บทที่ 299 เจ้าก้อนถ่านที่เผยตัวอย่างโง่งม
บทที่ 299 เจ้าก้อนถ่านที่เผยตัวอย่างโง่งม
ม่านตาชิงเยี่ยหลีหดตัวลงในพริบตา
เป็นเพราะอีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามากระซิบเสียงเบา “หรือเพราะเจ้าก็รู้ว่าชิงชิงอยู่บนนั้น จึงรีบมาที่นี่เพราะได้กลิ่นอายนางงั้นหรือ?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
ชิงเยี่ยหลีหน้าทะมึนลงทันที นัยน์ตาสีเขียวเข้มจ้องชายหนุ่มเขม็ง “ชิงอวี่อยู่ที่ยอดเขาใจสงบหรือ!?”
หน้าตาเช่นนั้น เหมือนตัดสินไปแล้วว่าคงเกี่ยวกับชายหนุ่มตรงหน้าเป็นแน่
ชิงเทียนหลินเลิกคิ้วสีหน้าใสซื่อพลางยักไหล่ “ข้าถูกกล่าวหาผิด ๆ อยู่นะนี่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย! และหากข้าค้นพบได้ว่าชิงชิงพิเศษเพียงไหน คนอื่นก็ย่อมรู้ได้เหมือนกันใช่หรือไม่เล่า?”
“เจ้ามั่นใจหรือ?!” ชิงเยี่ยหลีคว้าคอชิงเทียนหลินไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็น “หากรู้เช่นนั้น ทำไมไม่ไปช่วยนาง? เจ้าติดตามชิงอวี่อย่างไม่ลดละมาตลอดไม่ใช่หรือ? ตอนนี้นางตกอยู่ในมือคนอื่น เจ้าจะไม่ลงมือได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของคนที่คว้าคอเขาไว้แล้ว ชิงเทียนหลินก็ไม่โกรธ หากแต่ยังเผยรอยยิ้มไร้พิษภัย จากนั้นค่อย ๆ แกะนิ้วอีกฝ่ายออกทีละนิ้ว
“เจ้าจะตื่นตกใจไปเพื่ออะไร? ข้าก็อยู่ที่นี่แล้วอย่างไร? ชิงชิงจะเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น หากข้ายังทำให้นางเป็นของข้าไม่ได้ ผมสักเส้นนางก็จะไม่มีวันได้ร่วง”
ชิงเทียนหลินพูดจบก็เหลือบมองเขาอย่างมีความในเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านไป
ชิงเยี่ยหลียืนกำหมัดแน่นอยู่ด้านหลัง สายตามองไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบน พริบตานั้นเขาก็มีสีหน้าซับซ้อน
แม้ปัญหาเรื่องบันไดที่คร่าไปหลายชีวิตจะคลี่คลายแล้ว แต่เหวลึกที่เผยสู่สายตานั้นก็นับเป็นเรื่องปวดหัวใหม่ให้พวกเขา
นอกจากเรื่องที่มีสะพานโซ่ที่บางเสียจนเดินไปได้ทีละคนแล้ว ยังมีเหล่านกประหลาดที่จ้องพวกเขาตาเป็นมันอีก แม้จะสังหารตัวที่เห็นได้ แต่ตัวที่ไม่เห็นมีอีกเท่าไหร่กัน?
อย่างไรมนุษย์ก็ต่างจากอสูร ทั้งเรี่ยวแรงและพลังวิญญาณก็มีหมด หากเกิดเรื่องนั้นขึ้นระหว่างอยู่บนสะพานก็คงเหนื่อยล้าเสียก่อนจะถูกพวกมันฆ่าแล้ว
แม้ด้านนอกจะมีเสียงเอะอะ แต่โหลวจวินเหยาก็ยังนั่งนิ่งหน้าขรึมอยู่ที่ฟากตน ในหมู่คนที่นั่น แคว้นมารรักษากำลังตน อาจเป็นขุมกำลังที่แกร่งที่สุดแล้วก็ว่าได้
“นายท่าน เราจะลงมือเมื่อไหร่หรือ?” ศิษย์แคว้นมารคนหนึ่งถามขึ้นเสียงเบา
โหลวจวินเหยามือเลิกผ้ากระโจมขึ้นมองเหตุการณ์ด้านนอก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตวัดสายตาหันมามอง “พวกเจ้ามีใครอยากไปสืบหาทางเข้าบ้าง?”
ในน้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดเจือ แต่คนที่อยู่ข้างกายเขามานาน ต่างก็รู้นิสัยเขาดี จับความผิดปกติเล็กน้อยในน้ำเสียงนั่นได้
พวกโง่จากสมาพันธ์นักล่า ก่อนหน้านี้ส่งคนไปสืบดูแล้ว แต่ไม่มีใครได้กลับมาเลย
ท่านจอมมารยังไม่ลงมือ เป็นเพราะต้องการให้พวกโง่จอมเย่อหยิ่งพวกนั้นลองน้ำเสียก่อน ให้คนแคว้นมารไม่เสียไปเปล่า ดูท่าท่านจอมมารจะวางแผนไว้แล้ว
“ดูจากที่เห็นยอดเขาใจสงบเช่นนี้แล้ว หากจะรอให้พวกเขาหาทางเข้ากันได้คงรออีกกว่าสองสัปดาห์”
ปีศาจน้อยนั่งเอนหลังเกียจคร้านอยู่ที่มุมกระโจมพลันเอ่ยเสียงขึ้นเบา ๆ
เมื่อเห็นโหลวจวินเหยาหันมามอง ปีศาจน้อยก็ยกมุมปาก หรี่นัยน์ตาแดงลง “ถึงตอนนั้น แม่นางน้อยของท่านก็คงกลายร่างไปแล้วกระมัง”
“เจ้ามีแผนหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วมอง
ปีศาจน้อยยกยิ้มน้อย ๆ และท่ามกลางสายตาสงสัยใครรู้ทั้งหลาย ร่างเขาพลันเคลื่อนออกจากกระโจมไปรวดเร็วราวกับแสง คล้ายกับลมกรดหอบหนึ่ง เคลื่อนข้ามสะพานโซ่นั่นในพริบตา ก่อนจะกลับมายังกระโจมด้วยความเร็วแบบเดียวกัน
เขาเคลื่อนกายเร็วจนมองไม่ทัน ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็น
ยังไม่ทันสิ้นลมหายใจเขาก็รุดหน้าไปยังสะพานโซ่ โซ่ที่พาดสองฝั่งไม่สั่นคลอนมากมายด้วยซ้ำ
ทุกคนในแคว้นมาร “…..”
ปีศาจน้อยเป็นตัวอะไรกันแน่? ทำไมถึงมีฝีมือสะท้านฟ้าเช่นนี้ได้!?
ความสามารถดังกล่าวไม่เพียงต้องใช้ความเร็วในการเคลื่อนกายเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ทักษะขั้นสูงด้วย หากสะพานโซ่เหล็กนั่นไหวเพียงนิด นกประหลาดพวกนั้นก็จะสัมผัสได้และเข้าโจมตีเขาพร้อมกัน
เว้นเสียแต่ตัวจะเบาราวกับขนนก!
โหลวจวินเหยาจ้องชายหนุ่มที่นั่งสบายอารมณ์นิ่ง “นั่นน่ะหรือแผนเจ้า? ล้อกันเล่นหรือ?”
ทั่วทั้งแดนจะมีใครเคลื่อนกายว่องไวอย่างเขาได้? หากคนอื่น ๆ เก่งกาจสามารถเช่นเขาแล้ว ใต้หล้าจะโกลาหลขนาดไหนกัน?
ได้ยินแล้วปีศาจน้อยจึงเลิกคิ้ว “หือ? ข้าแค่จะกล่าวว่าข้าสามารถข้ามไปเช่นนั้นได้”
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงน้อย ๆ แต่สีหน้ายังไร้อารมณ์
“เอาล่ะ ๆ ข้าล้อท่านเล่น อย่าเครียดนักสิ”
ปีศาจน้อยหัวเราะเบา ๆ แล้วว่าต่อ “อสูรวิญญาณทั้งหมดมีนักล่าตามธรรมชาติอยู่ ตัวที่แกร่งล่าตัวที่อ่อนแอกว่า แกร่งกว่าก็อยู่รอดไป นั่นเป็นกฎธรรมชาติ เหตุผลหนึ่งที่นกพวกนั้นยึดผานั่นเป็นที่มั่นก็เพราะประการแรก นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของมัน ประการที่สองคือเพราะตรงนั้นไม่มีนักล่าที่อาจล่ามันได้”
“แต่ข้าว่าครั้งนี้พวกเราไม่ได้เอาอสูรวิญญาณแกร่ง ๆ มาเลยนะ! หรือจะให้ส่งคนไปเอามาจากแคว้นมาร?” สวินลั่วถม
ปีศาจน้อยหัวเราะหยันออกมา “นอกจากท่านจอมมารแล้วก็ไม่มีใครนำอสูรวิญญาณเหล่านั้นออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามของเราได้อีก”
“ก็จริง” สวินลั่วยักไหล่จนใจ เขาลืมไปได้อย่างไร
เขาก็คงขอให้ท่านจอมมารช่วยกลับไปเอาไม่ได้…..
นอกจากโหลวจวินเหยาแล้ว ชิงเป่ยนั้นไม่คุ้นเคยกับใครอีก ดังนั้นจึงไม่ได้คุยกับใครมาก จึงนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ คิดหาทางจัดการเรื่องไป ฉับพลันก็รู้สึกว่าปลายชุดถูกกระตุก
เขาจึงก้มหน้าลงมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร จึงไม่สนใจอะไรมาก
แต่หลังจากนั้นไม่นานปลายชุดก็ถูกดึงอีก เขารีบก้มลงมองแล้วมุ่นคิ้วฉงน
เกิดอะไรขึ้น? เขาคิดไปเองหรือ??
“น้าเสี่ยวเป่ย”
เสียงเบา ๆ ดังขึ้นในหูชิงเป่ยจนเขาอดรู้สึกสะดุ้งไม่ได้
เสียงนี้มัน…..
ยังไม่ทันได้คิดอะไร ก็เห็นปีศาจน้อยพลันหรี่ตาลง ตาสีแดงตวัดมามองทางชิงเป่ย “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นตัวอะไร เผยตัวออกมาเสีย”
แรงกระตุกที่ปลายชุดพลันหยุด สิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มองไม่เห็นคล้ายกับพยายามหนี เคราะห์ร้าย ตอนที่กำลังจะผลุบออกนอกกระโจมไป คนชุดสีม่วงก็มายืนขวางทางออกเอาไว้
“อู๊ย! เจ็บนะ!”
น้ำเสียงเล็กไม่ประสาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนก้อนกลมสีดำจะล้มตุบลงพื้น อาจเพราะร่างมันกลมมากจึงกลิ้งไปหลายรอบด้วยกัน เกิดเป็นภาพน่าขันไม่น้อย
ชิงเป่ยหันไปมองเป็นคนแรก เมื่อเห็นแล้วก็เบิกตากว้างทันที “โร่วโร่ว?”
ได้ยินแล้ว เจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืน นัยน์ตากลมสีฟ้ากะพริบปริบ ๆ อย่างน่าสงสารไปทางชิงเป่ย “ท่านน้า~”
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย!”
ชิงเป่ยเข้าไปอุ้มมันขึ้น ท่าทางตื่นเต้นทันที “เจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร? เจ้าไม่เคยห่างชิงอวี่เลยนี่?!”
เห็นดังนั้น โหลวจวินเหยาจึงอดฉงนไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกัน?
ปีศาจน้อยเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน “นี่มัน…..”
ชิงเป่ยเห็นแล้วก็จำเรื่องสำคัญได้ หันไปทางโหลวจวินเหยาทันที “นี่คืออสูรวิญญาณที่ชิงอวี่เอากลับมาตอนที่ไปหุบเขาพญายม นับแต่นั้นมันก็ไม่เคยห่างชิงอวี่อีก ข้าว่าชิงอวี่คงส่งมันมาหาพวกเราแน่”
โหลวจวินเหยาจึงหันไปมองเจ้าตัวดำในอ้อมแขนชิงเป่ยก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “นางให้เจ้ามาหรือ?”
โร่วโร่วหดตัวหนี ไม่รู้ทำไมมันถึงกลัวเขา เป็นเพราะคนคนนี้ขวางทางมันไว้ มันถึงได้เผยกายต่อหน้าทุกคน
มันหลบสายตาไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว หันไปมองปีศาจน้อยที่ดูฉงนไม่แพ้กัน ปากน้อย ๆ มันแบะนิด ๆ คิดว่าชายสองคนที่จ้องมันด้วยสายตาแปลก ๆ เช่นนี้น่ากลัวนัก
ตลอดเวลาที่มันผ่านฝูงชนจำนวนมากด้านนอก ไม่มีใครเลยที่รับรู้ถึงตัวมันได้ สุดท้ายมันเข้ามาหน่อยเดียวกลับถูกเจอตัวทันที
จังหวะที่อสูรน้อยลังเลด้วยความกลัว ชายหนุ่มก็เหมือนหมดความอดทน นัยน์ตาสีม่วงเข้มขึ้น บรรยากาศรอบกายพลันเยียบเย็น
โร่วโร่วหลุดจากภวังค์ รีบผงกหัว “ท….. ท่านแม่ให้ข้าออกมาดูสถานการณ์ และ….. ให้มาบอกท่านน้าว่านางปลอดภัยดี”
เจ้าตัวเล็กฉลาดไม่น้อย รู้จักอ่านสถานการณ์ เมื่อเห็นสีหน้าเขาแปลกไปก็รีบโพล่งความจริงออกมา
แต่มันพูดจบ โหลวจวินเหยาก็หน้าตายิ่งประหลาดไป “เจ้าเรียกนางว่า….. ท่านแม่?”
“อื้อ! นางเป็นท่านแม่ของข้านี่” ใบหน้าน่ารักของโร่วโร่วยิ้มอย่างภูมิใจแล้วพยักหน้าหงก ๆ ดูน่ารักน่าชัง
“อืมมม” โหลวจวินเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าก็เป็นท่านพ่อ”
“พรืด~~”
สวินลั่วที่นั่งฟังคนกับอสูรคุยกันด้วยความประหลาดใจ พลันหลุดหัวเราะออกมา
ปีศาจน้อยยิ้มมุมปาก แม้จะไม่ได้หัวเราะออกมา แต่สีหน้าก็ส่อแววขบขันยิ่งนัก
แต่ที่ดูตกตะลึงที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าอสูรน้อย
นัยน์ตากลมโตของมันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ราวกับกำลังพยายามย่อยข่าวที่ได้ยินอยู่
“เอาล่ะ กลับมาเรื่องสำคัญต่อ นางเป็นอย่างไร? บาดเจ็บหรือไม่?” โหลวจวินเหยาถามขึ้น
“ท่านแม่ไม่ได้บาดเจ็บ แต่ถูกขังไว้ในสถานที่หนึ่ง ของที่รั้งร่างนางไว้นั้นพิเศษมาก นางก็เลยไม่อาจเป็นอิสระได้”
โหลวจวินเหยามุ่นคิ้ว ดูท่าจะต้องไปหานางโดยเร็วแล้ว
“เมื่อครู่คุยถึงไหนแล้วนะ? อ้อใช่ กลับแคว้นมารไปเอาอสูรวิญญาณระดับสูงมาขู่พวกนกประหลาดในหุบผานั่นเสีย ไม่งั้นจะเป็นปัญหาเอา” สวินลั่วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องทำขั้นนั้นแล้ว เรามีแล้วตัวหนึ่ง” ปีศาจน้อยยกยิ้ม เอ่ยเสียงเบาขึ้น
“หือ?”
สวินลั่วชะงักไป ชั่วจังหวะครึ่งลมหายใจจึงประมวลสารได้ สายตาเลื่อนไปมองเจ้าก้อนดำขนาดน่ารัก ขนาดเท่าฝ่ามือที่ขดอยู่ในอ้อมแขนชิงเป่ย
มุมปากเขากระตุก “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ…..”
ตัวก็เท่านี้ ให้ติดซอกฟันพวกนกนั่นยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?
เห็นสวินลั่วกังขา ปีศาจน้อยจึงส่ายหน้ามองอสูรน้อยน่ารักที่กำลังเลียอุ้งมือ “ทำให้เห็นว่าเจ้าน่ะไม่รู้ความ…..”