บทที่ 298 เลี่ยงอันตราย คลายปัญหา
บทที่ 298 เลี่ยงอันตราย คลายปัญหา

“ที่นี่….. สามารถกลั้นกลิ่นอายของเจ้าออกด้านนอกได้?”

ชิงอวี่เบิกตากว้างประหลาดใจเล็กน้อย เอื้อมมือไปอุ้มเจ้าตัวเล็กบนไหล่มาตรงหน้า “เจ้าจะบอกว่าคนด้านนอกจะไม่สามารถจับสัมผัสคนด้านในได้งั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว” โร่วโร่วพยักหน้าใสซื่อ จากนั้นก็เหมือนเข้าใจสถานการณ์ของนาง กะพริบตามองนางด้วยความฉงน “เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่หรือ?”

“อย่างเจ้าเห็น…..” ชิงอวี่เอ่ยเสียงจนใจ จากนั้นยีหูเจ้าอสูรน้อยเล่น “ข้าติดอยู่ในนี้ หาทางออกไม่ได้”

ได้ยินดังนั้น เจ้าอสูรน้อยก็มองไปรอบ ๆ จากนั้นมันก็กระโดดลงน้ำเสียงเบา

“โร่วโร่ว!” ชิงอวี่เห็นมันทำเช่นนั้นก็ตกใจ รีบมองหามันในน้ำด้วยความลนลาน

น้ำนั้นไม่ลึกมาก ถึงแค่อกนางเท่านั้น แม้มันจะสีแดงเหมือนเลือด แต่ก็ใสไม่ขุ่น ทำให้เห็นถึงด้านล่างได้ชัดเจน มองเห็นใต้น้ำได้ไร้สิ่งกีดขวาง

มองผ่านน้ำลงไป เห็นเจ้าอสูรน้อยวนเวียนอยู่รอบ ๆ ข้อเท้าของนาง มันเข้ามาใกล้ห่วงข้อเท้าอย่างอยากรู้อยากเห็น และยังยื่นอุ้งเท้าออกมาเพื่อสัมผัสมันอย่างระมัดระวังด้วย

ชิงอวี่ใจสะเทือน จ้องเจ้าอสูรน้อยเขม็ง เคราะห์ดีที่มันไม่บาดเจ็บ

เจ้าอสูรน้อยมองดูห่วงข้อเท้าพักหนึ่ง ก่อนจะพบเรื่องประหลาด

“ท่านแม่ ห่วงเหล็กนี่ใหญ่มากก็จริง แต่ทำไมท่านดึงออกมาไม่ได้เล่า?”

ความกว้างของห่วงนั้นมากกว่าข้อเท้านางเกือบเท่าหนึ่ง แค่ขยับเปลี่ยนมุมเล็กน้อยก็ควรจะหลุดออกมาได้แล้ว

ได้ยินดังนั้นชิงอวี่ก็ถอนใจ “คิดว่าข้าไม่เคยลองหรือ?”

ว่าแล้วชิงอวี่ก็เรียกพลังวิญญาณเพื่อหดข้อเท้า กำลังจะดึงเท้าออก ห่วงเหล็กนั่นก็ทำท่าราวกับมีตา หดเล็กลงตามข้อเท้าชิงอวี่

พอข้อเท้านางกลับสู่สภาพเดิม มันก็กลับตามมาด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก

โร่วโร่วเห็นแล้วก็เบิกตากว้างตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อสายตา มันอดยื่นกรงเล็บแหลมออกไป หมายจะลองโจมตีมันดู

ชิงอวี่เห็นจึงรีบหยุดเจ้าอสูรน้อยทันที “อย่าแตะมันสุ่มสี่สุ่มห้า ข้ายังหาทางหลุดออกจากมันไม่ได้เลย ใช้กำลังไปก็ไร้ประโยชน์”

ได้ยินดังนั้น โร่วโร่วจึงได้แต่เก็บอุ้งมือกลับ

แต่เมื่อช่วยอะไรไม่ได้เลย เจ้าอสูรน้อยจึงรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง ยืนก้มหน้าก้มตาดูหมองหม่น

ชิงอวี่เงียบไปพักหนึ่ง พลันคิดอะไรขึ้นได้ นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ใช่แล้ว! โร่วโร่ว เจ้าออกไปได้ใช่หรือไม่?”

“ข้าทำได้ แต่….. ข้างนอกมีสิ่งที่ข้ากลัว ข้าไม่กล้าออกไป” เจ้าอสูรน้อยก้มหน้าตอบเสียงเศร้า มองอุ้งมือตนเอง

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้มันกลัวได้ขนาดนี้ แม้การผิดบังกลิ่นอายสำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยก็ตามที

“เอ้า ยานี่ไม่เพียงปิดบังกลิ่นอายได้ ยังทำให้เจ้าล่องหนได้ถึงสามชั่วยาม หากเจ้าไม่ไปแตะต้องมนุษย์คนใดก็จะยังล่องหนอยู่” ชิงอวี่แบมือออก เห็นยาเม็ดสีหยกขาวบริสุทธิ์นอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือ

เจ้าอสูรน้อยกะพริบตาสองปริบ จากนั้นก้มหน้าลงเขมือบยาลงไป

“ท่านแม่ เห็นข้าหรือไม่?” เสียงเล็กดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นร่างเจ้าก้อนกลมแล้ว

ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ “ลองมองเงาเจ้าในน้ำสิ”

บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงหวีดร้องดีใจของเจ้าอสูรน้อยจะดังขึ้น “ข้าไม่เห็นตนเองเลย! ข้าหายตัวแล้ว! ไม่ต้องเกรงกลัวอีกแล้ว!”

“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าทำอะไรหรือ?”

ชิงอวี่เอ่ยตอบ “ลงไปดูสถานการณ์ยังแดนเมฆาสวรรค์แล้วกลับมาเล่าให้ข้าฟัง หากพบเสี่ยวเป่ย บอกเขาว่าข้าสบายดี ไม่ต้องห่วงข้า”

“เข้าใจแล้วท่านแม่! ข้าจะนำข้อความไปบอกท่านน้า!”

“ทำอะไรก็ระวังด้วย หากพบอันตรายก็เอาตัวรอดไว้ก่อน” ชิงอวี่เตือนเจ้าอสูรน้อย

“ท่านแม่วางใจ โร่วโร่วเก่งเรื่องนี้มาก หากไม่พบเจ้าตัวน่ากลัวนั่นก็ไม่เกิดเรื่องหรอก”

พูดจบ บรรยากาศก็เงียบสนิท ไม่เกิดเสียงใดให้ได้ยินอีก ชิงอวี่จึงรู้ว่ามันไปแล้ว

หวังว่าพวกเขาจะยังสบายดี

ในตอนนั้น ณ พรมแดนตัดกันบนแดนเมฆาสวรรค์ ผ่านไปครึ่งวันกว่าแล้ว จนแสงตะวันเริ่มจะตกดิน

ในช่วงนั้นยังมีคนที่ไม่เชื่อว่าคงไม่ได้ยากอะไรนักหนา จึงลองไต่ขึ้นบันไดแก้วนั่นดู สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาสักราย

“บัดซบ! ในเมื่อเราขึ้นบันไดไปไม่ได้ก็กลับดีกว่า! เห็นได้ชัดว่ายอดเขาใจสงบก็เพียงทำให้พวกเราขึ้นไปได้ยากเย็นเท่านั้น!”

คนกล่าวคือศิษย์หนุ่มจากสำนักเซียนแพทย์ หนึ่งในเพื่อนศิษย์ที่เขาสนิทด้วย ก่อนหน้านี้ได้ลองขึ้นไป คิดว่าคงไม่ถูกการโจมตีเช่นนั้น แต่บันไดแก้วเบื้องล่างพลันหายไปจนหมดเมื่อเดินไปเพียงครึ่งทาง ทำให้เขาร่วงลงพื้นไป

นั่นทำให้พวกเขาไม่พอใจนัก เท่าที่เห็น เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะขึ้นไปได้ บันไดประหลาดที่หายไปเช่นนี้ ทั้งยังการโจมตีดุร้ายที่อยู่ ๆ ก็ถูกซัดมา ทำให้ไม่อาจปัดป้องได้เลย

สำนักเซียนแพทย์ก็ไม่แย่นักหากเทียบกับสมาพันธ์นักล่าที่เสียสมาชิกไปมากกว่าสิบคนแล้ว ตอนที่คนแรกตายไป จูเก่อฉงคิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงส่งคนอื่น ๆ ไปดูลาดเลา แต่ทั้งหมดก็ไม่รอดชีวิตสักคน

“เห็นอะไรแปลก ๆ หรือไม่?” เห็นว่าคนเกือบครึ่งถูกสังหารไปแล้ว จูเก่อฉงก็หัวเสียเล็กน้อย ส่งสายตามองชิงเทียนหลินด้วยความสงสัย

เจ้านี่พึ่งได้หรือไม่กันแน่?

“อืม ข้ารู้แล้ว” ชิงเทียนหลินพยักหน้าช้า ๆ ก่อนกล่าว “บันไดพวกนี้ ในเมื่อไต่ขึ้นไปแบบธรรมดาไม่ได้ เช่นนั้นก็มีแต่ทำลายแล้ว”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” จูเก่อฉงเบิกตากว้างมองอีกฝ่าย “หากทำลายแล้วจะขึ้นไปอย่างไร?”

“มีทางเดียวเท่านั้น คนจากยอดเขาใจสงบประเมินตัวเองสูงเกินไป คงคิดว่าไม่มีใครคิดถึงจึงใช้เล่ห์กลเช่นนั้น เจ้าเล่ห์นัก” ชิงเทียนหลินเอ่ยพลางยกยิ้ม น้ำเสียงส่อแววดูถูก

ได้ยินแล้วจูเก่อฉงก็มุ่นคิ้ว ตอบกลับเป็นคำถาม “และหากยังไม่ได้ผลเล่า? เช่นนั้นที่พยายามมาไม่สูญเปล่าหรือ!?”

ชิงเทียนหลินกำลังจะเอ่ยอธิบาย น้ำเสียงไร้อารมณ์หนึ่งก็ดังขึ้นเบื้องหลัง “เสี่ยวเหยี่ยน ไปทำลายมันเสีย”

“เจ้าค่ะประมุขน้อย” น้ำเสียงหวานยวนใจดังขึ้นตอบรับ

พริบตาต่อมา ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบสนอง ร่างเล็กก็เหินขึ้นฟ้าไป พุ่งไปยังขั้นบันไดแก้วเหล่านั้น

มือทั้งสองของนางสะบัดไปเยื้องหน้า เกิดเป็นเปลวเพลิงสีดำโหมขึ้นโอบล้อมขั้นบันไดแก้วราวกับมังกรตัวยาว ยิ่งผ่านไปเปลวไฟยิ่งแรงขึ้น

“สวรรค์! แม่นางน้อยทำอะไรน่ะ?”

“นางกำลังพยายามทำลายบันไดเพื่อตัดโอกาสคนอื่น ๆ หรือ?”

“ทุกคนดูนั่น! ทำไมถึงมีน้ำหยดออกมาจากขั้นบันไดได้?!”

คนผู้นั้นร้องจบ ทุกคนก็หันไปมองขั้นบันไดด้วยความฉงน จากนั้นก็เห็นว่ามีน้ำหยดลงจากขั้นบันไดซึ่งถูกโอบล้อมด้วยเปลวไฟหนาสีดำ

อึดใจต่อมา เด็กน้อยก็ดึงเปลวไฟประหลาดกลับมาแล้วเหินลงพื้น

พอมองขั้นบันไดอีกครั้งหนึ่ง ขั้นบันไดแก้วเหล่านั้นก็หายวับไปไม่เหลือซาก เมฆหมอกหนาที่ลอยบดบังยอดเขาใจสงบก็พากันหายไป เผยให้เห็นสถานที่ทั้งหมดไร้สิ่งใดบดบัง

เมื่อทุกคนเห็นยอดเขาใจสงบที่แท้จริงจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดคนที่ขึ้นไปจึงหายไป

เบื้องหน้าอาคารสง่าน่าเกรงขามคือเหวลึกที่กว้างนับสิบจั้ง

เหนือหุบเหวลึกนั่นมีเพียงสะพานเหล็กที่สั่นคลอนไปมาเส้นหนึ่งเท่านั้น ที่เหวลึกเบื้องล่างมีนกกินหัวมนุษย์บินวนอยู่นับไม่ถ้วน

ดูท่ารังของพวกมันจะอยู่ภายใต้ผาลึกนั่น เมื่อมีใครเข้าใกล้มันก็จะเข้าโจมตี

ทุกคนจึงอดรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ได้

สวรรค์โปรด! คนพวกนั้นนับว่าขุมหลุมฝันตนเองแล้ว ใครจะคิดว่าจะมีอะไรเช่นนั้นซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังขั้นบันไดเหล่านั้นได้?! นับว่าพวกเขาเกือบไม่รอดชีวิตแล้ว

ขั้นบันไดแก้วที่ส่องแสงระยับนั้น เห็นได้ชัดว่ามีไว้ลวงตาพวกเขา หมายจะหลอกให้พวกเขายอมแพ้และซุกซ่อนอันตรายเบื้องหลังเอาไว้

แต่คนที่สามารถมองเล่ห์คดเคี้ยวเช่นนี้ออกและตัดสินใจทำลายมันเพื่อให้ทุกคนมองเล่ห์นี้ออกด้วยนั้น นับว่าต้องยอมรับเลยจริง ๆ

เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยไม่ใช่คนที่มองเล่ห์กลชั่วร้ายนี่ออก

ทุกคนเห็นเด็กน้อยวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปหาชายคนหนึ่ง เหมือนกับอยากได้คำชม ชายหนุ่มจึงหลุบตาลงมอง เอ่ยคำกับนาง ทำให้เด็กน้อยยิ้มแป้นจนสองตากลายเป็นจันทร์เสี้ยว

ชายหนุ่มมีร่างผอมสูง ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นท่าทีเย็นชาสันโดษและเรือนผมสีเงินที่แวววาวราวกับหิมะ

จากนั้นเขาก็ยกสายตาขึ้นไร้อารมณ์ นัยน์ตาสีเขียวเข้มทำให้เขาราวกับไร้อารมณ์ใด ๆ มันทั้งแข็งกระด้างและเย็นชานัก แต่กลิ่นอายสูงส่งโดยกำเนิดรอบกายเขา ทำให้คนรู้สึกว่าที่เขาเย่อหยิ่งจองหองก็เพราะว่าเกิดมาเพื่อเป็นเช่นนั้น

ผู้สูงส่งท่านนี้คือใครกัน? ทำไมถึงไม่เคยมีใครเคยได้ยินมาก่อน??

ชิงเทียนหลินยืนมองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นเดินเข้าไปท่ามกลางสายตาสงสัยของจูเก่อฉง

“ไม่ได้พบกันนานรองหัวหน้าสมาพันธ์ สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายมาที่นี่เพื่อมาขึ้นยอดเขาใจสงบด้วยงั้นหรือ?” ชิงเทียนหลินถามพร้อมรอยยิ้ม

ชิงเยี่ยหลีเห็นเขาแล้ว แต่ก็ไม่คิดสนใจ ชิงเทียนหลินเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงทำเป็นไม่เห็นไม่ได้อีก อีกฝ่ายจึงตอบเสียงเย็นชาออกมา “เจ้ามาได้ ข้ายิ่งต้องมาได้”

“ฮ่า ๆ ย่อมต้องมาได้” ชิงเทียนหลินแหงนหน้าหัวเราะ “อย่างไรตอนนี้ก็ต่างจากในอดีต เจ้าได้รู้จักต้นกำเนิดตนเองแล้ว ฐานะเองก็สูงส่งขึ้นมาก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำตัวเย่อหยิ่งขึ้นสักหน่อย”

“หยาบคายนัก” เสี่ยวเหยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างอดมุ่นคิ้วขึ้นไม่ได้ จ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้านางไม่เป็นมิตร

นางยังจำคนคนนี้ได้! เป็นเจ้าตระกูลที่นางเห็นเมื่อตอนไปเยือนตระกูลเฟิ่งเมื่อครั้งนั้น

แม้จะไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่เขากลับทำเสียมารยาทกับประมุขน้อยของนางยามต่างสถานที่เช่นนี้! ดูท่าตระกูลเฟิ่งคงไม่อยากมีที่ยืนในแดนธาราขาวแล้วกระมัง!

ทว่าชิงเยี่ยหลียกมือขึ้นเป็นเชิงให้นางหยุด

เห็นแล้วเสี่ยวเหยี่ยนจึงได้แต่กัดฟัน เดินไปด้านข้างด้วยความไม่พอใจ

ชิงเทียนหลินยกยิ้ม ก้าวไปใกล้อีกสองก้าว เอ่ยเสียงให้ได้ยินกันสองคน “เจ้ามาที่ยอดเขาใจสงบเหมือนกันเป็นเพราะ…..”