าขาวดื่มไปครึ่งขวดแล้ว

เหลียนเฉียวรีบเอื้อมมือออกไปหมายจะแย่งขวดเหล้าในมือเขา “เจ้านาย นี่เหล้าขาวนะคะ ไม่ใช่น้ำอัดลม คุณจะดื่มเอาเป็นเอาตายแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวก็เมาหรอก!”

ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วของหล่อนจะสัมผัสถูกขวดเหล้า เฉินเฟิงก็ผลักหล่อนออกไป ถึงพยายามคว้ามันอีกแต่ก็ถูกผลักให้ออกห่างทุกครั้ง

เหตุการณ์ดำเนินต่อไปแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระหว่างที่เดินอยู่บนถนนเขาก็ดื่มเหล้าจนหมดทั้งสองขวด พอกลับถึงบ้านก็เมามายจนหลับพับไป

เหลียนเฉียวทำหน้าที่ต่างภรรยาช่วยประคองเขาให้นอนลงบนเตียง ถอดรองเท้าให้ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดหน้า ก่อนจะเข้าครัวทำซุปร้อน ๆ แก้อาการเมาค้างให้เขา

เฉินเฟิงตื่นมาดื่มซุปแก้เมาค้างด้วยความมึนงง ขณะที่เหลียนเฉียวกำลังจะเดินจากไปพร้อมกับถ้วยเปล่า เฉินเฟิงก็คว้ามือข้างหนึ่งของหล่อนไว้แน่น

หัวใจของเหลียนเฉียวเต้นแรงขึ้นมาทันที หล่อนหันหน้ากลับไปมองเฉินเฟิง เห็นว่าเขาพูดพึมพำอะไรบางอย่างทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท “อย่าเพิ่งไป อยู่กับฉันก่อนได้ไหม?”

หัวใจของหล่อนอ่อนยวบเหมือนจมลงในสระน้ำ ตอบกลับเบา ๆ “ค่ะ ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่กับคุณ”

เฉินเฟิงพูดต่อทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา “ฉันชอบเธอมานานแล้ว”

เหลียนเฉียวรู้สึกตื่นเต้นจนแทบควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ “ฉันเองก็ชอบคุณมานานแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ฉันไม่เคยกล้าสารภาพกับคุณเลย เพราะฉัน… ฉันกลัวว่าตัวเองไม่คู่ควรพอที่จะอยู่เคียงข้างคุณ…”

ในขณะที่หล่อนยังพูดพล่ามไม่ทันจบ เฉินเฟิงก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ม่ายจื่อ ถ้าฉันบอกว่าฉันอยากอยู่กับเธอ เธอจะเลือกฉันไหม?”

เหลียนเฉียวเงียบกริบลงทันที มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพูดจาเพ้อเจ้อแบบนี้ ที่แท้เขาก็สารภาพรักผิดคน!

หล่อนควรฉุกคิดให้ได้เร็วกว่านี้

เหลียนเฉียวนึกอยากสะบัดมือเฉินเฟิงออกและเดินออกไปให้พ้นจากตรงนี้ แต่หล่อนทำอย่างนั้นไม่ลง ผู้ชายคนนี้คือคนที่หล่อนหลงรักมาตลอดหลายปี

หล่อนจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาคมเข้มของชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วพริบตานั้นจึงเกิดความคิดกล้าได้กล้าเสียขึ้นมา

หล่อนต้องฉวยโอกาสตอนที่เฉินเฟิงกำลังมึนเมาและสับสนอยู่นี้ ทำให้ข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุก(1)เสีย

เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินเฟิงตื่นขึ้นมา และเห็นว่าเรื่องราวเลยเถิดไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรับผิดชอบหล่อนแน่

ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งสองก็จะลงเอยกัน หล่อนจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

พอคิดมาถึงตรงนี้ เหลียนเฉียวจึงรวบรวมความกล้าตอบเฉินเฟิงไปว่า “แน่นอน ฉันจะเลือกคุณ” จากนั้นก็ก้มหน้าลงประกบริมฝีปากจูบเฉินเฟิงอย่างรุกล้ำ

ถึงแม้ริมฝีปากของเฉินเฟิงถูกครอบครอง แต่เขาก็ยังคงเปล่งเสียงถาม “ม่ายจื่อเหรอ เธอคือม่ายจื่อจริงเหรอ เธอคือม่ายจื่อจริง ๆ ใช่ไหม?”

เหลียนเฉียวคาดไม่ถึงมาก่อนว่าถึงแม้เขาจะเมามากขนาดนี้ สติสัมปชัญญะก็ยังคงหลงเหลือซึ่งเหตุผล

แต่หล่อนไม่อยากหยุดการกระทำของตัวเอง หล่อนอยากเสี่ยงดวงดูสักครั้ง หวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเขากลายเป็นความจริง

หล่อนไม่ยอมตอบกลับ ยังคงแนบริมฝีปากจูบเขา ราวกับต้องการทำให้เขาเชื่อว่าหล่อนคือหลินม่าย

เฉินเฟิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝืนลืมตาขึ้น สองมือยกขึ้นประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้

หลังจากกลับมาได้สติรับรู้แค่ไม่กี่วินาที ร่องรอยความอ่อนโยนในแววตาของเขาก็หายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาอันไร้จุดสิ้นสุด “ทำบ้าอะไรของเธอ!”

เขารวบรวมแรงกำลังที่มีผลักร่างของหล่อนออกไป กระทั่งร่างของเหลียนเฉียวถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น

เหลียนเฉียวรีบลุกขึ้นจากพื้น โดยที่สายตาไม่กล้ามองสบกับเขาอีกต่อไป

ถึงอย่างนั้นหัวใจของหล่อนก็ยังเปี่ยมไปด้วยความกังวลระคนคาดหวัง หล่อนถามเสียงแผ่ว “อาเฟิง คุณจะอยู่กับหล่อนได้ยังไง? หลินม่ายมีแฟนแล้ว และกำลังจะหมั้นกันในเร็ววันนี้ ก่อนหน้านี้เรื่องระหว่างคุณกับหล่อนก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ในอนาคตยิ่งเป็นไปไม่ได้”

เฉินเฟิงยกแขนขึ้นปิดตาตัวเอง “ต่อให้โลกนี้ไม่มีหลินม่าย เรื่องระหว่างฉันกับเธอก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ออกไปซะ!”

เหลียนเฉียวยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินออกจากห้องของเฉินเฟิงไปด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์

ในวันที่หลินม่ายย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ สมาชิกทั้งสามคนของครอบครัวหวังหรงก็ถูกหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยกึ่งเชิญกึ่งบังคับให้ย้ายออกจากบ้านพักสวัสดิการที่พวกเขาอาศัยอยู่

เนื่องจากในครอบครัวของพวกเขาไม่มีใครเป็นพนักงานในสำนักงานการไฟฟ้าอีกต่อไป เท่ากับว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์เชิดหน้าชูตาอยู่ในบ้านพักสวัสดิการของสำนักงานการไฟฟ้าได้อีก และจะต้องส่งคืนบ้านพักให้กับหน่วยงานโดยปริยาย

พ่อและแม่ของหวังหรงทำงานในตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายปฏิบัติการมาหลายปี ทั้งยังเป็นคนหน้าบางพอสมควร จึงไม่กล้ายืนกรานขอครอบครองบ้านพักนี้ต่อ หรือแม้แต่ปฏิเสธที่จะย้ายออก

พ่อของหวังหรงขอยืมรถบรรทุกของหน่วยงานจากหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย และขอให้เขาส่งคนมาช่วยขนข้าวของทั้งหมดเพื่อย้ายออกไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง

รถบรรทุกขับเข้ามาจอดที่หน้าประตูลานบ้านของแม่เฒ่าหวัง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยสั่งให้ลูกน้องในทีมที่พามาด้วยช่วยครอบครัวของหวังหรงขนของลงจากรถเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันอดีตเพื่อนร่วมงาน เสร็จแล้วพวกเขาก็ขับรถออกไป

สัมภาระในบ้านของหวังหรงมีจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว เสื้อผ้า รวมถึงเครื่องนอน ทุกอย่างถูกวางซ้อนกันเป็นกองพะเนินอยู่หน้าลานกว้างของแม่เฒ่าหวัง ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นจากเพื่อนบ้าน

หลายคนชะโงกหน้าเข้ามาเมียงมองข้าวของเหล่านั้น ก่อนจะถามหวังหรงด้วยความสงสัย “หรงหรง ครอบครัวของเธอจะย้ายมาอยู่กับคุณย่าเป็นการถาวรเลยเหรอ?”

“ใช่” หวังหรงตอบรับไปตามนั้น “คุณย่าอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงดี พวกเราย้ายมาอยู่กับท่านแบบนี้จะได้คอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด”

พ่อและแม่ของหวังหรงพอใจมากเมื่อได้ยินลูกสาวตอบไปแบบนั้น ถึงยังไงข้อแก้ตัวดังกล่าวก็ยังฟังดูดี พอจะหลีกเลี่ยงความอับอายได้บ้าง

นับตั้งแต่แม่เฒ่าหวังลงนามในเอกสารตัดขาดสายสัมพันธ์กับฟางจั๋วหราน นางก็กลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าหมายการถูกเยาะเย้ยถากถางจากบรรดาเพื่อนบ้าน

นอกเหนือจากการออกจากบ้านเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็น นางมักจะปิดประตูเงียบและซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน

ตอนนี้นางกำลังตัดแต่งกิ่งไม้และพืชพรรณในสวนเพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงของหวังหรง ก็รู้สึกชื่นใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าหลานสาวอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเยียน

ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งคาดหวังให้ลูกหลานหมั่นแวะมาเยี่ยมบ่อย ๆ

แต่แล้วเมื่อแม่เฒ่าหวังเดินออกไปเปิดประตูลานบ้าน ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า โพล่งออกมาเสียงดัง “พวกเธอ… จะย้ายมาอยู่บ้านของฉันหรือไงกัน?”

แม่หรงกลัวว่าอีกฝ่ายอาจเผลอหลุดปากพูดอะไรออกมาจนทำให้ครอบครัวของหล่อนได้รับความอับอาย จึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณแม่เคยโทรมาตัดพ้อกับพวกเราบ่อย ๆ ว่าไม่ค่อยสบายไม่ใช่เหรอคะ? ฉันกับพ่อของหรงหรงเลยตัดสินใจว่าจะย้ายมาอยู่กับคุณแม่เสียเลย เพื่อที่จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้นไงล่ะคะ”

ทันทีที่แม่เฒ่าหวังได้ยินแบบนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าสาเหตุที่ครอบครัวนี้ย้ายมาอยู่กับตัวเอง ต้องเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการของสำนักงานการไฟฟ้าอีกต่อไปเป็นแน่

แต่เพราะอะไรพวกเขาถึงถูกสำนักงานการไฟฟ้ายึดบ้านพักสวัสดิการคืนกันล่ะ?

แม่เฒ่าหวังทั้งสับสนทั้งสงสัย เฝ้ามองพ่อแม่ลูกตระกูลหวังทั้งสามคนช่วยกันขนสัมภาระเข้ามาในบ้านทีละเล็กละน้อย จากนั้นจึงปิดประตูลานบ้านแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “บอกความจริงมา ทำไมจู่ ๆ พวกเธอถึงนึกอยากย้ายมาอยู่กับฉัน?”

แม่เฒ่าหวังกับลูกสะใภ้ไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สมัยที่ยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็มักจะมีปัญหากันอยู่เนือง ๆ

โชคดีที่ฟางเว่ยกั๋วยื่นมือเข้ามาช่วย ใช้เวลาไม่นานก็หาทางให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้เข้าทำงานในสำนักงานการไฟฟ้า จึงมีบ้านพักสวัสดิการเป็นของตัวเอง

ไม่อย่างนั้นขืนมีปากเสียงทะเลาะกับลูกสะใภ้ทุกวันแล้วละก็ แม่เฒ่าหวังคงไม่มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงวันนี้

หวังหรงก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด แม่หรงเองก็มีสีหน้าซีดเซียวและเอาแต่นิ่งเงียบ พ่อหรงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ของเขาฟัง

………………………………………………………………………………………………………………

สำนวนนี้หมายถึงเหตุการณ์ที่สายเกินแก้ เลยจุดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้อีก

สารจากผู้แปล

คนไม่ใช่ทำยังไงมันก็ไม่ใช่ เจ็บปวดแทนเฉินเฟิงแทนเหลียนเฉียวเลย

บ้านหวังจะบันเทิงไหมนะ แม่สามีลูกสะใภ้จะทะเลาะกันไหม แต่ถ้าออกจากบ้านนี้ไปก็ไม่มีที่ให้อยู่แล้วนะ

ไหหม่า(海馬)