บทที่ 297 ถูกกักขังไร้ทางหนี
บทที่ 297 ถูกกักขังไร้ทางหนี
ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็ยิ้มเยาะ “เช่นนั้นทำไมท่านไม่ลงมาแช่ในของดีเช่นนี้บ้างเล่า? แม้จะไม่เพิ่มพลังบำเพ็ญ อย่างน้อยก็คงทำให้ร่างกายแกร่งขึ้นได้”
“ฮ่า แม่นางแสนซน คิดยั่วยุข้าหรือ?” เหลียนซือไม่อาจห้ามรอยยิ้มได้ “ของแบบนั้นใช้กับข้าก็เปล่าประโยชน์”
ชิงอวี่เอ่ยเสียงไม่พอใจ ยกมือกอดอก มองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาเกียจคร้าน “พวกท่านจับท่านแม่ข้าแล้ว ตอนนี้มาจับตัวข้าอีก ได้ยินว่าพยายามจะสกัดธาตุเปลวอัคคีออกจากร่างพวกข้าเพื่อสร้างอาวุธมนุษย์ที่ฟันแทงอย่างไรก็ไม่ตาย อะไรกัน? พวกท่านคิดครองใต้หล้าหรืออย่างไร?”
ได้ยินคำนาง เหลียนซือก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ไปได้ยินมาจากไหน?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิเสธหรอก อย่างไร ข้าก็รู้ว่าพวกท่านต้องการสิ่งใด แต่ข้าไม่เข้าใจเพียงจุดหนึ่ง”
ชิงอวี่เอ่ยแล้ว นางก็เก็บท่าทางไม่สนใจกลับ เปลี่ยนเป็นสายตามองประเมินแทน “ของในน้ำนี่ช่วยเพิ่มพลังบำเพ็ญข้า ท่านไม่กลัวว่าข้าจะแกร่งขึ้นมาแล้วหนีไปหรือ?”
“เจ้าฉลาดไม่น้อยเลยนี่? ดูท่าจะรู้ถึงผลลัพธ์ประหลาดของน้ำนี่แล้วสินะ?”
เหลียนซือเดินเข้ามาใกล้อีกสองสามเก้า ก่อนจะนั่งยองลงมองเด็กสาวแล้วยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ “เรื่องที่เจ้ากังวลจะไม่เกิดขึ้นหรอก ที่ให้เจ้าแช่ในบ่อนี่ก็เพื่อทำให้ธาตุเปลวอัคคีในร่างเจ้าแกร่งขึ้น ยามถึงเวลาจะได้ให้ผลที่มีอำนาจมากที่สุด”
ชิงอวี่หัวเราะเหอะ จากนั้นเอ่ยเสียงดูถูก “เกรงว่าท่านคงประเมินข้าต่ำไป ที่นี่รั้งข้าไว้ได้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น หากท่านอยากขังข้าไว้จริง ๆ อย่างน้อยก็ช่วยหาสถานที่ที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่? ที่นี่มัน…..”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปเล็กน้อย สีหน้าเหมือนย่ามใจ ชี้นิ้วขึ้นเหนือศีรษะตนเอง “ข้าว่าข้าไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่แล้วท่านไม่คิดว่างั้นหรือ? ก็ข้าเป็นนักโทษคนสำคัญนี่ หากเกิดอะไรขึ้น ท่านอาจหาคำมาแก้ตัวไม่ได้เลยกระมัง?”
เหลียนซือมองตามทางที่เด็กสาวชี้ไป มีรูใหญ่ขนาดนี้เหนือหัว สู่ภายนอกโดยไร้สิ่งใดปิดบังเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมาะจะขังนางไว้อีกจริง ๆ
แต่พอเห็นรอยยิ้มเยาะบนหน้านางแล้ว แววตาเหลียนซือก็เจือแววขัน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาช้า ๆ ว่า “ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าทำลายมันได้อย่างไร แต่ในเมื่อพวกข้าเลือกแล้วว่าจะขังคนสำคัญเช่นเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าคิดหรือว่าที่นี่จะเรียบง่ายอย่างตาเห็น?”
“หมายความว่าอย่างไร?”
ชิงอวี่คิ้วกระตุก ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีขึ้น
เขาถามจบแล้วก็หัวเราะเสียงดังออกมาแล้วยืดตัวยืนตรง บนใบหน้าคลี่ยิ้มมีความหมายลึกล้ำ จากนั้นเศษหินทั้งหลายที่ร่วงหล่นอยู่รอบบ่อพลันขยับ พุ่งขึ้นไปเหนือศีรษะต่อหน้าต่อตาชิงอวี่
คุกที่สว่างจ้าค่อย ๆ สลัวลงทีละน้อย
ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็ไร้แสงใดเล็ดลอดเข้ามาอีก มีเพียงแสงสลัวที่เปล่งออกมาจากหินที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร มันถูกฝังไว้ตามผนัง เรืองแสงแผ่ว ๆ ออกมาเท่านั้น
ชิงอวี่ที่ยิ้มบางมาตลอดพลันยิ้มแข็งค้าง
อาจเพราะเด็กสาวมีสีหน้าตลกนัก เหลียนซือจึงส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยเสียงพลางถอนหายใจ “เจ้าตัวเล็ก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าดีใจให้เร็วนัก พอเสียความมั่นใจไปหมดแล้วไม่รู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้หมดท่างั้นหรือ?”
ชิงอวี่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองหินที่ลอยกลับไปปิดมิดชิดเหนือหัว พลางเอ่ยเสียงเหลือเชื่อออกมา “ที่นี่มันที่บัดซบอะไรกัน?”
เป็นไปไม่ได้! นางไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน
“ท่ามกลางสถานที่มากมายบนยอดเขาใจสงบ ที่นี่นับว่าลึกลับประหลาดที่สุดแล้ว มันไม่เคยต้องสร้างใหม่หรือปรับปรุงใหม่มาก่อน เป็นสถานที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่สวรรค์และพสุธาให้มาเอง ปรับตัวได้หลากหลายทั้งรุกทั้งรับ โครงสร้างภายในมีความโดดเด่น ทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูตนเองด้วย”
“ฉะนั้นแม้ว่าจะฝืนใช้กำลังเข้าหรือออกจากที่นี่ก็ยากราวกับปีนขึ้นสวรรค์ทีเดียว นับแต่นั้นจึงเห็นว่ามันเหมาะกับการเป็นคุกที่สุด กว่าพันปีที่ผ่านมา เจ้าได้ใช้งานเป็นคนแรก ควรจะรู้สึกเป็นเกียรตินะรู้หรือไม่?”
เห็นเขาอธิบายเสียยืดยาว ชิงอวี่ก็ขมับเต้นตุบ เป็นเกียรติหรือ…..
ฮ่า ๆ ไม่รู้จะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
“เอาล่ะ ทำตัวดี ๆ อย่าได้เล่นแผลง ๆ อีก หากบาดเจ็บระหว่างที่พยายามหนีขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้า” เหลียนซือเอ่ยสีหน้าอ่อนโยน ท่าทางและน้ำเสียงเป็นมิตรทำเอานางขนลุก
ไม่เพียงวิตถารวิกลจริต แต่ยังน่ารังเกียจด้วย
เห็นว่าตนเปลี่ยนสีหน้าชิงอวี่ได้แล้ว เหลียนซือก็กดรอยยิ้มลึกขึ้น เหลือบมองด้านนอกแล้วก็เอ่ยเสียงเบาอย่างน่าประหลาด “ไม่รู้ว่าพวกไร้ประโยชน์ด้านล่างจะกลัวกันไปหมดหรือยัง ผ่านไปกว่าครึ่งวันแล้วยังไม่ได้ยินอะไรเลย…..”
ชิงอวี่ได้ยินคำ มุ่นคิ้วขึ้น “ท่านพูดอะไร?”
“หืม?” เหลียนซือเหลือบมองเด็กสาวจากด้านข้าง จากนั้นพยักหน้า “ลืมสนิทเชียว! เจ้าตัวเล็กอย่างเจ้าเป็นที่ชื่นชอบไม่น้อย เจ้าคงจะรอใครมาช่วยสินะ?”
“ยอดเขาใจสงบปรากฏตัวขึ้นบนแดนเมฆาสวรรค์แล้ว คนเลือดร้อนทั้งหลายกำลังพยายามขึ้นมาดูอยู่ แต่ด้วยมีพลังและวิชาอ่อนด้อยจึงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไปหลายคนแล้ว”
ได้ยินแล้ว ชิงอวี่ก็หน้าขรึม “ท่านต้องการอะไรกันแน่? คงไม่ใช่หาคนมีฝีมือมาทำงานให้กระมัง!? หรือก็แค่เล่นเกมล่าสังหารไปอย่างนั้น!?”
“เจ้าจะคิดมากไปไย?” เหลียนซือยิ้มมุมปาก “เจ้าพูดเองนี่ ยอดเขาใจสงบต้องการจอมยุทธ์ฝีมือยอดเยี่ยม พวกชั้นสองไร้ค่าพวกนั้น ไม่ช้าก็ต้องถูกสังหารทิ้งอยู่แล้ว ยอดเขาใจสงบก็แค่เมตตา สั่งสอนประสบการณ์ให้พวกเขาโดยไร้ค่าตอบแทนก็เท่านั้น”
“ฮ่า! เหตุผลบิดเบี้ยวนัก” ชิงอวี่หรี่ตาเอ่ยเยาะ ทำหน้าราวกับไม่อยากเสวนากับเขาอีก
เหลียนซือไม่ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยยิ้ม ๆ “เจ้าเป็นเด็กดีอยู่ที่นี่ เจ้าพยายามไปก็ไร้ความหมาย อย่าคิดว่าจะมีใครมาช่วยได้ ยิ่งเจ้าหวัง ก็ยิ่งผิดหวังมาก เกรงว่าสุดท้ายเจ้าจะทนรับไม่ได้เอา เข้าใจหรือไม่?”
พูดแล้วก็ไม่รอให้นางตอบ โบกแขนเสื้อคราหนึ่งเขาก็หมุนตัวจากไป ประตูก็เปิดออกตามคำสั่ง พอเดินออกไปแล้วมันก็เคลื่อนลงปิดเสียงดังโครม
ชิงอวี่ยืนนิ่งสายตาล้ำลึก มองเงาร่างที่จากไป พักหนึ่งนางจึงได้สติ
ยอดเขาใจสงบปรากฏแล้ว…..
อาเหยากับคนอื่น ๆ คงรู้แล้วว่านางอยู่ที่นี่ จะอยู่ในคนกลุ่มนั้นด้วยหรือไม่?
นางได้ความจากคำเมื่อครู่ของชายหนุ่มว่าอุปสรรคแรกในการขึ้นยอดเขาใจสงบนั้นยากราวกับไต่ขึ้นสวรรค์ทีเดียว
ทำอย่างไรดี…..
ชิงอวี่ถอนหายใจไร้หนทาง นางจะติดอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ?
ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นางยังไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์น่าเศร้าเช่นนี้มาก่อน
นางอดดึงพันธนาการที่ข้อเท้าตนเองไม่ได้ อยากจะตัดมันทิ้งเสียจริง แต่ก็ยังจำคำขู่ต่ำช้าของเขาได้ นางต้องยั้งตนเองเอาไว้
“ท่านแม่~”
ในตอนที่พลังเศร้าและหดหู่อย่างที่สุดนั่นเอง น้ำเสียงเด็กน้อยน่ารักของดังขึ้นที่ข้างหู มันฟังดูคุ้นหูและแปลกประหลาดไปพร้อมกัน
ชิงอวี่ชะงักไป
เสียงนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเสียงของเจ้าก้อนขนตัวเหนียวแกะไม่ออกที่นางเผลอรับมาเลี้ยงจากหุบเขาพญายมแห่งแดนมุกหยกหรือ?
เจ้าตัวที่รักการกินที่สุด ตัวเล็กที่ชื่อโร่วโร่ว ครั้งแรกที่มันเห็นนาง มันก็ดื้อตามนางมาราวกับเห็นเนื้อชิ้นโปรด นางเห็นว่ามันน่ารักจึงเก็บไว้ข้างกาย
ทว่าตั้งแต่นางมาแดนเมฆาสวรรค์ เจ้าตัวเล็กก็อยู่ในแดนอสูรวิญญาณ ไม่ออกมาเสียนาน ทำให้นางเกือบลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ด้วย
แต่ไม่ยินเสียงมันมานานเช่นนี้ ทำไมจู่ ๆ มันถึงออกมาได้?
“โร่วโร่ว?” ชิงอวี่กะพริบตา ลองเรียกดู
พริบตาต่อมา บนไหล่ก็พลันรู้สึกหนักขึ้น ก่อนที่เจ้าก้อนถ่านจะโผล่ขึ้นมานั่ง ใช้ตัวเองถูกับคอนางอย่างโหยหา น้ำเสียงนุ่มเอาะแอะเอ่ยเคล้าข้างหู
“ท่านแม่ ท่านแม่ โร่วโร่วคิดถึงท่านเหลือเกิน ในที่สุดก็ได้พบท่านแม่อีกครั้ง…..”
ได้ยินเสียงเหยาะแหยะของเจ้าตัวเล็กงุ้งงิ้งไม่หยุด ชิงอวี่ก็ใจแทบละลาย เอ่ยเสียงขบขันขึ้น “คิดถึงจริงหรือ? จู่ ๆ ก็หายไป เจอครั้งสุดท้ายเกือบครึ่งปีก่อน ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีเจ้าตัวเล็กเช่นเจ้าอยู่ด้วย”
ได้ยินแล้วโร่วโร่วก็เศร้านัก ใช้ตาสีน้ำเงินมองนาง ริมฝีปากน้อยมุ่ยอย่างน่าสงสาร
มันสูดจมูกอย่างแรงก่อนเอ่ยตอบด้วยเสียงน้อย “โร่วโร่วไม่ได้หนีไปเล่นที่ไหนหรอก เป็นเพราะรู้สึกว่าแดนนี้อันตรายนัก กลัวจะถูกจับตัวไปแล้วไม่ได้เจอท่านแม่อีก ข้าก็เลย….. ไม่กล้าเผยตัวออกมา”
เห็นมันดูน่าเวทนาเช่นนั้นแล้ว ดูท่ามันจะไม่ได้โกหก
อีกทั้งนางรู้จักมันดี แม้มันจะซุกซนและขี้เล่น แต่ก็ติดนางมาก เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับนางเป็นสำคัญที่สุด
มันไม่โผล่มานานเช่นนี้ก็คงอย่างที่มันว่า คงมีอันตรายซ่อนเร้นบนแดนเมฆาสวรรค์อยู่ คงเป็นสิ่งทีที่เจ้าตัวเล็กหวาดกลัว
แต่ว่า…..
ชิงอวี่คิดแล้ว นางก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ “แล้วตอนนี้เจ้ากล้าออกมาแล้ว? เจ้าหมายความว่าที่นี่ปลอดภัยหรือ??”
ล้อกันเล่นแน่ หมอนั่นขังนางไว้ที่นี่ มั่นอกมั่นใจนักจนไม่ทิ้งคนไว้เฝ้า ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ลับสุด ๆ แน่ เป็นที่ที่คนไม่อาจมาได้ง่าย ๆ ทั้งนางยังอาจถูกจับตามองอย่างลับ ๆ อีกต่างหาก
แต่เพิ่งคิดได้ เจ้าตัวเล็กบนไหล่กับพยักหน้าหนักแน่น “ใช่แล้วท่านแม่ ที่นี่ปลอดภัยมาก ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันพิเศษนัก ปิดกั้นกลิ่นอายที่อยู่ด้านในจากภายนอกได้สนิท ดังนั้นข้าอยู่ในนี้ไม่ถูกพบแน่”