บทที่ 296 ข้าแค่อยากออกมาสูดอากาศ ไม่ได้อยากหนี
บทที่ 296 ข้าแค่อยากออกมาสูดอากาศ ไม่ได้อยากหนี
คนจิตไม่ปกตินั่นจับนางมาไว้ที่นี่ ไม่มีวิธีทรมานนางหรือไม่ทำอะไรนางสักนิด กลับสั่งให้คนดูแลนางดี ๆ ทั้งอาหารและน้ำ นอกจากถูกขังไว้และขยับไปไหนได้จำกัดแล้ว นางก็ได้รับการดูแลดีมาก
หึ หากคิดว่าถูกพามาเป็นแขกก็คงใสซื่อไปแล้ว
น้ำบ่อนี้…..
ชิงอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นแบมือออก ลูกบอลเพลิงสีแดงก่อร่างขึ้นบนฝ่ามือ เหมือนกับว่ากำลังหลับอย่างเป็นสุข
เห็นแล้ว ชิงอวี่ก็ยกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะหยัน พลิกฝ่ามือแล้ว มันก็ร่วงลงน้ำไป จังหวะที่ทั้งตกใจทั้งลนลาน มันก็ส่งเสียงบุ๋ง ๆ สำลักน้ำเข้าไปหลายอึก
“อึ่ก….. แค่ก แค่ก แค่ก….. แค่ก แค่ก…..”
ชั่วลมหายใจหนึ่ง หัวสีแดงก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ เปียกโชกไปหมด ใบหน้าเล็กบิดเบี้ยวไปจากการสำลักน้ำ น้ำตาไหลพราก ดูเป็นภาพที่น่าสงสารเป็นยิ่งนัก
หากแต่คนร้ายยังใช้สายตาเรียบเฉยจ้องมองโดยไม่รู้สึกผิดสักนิด
เดิมทีเจ้าตัวเล็กหมายจะกระโจนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์จ้องมอง เขาก็ก้มหน้าลงดูกลัว ๆ เอ่นเสียงแผ่วออกมา “น….. นายหญิง มีคำสั่งอะไร…..”
“ยังรู้สินะว่าข้าคือนายหญิงของเจ้า?!” ชิงอวี่เหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้มหยัน น้ำเสียงดูถูก
“ข้าย่อมรู้! ท่านเป็นนายหญิงคนเดียวของข้า เป็นผู้ช่วยชีวิต ผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าออกมาจากความทุกข์อันยากจะกล่าว!!” น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นนัก กระตือรือร้นที่จะยอมรับว่าเขาภักดีต่อนาง
ชิงอวี่เลิกคิ้ว รู้ว่าเจ้าตัวเล็กหมายถึงตอนที่ยังเป็นเมล็ดและติดอยู่บนปกตำราแพทย์แดนเซียน ที่ได้เลือดหยดหนึ่งของนางไปแล้วเป็นอิสระ
คิดแล้ว นางก็พลันยิ้ม นัยน์ตาฉายแววมีความหมาย “ดีที่ยังจำได้ เพราะคราวนี้ถึงเวลาเจ้าช่วยเหลือข้าจากความทุกข์ยากบ้างแล้ว”
เจ้าตัวเล็กสีแดงได้ยินแล้วก็แปลงร่างจากเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดิน จากนั้นกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย “ข้าจะช่วยนายหญิงได้อย่างไรหรือ?”
“ย่อมช่วยได้ ตอนนี้ข้าได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว”
ชิงอวี่ยกยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตอย่างเจ้าเจริญเติบโตท่ามกลางหินลาวาที่แก่นโลก ทำให้ร่างกายไม่อาจฟันแทงเข้าจากหอกและดาบ ทั้งยังต้านการโจมตีทั้งหลายได้…..”
“เป็นเรื่องจริงนายหญิง! พวกเราเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพืชทั้งหลาย มนุษย์เองยังใช้พวกเราทำเป็นอาวุธเลย!” ยามได้ยินคำชม เจ้าตัวเล็กก็ตื่นเต้นดีใจ หน้าเป็นสีแดงไปหมด
ชิงอวี่เห็นแล้วก็ว่าน่าขันทันที เจ้าตัวเล็กนี่อย่างน้อย ๆ ก็อายุหมื่นปี แต่จิตใจยังเป็นเด็กน้อยอยู่
“ในเมื่อเจ้าทรงพลังนัก อย่างนั้นก็ช่วยข้าได้แล้ว”
พูดจบ ชิงอวี่ก็ลากนิ้วบนฝ่ามือเบา ๆ เกิดเป็นรอยกรีดเล็ก ๆ เลือดหยดหนึ่งผุดขึ้นมาทันใด
เจ้าตัวเล็กเบิกตากว้างประหลาดใจ “นายหญิงทำอย่างนั้นทำไมกัน?”
“เอ้า กลืนเสีย” ชิงอวี่พลันเอ่ยแล้วยื่นมือออกไป
แต่นางกลับทำให้เจ้าตัวเล็กที่มีสีหน้าตกตะลึงอยู่แล้วหนีไปหลบอยู่ที่มุมด้วยความหวาดกลัว
“นายหญิง ข้ารู้ความผิดตนเองแล้ว…..”
“เจ้าทำความผิดอะไรกัน?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม
“ทุกอย่างที่ข้าทำล้วนผิด ท่านอย่าลงโทษข้าเลย…..” เจ้าตัวเล็กเหลือบมองหยาดเลือดบนฝ่ามือนางแล้วก็เม้มปากด้วยความกลัว
ชิงอวี่เห็นแล้วชะงักไป จากนั้นจำได้ว่าเลือดนางใช้ทำได้หลายอย่าง อาจเป็นอันตรายกับอสูรบางตัว อย่างเช่น เลือดในกายนางยามนางโกรธก็จะมีพลังทำลายล้างบางอย่าง ใครแตะเป็นต้องตาย
ชิงอวี่จึงหัวเราะเสียงดังออกมา สีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงอยากให้เจ้า….. เจาะรูบนเพดานเหนือศีรษะให้ข้าหน่อย”
ว่าแล้วนางก็ชี้นิ้วขึ้นเหนือศีรษะตน
เจ้าตัวเล็กจึงแหงนหน้าตาม เมื่อเข้าใจความต้องการของนางแล้ว เขาก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่ต้องให้นายหญิงเสียเลือดหรอก ข้าจัดการเองได้”
พูดจบเขาก็เตรียมตัวลงมือทันที
ชิงอวี่พลันร้องบอก “เจ้ามีโอกาสครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนข้างนอกรู้ตัว ข้าต้องการให้เจ้าทำสำเร็จภายในครั้งแรก ดังนั้นให้เจ้าพร้อมเต็มที่คงดีกว่า”
แล้วนางก็ยื่นฝ่ามือออกไปอีกครั้ง “อย่างไรก็เลือดออกแล้ว รีบกลืนมันเสีย ต่อไปจะลิ้มรสเลือดข้าคงไม่ง่ายแล้ว”
เห็นแล้ว เจ้าเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินก็ทำตามคำสั่ง แลบลิ้นเล็กแหลมของมาเลียหยาดเลือดบนฝ่ามือนาง
พริบตาต่อมา เปลวเพลิงเล็ก ๆ ก็ราวกับลุกโชนขึ้นในดวงตาสีแดง จากนั้นเขาก็คืนร่างเดิม
เถาสีแดงเข้ม หนาเท่าสะเอวผู้ใหญ่ตัวโตผุดขึ้นจากน้ำ เต็มไปด้วยหนวดนับไม่ถ้วนที่มีหนามโค้งงออยู่ทั่ว พุ่งขึ้นไปด้านบนราวกับจะแตะถึงเมฆบนท้องฟ้า
ภายในห้องขังที่มืดสลัวและคับแคบนั่น พลันมีลำแสงส่องเข้ามา ให้แสงสว่างแก่พื้นที่เล็ก ๆ นั่น
มุมปากชิงอวี่ยกขึ้น จากนั้นเสกเกราะคุ้มร่าง กันหินและฝุ่นจากด้านบนร่วงใส่ นัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นเป็นประกาย เกิดแววซุกซนเต้นระริกอยู่ภายใน
อืม นางอาจจะหนีไม่ได้ แต่สร้างปัญหาสักหน่อยไม่ใช่เรื่องยากสักนิด
ที่นี่ถูกสร้างมาแล้วนับพันปี ไม่เคยใช้มาก่อน และเมื่อมีคนถูกนำมาขังไว้ครั้งแรก ก็ถูกทำลายเสียแล้ว
กล้าขังนางไว้โดยไร้คนเฝ้าเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวคุกว่าอย่างไรนางก็คงหนีออกจากที่นี่ไม่ได้
ดังนั้นหากเกิดเรื่องดังสนั่นเช่นนี้ คนจำนวนมากคงถูกทำให้ตกใจ
“เสียงอะไรกัน?!”
เป็นตอนนั้นเองที่เหลียนซือกำลังเดินทางมาเยี่ยมสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่เพิ่งได้มาของตน
แต่ห่างออกไปเพียงไม่เท่าไหร่กลับได้ยินเสียงดังลั่น เห็นอะไรบางอย่างประสานสะบัดไปมาอย่างดุดันบนอากาศ ราวกับกำลังส่งสารท้าทายมาให้
ฝีเท้าเชื่องช้าของเขาชะงักลง เขาหรี่ตาลง เจ้านั่น หากจำไม่ผิด…..
คือเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว เป็นสายพันธุ์ที่ว่ากันว่าหายไปตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนเพราะความชั่วร้ายของมัน ทำให้ช่วงเวลานั้นเกิดความเสียหายทำลายล้างจากมันไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะเขามีความรู้กว้างขวางก็คงไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร
แต่….. ทำไมจู่ ๆ มันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งยังมาพังคุกที่เขาขังสัตว์เลี้ยงตัวจ้อยของเขาไว้อีก?
หรือว่า…..
เมื่อคิดบางอย่างได้ เหลียนซือก็สายตาล้ำลึก เคลื่อนไหวร่างตรงไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
ที่อีกด้านหนึ่ง เถาวัลย์ยาวของเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินเจาะรูนับไม่ถ้วนบนเพดาน แล้วหินจำนวนมากตรงกลางก็ร่วงหล่นลงมา
ตอนนี้เหนือศีรษะชิงอวี่ไร้สิ่งใดปิดกั้นอยู่อีก เห็นท้องฟ้าสีบริสุทธิ์อย่างชัดเจน พร้อมกับพระอาทิตย์ส่วนหนึ่งที่เพิ่งลอยขึ้นมารับรุ่งอรุณ
ในคุกนางมันมืดมากอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้วันรู้คืน ไม่รู้ว่าถูกขังไว้นานเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้ได้เห็นข้างนอกบ้างจึงรู้ว่านี่เป็นตอนเช้านั่นเอง!
ชิงอวี่หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดก็โล่งอกไม่กดดันสักที ความรู้สึกเป็นอิสระเช่นนี้มันปลอบประโลมที่สุดเลย
ทันใดนั้นสีหน้านางพลันเคร่งขรึม สายตามองไปด้านหน้า กำลังมีคนมา ริมฝีปากชิงอวี่พลันแข็งขึ้น “รีบไปซ่อนเสีย อย่าให้ใครเห็น”
เถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินได้ยินก็กลับร่างมนุษย์ทันที และยืนกะพริบตาด้วยความฉงน
เขาเงยหน้ามองชิงอวี่ เห็นแล้วว่านางมีสีหน้าปกติดี ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เขาจึงกลับเข้าฝ่ามือนางไป เปลี่ยนตนเองเป็นลูกไฟสีแดงแล้วหายเข้าไปซ่อนในร่างนาง
พริบตาที่เถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินหายไป ร่างสูงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางทันที
ไม่ใช่ใครที่ไหน คือชายหนุ่มรูปงามใบหน้าโดดเด่น เหลียนซือนั่นเอง
เขามักมีรอยยิ้มอ่านไม่ออกประดับอยู่บนใบหน้าตลอด ทำให้ไม่อาจสัมผัสความเย็นชาได้ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนคนใจดีอะไรนัก
เหลียนซือค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้น ประตูเหล็กกล้าที่ยากจะทำลายได้ก็เปิดออก ชิงอวี่จ้องเขาอยู่ตลอด แต่ไม่เห็นว่าเขาเปิดมันได้อย่างไร
“เจ้าตัวเล็ก เจ้านี่ซนจริง!”
เหลียนซือหยุดฝีเท้าทุกสองสามก้าว สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจยามแหงนมองเพดานที่เป็นช่องกว้าง คุกที่เคยมืดสลัว ตอนนี้กลับสว่างกระจ่างนัก ทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่บ้าง
เขาอดเลิกคิ้วมองเด็กสาวที่มีสีหน้าไม่สนโลกผู้กำลังเอนหลังพิงขอบบ่อไม่ได้ จึงถามพร้อมรอยยิ้ม “ฝีมือเจ้าหรือ?”
ชิงอวี่พยักหน้า เผยรอยยิ้มเป็นมิตร “ใช่แล้ว ข้าว่าในนี้มันอุดอู้ไปหน่อย เลยอยากให้อากาศได้ถ่ายเท การออกแบบที่นี่มันไร้มนุษยธรรมและไม่สมประกอบมากเกินไป หน้าต่างสักบานยังไม่มี ท่านคิดจะใช้มันทำให้คนอุดอู้ตายอยู่ในนี้หรือ?”
“เจ้าก็เลยทำลายทิ้งเสีย?” เหลียนซือหัวเราะเบา ๆ “เจ้าตัวเล็กเอ๋ย เจ้านี่กล้าหาญมากจริง ๆ แต่ที่อ้างว่าอยากให้อากาศถ่ายเทคงไม่ใช่ เจ้าคิดหนีสินะ?!”
ชิงอวี่กะพริบตาปริบ ๆ ใบหน้าใสซื่อแบมือบอก “ก็ใช่ว่าข้าอยากหนีจริง ๆ แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าของบนข้อเท้าของข้าคืออะไร ข้าเบื่อ ๆ ก็เลยหาอะไรทำเท่านั้น”
ระหว่างพูด นางยังทำเสียงจนใจด้วย
เห็นท่าทีซื่อตรงและตรงไปตรงมาของเด็กสาวแล้วเขาก็รู้สึกขบขันนัก รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกดลึกลงอีก “ดี ดูเจ้าเชื่อฟังคำข้าดีว่าของที่ข้อเท้าเจ้าไม่ใช่ของเล่น ดังนั้นจงอย่าได้บุ่มบ่ามทดลองเล่น”
“แล้วมันคืออันใดกันแน่?”
ชิงอวี่หลุบตามองลงไปใต้น้ำ มันพร่ามัวนัก นางเห็นไม่ชัด นางหรี่ตาลงแล้วสีหน้าก็ชั่วร้ายขึ้นมาหน่อย ๆ ก่อนนางจะงุ้มมือช้อนน้ำสาดไปทางชายหนุ่มที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“แล้วในนี้มีอะไรกันแน่? ข้าแช่อยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นเกิดอะไร เช่นนี้แผนที่วางมาอย่างดีไม่เสียเปล่าหรือ?”
เหลียนซือไม่คิดว่าจู่ ๆ นางจะทำเช่นนั้น สุดท้ายชุดก็เปียกน้ำไปหมด ที่ปลายผมยังมีน้ำหยด ยิ่งมีสภาพดูไม่ได้ทีเดียว
แต่เขาอาจเกิดมาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์บนใบหน้ามากนัก ถึงจะถูกแกล้งเช่นนั้นก็เพียงคลี่ยิ้มบางไม่เห็นแววโกรธ
เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง เอ่ยเสียงหนักหน่วงมีความใน “น้ำในบ่อนี้เป็นของดี เป็นของมีประโยชน์ต่อเจ้า ทั้งยังไม่มีผลเสียด้วย”