บทที่ 300 พระเจ้ามาโปรด
บทที่ 300 พระเจ้ามาโปรด
“ในตำรา ‘สิ่งมีชีวิตพิสดารในใต้หล้า’ มีบันทึกของอสูรดุร้ายลึกลับตัวหนึ่ง ว่ากันว่ามีดวงตาสุกสกาวราวกับดารานับพัน งดงามจับตา ใบหน้ารูปโฉมงดงาม เป็นเผ่าพันธุ์อสูรวิญญาณชั้นสูง”
“พวกมันเกิดมามีความสามารถเปลี่ยนสองร่างเพื่อปกป้องตนเองและเพื่อให้ศัตรูสับสนยามพบตัวมัน กลางวันสีดำสนิท กลางคืนขาวราวหิมะ”
“และเพราะมีขนาดเล็กจึงดูอ่อนแอบอบบาง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นร่างต่อสู้แล้ว ทั้งกำลังและขนาดก็จะเปลี่ยนไปตามอายุ ทรงพลังนัก มีอสูรวิญญาณไม่กี่ชนิดที่จะเทียบมันได้”
“ดังนั้นอสูรวิญญาณตัวอื่น ๆ จึงไม่กล้าล่วงเกินมันก่อน เพราะความอาฆาตของอสูรวิญญาณนั้นจะแรงตามกำลังที่อสูรแต่ละตัวมี”
พูดถึงจุดนี้ ปีศาจน้อยก็หยุดไป ก่อนจะหันไปมองเจ้าก้อนถ่านกลมอีกด้าน จากนั้นส่งยิ้มให้มันน้อย ๆ “ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่? ร่างจริงของเจ้า แท้จริงแล้วชื่อ….. อสูรวิญญาณแมวเงามืด”
สิ้นคำปีศาจน้อย ชิงเป่ยก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าก้อนถ่านในอ้อมแขนทำขนตั้งขึ้น ทั่วร่างเกร็งขึ้น จู่ ๆ พลันมีกรงเล็บแหลมผลุบออกมาจากอุ้งมืออ้วน ราวกับพร้อมจะเข้าโจมตีใครก็ตามที่เป็นภัยต่อมัน
“เจ้าเก็บกรงเล็บไว้ดีกว่า หากเผลอข่วนโดนเจ้าเด็กนั่น เจ้ากลับไปหาท่านแม่เจ้าเมื่อไหร่มีหวังถูกถลกหนัง”
ปีศาจน้อยยกยิ้มน้อย ๆ จนแทบมองไม่เห็น “อสูรวิญญาณแมวเงามืดไม่เพียงมีพลังทำลายล้างสูงจนน่ากลัว แต่ร่างกายยังเต็มไปด้วยพิษร้าย พิษนั้นแรงที่สุดบนเขี้ยวและกรงเล็บ ข่วนเพียงนิดก็ทำให้สิ้นใจกะทันหันได้ นักปรุงยาดีเลิศที่สุดก็ช่วยชีวิตไม่ทัน”
ได้ยินแล้วชิงเป่ยก็มุมปากแข็ง มองโร่วโร่วด้วยสายตาตกตะลึงและประหม่าอยู่บ้าง
สวรรค์ เจ้านี่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ?
แต่ก่อนเขาหยอกมันเล่นอย่างหยาบคายอยู่หลายครั้ง คิดว่ามันน่ารัก เล่นด้วยแล้วสนุกดี พอนึกย้อนไปแล้ว เจ้าตัวเล็กนี่ก็อดทนอดกลั้นกับเขานัก หากมันทนไม่ไหวเพียงนิดแล้วใช้กรงเล็บข่วนเขาละก็ เขาก็คงไม่รอดแล้ว
“เจ้า….. รู้ตัวจริงข้าได้ยังไง?”
มันมาจากร่างเล็ก ๆ เป็นน้ำเสียงไม่ประสาที่น่ารักน่าชังราวกับเสียงเด็กเล็ก ๆ
แต่ในตอนนั้นเองที่สายตาโร่วโร่วพลันเปลี่ยนไป ตากลมโตของมันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดดุดัน ปากน้อย ๆ ยกขึ้นส่งเสียงคำราม เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมที่ส่องประกายเย็นยะเยือก
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมามีความกระหายเลือดอยู่ภายในอย่างแรงกล้า แต่สามารถใช้ขนาดตัวน้อย ๆ หลอกสายตาได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งใบหน้าที่ดูน่ารักน่ามองนั่นด้วย ทำให้เหมือนกับเป็นเจ้าตัวเล็กไร้พิษภัย ผู้คนต่างไม่ทันระวังตน สุดท้ายถูกกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกมานักต่อนัก
ว่ากันว่าพวกมันนั้นเจ้าเล่ห์และเลือดเย็นเสียงยิ่งกว่าอสรพิษ มนุษย์หน้าไหนก็ไม่อาจเอาชนะมันได้ นอกจากจะจับตัวอสูรวิญญาณลึกลับนี่ไม่ได้แล้ว ยังต้องเอาหลายชีวิตมาทิ้งอีกด้วย
เห็นเจ้าตัวเล็กทำเสียงขู่ดุร้ายแล้ว ปีศาจน้อยก็รีบยิ้มปลอบ “อย่าเกร็งไป ที่นี่มีแต่คนดีทั้งนั้น”
“พรืด~” สวินลั่วหัวเราะพรวดออกมา “พวกเจ้าที่นี่มีตรงไหนดูเหมือนคนดีบ้าง!?”
เมื่อถูกเขาล้อเช่นนั้น ปีศาจน้อยเพียงแต่หัวเราะหยันออกมา จากนั้นเอ่ยเสียงแสบทรวงขึ้น “หากการที่หน้าตาดีกว่าเจ้าหมายถึงการเป็นคนไม่ดี เช่นนั้นข้าก็พร้อมยอมรับ”
“…..” รอยยิ้มบนหน้าสวินลั่วแข็งค้าง จากนั้นเขาก็หุบปากฉับไม่พูดอีก
ได้ เขาก็ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนปากร้ายเช่นนั้นอยู่แล้ว เจ้าหมอนั่นสักวันหนึ่งคงได้สำลักน้ำลายตนเองตาย
โหลวจวินเหยาไม่สนใจคนเถียงกัน แต่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่ใช้ตากลมโตจ้องเขาระแวดระวังสองก้าวก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ข้าต้องการให้เจ้าช่วย”
โร่วโร่วกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนดูประหลาดใจ
โหลวจวินเหยายกนิ้วขึ้นชี้ไปตรงจุดที่คนพากันมุงอยู่ “อสูรวิญญาณที่ก้นเหวด้านหน้าเหล่านั้นขวางทางพวกเรา หากจะเร็วที่สุดก็ต้องให้เจ้าไปช่วยจัดการให้”
“แล้วทำไมข้าต้องฟังคำท่าน?” โร่วโร่วว่า สายตาไม่เป็นมิตร
มันเกิดมามีนิสัยหยิ่งผยองนัก ไม่อาจให้ใครหยามเกียรติ เหมือนจะเป็นนิสัยที่อสูรวิญญาณทุกตัวมีเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มใช้โทนเสียงเหมือนสั่ง โร่วโร่วจึงไม่พอใจทันที
ท่านแม่เป็นคนเดียวที่จะสั่งมันได้ ส่วนคนอื่น….. อย่าแม้แต่จะฝัน
คิดได้ดังนั้นแล้ว โร่วโร่วก็แยกเขี้ยวใส่
โหลวจวินเหยาเห็นแล้วก็เลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “ยิ่งเรากำจัดอุปสรรคนั่นเร็วเท่าไหร่ เราก็ไปช่วยชิงอวี่ได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เจ้าอยากให้นางถูกทรมานอยู่บนยอดเขาใจสงบงั้นหรือ?”
ไม่ว่ามันจะรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคืองแค่ไหนก็ตาม ยามได้ยินคำเขาแล้ว โร่วโร่วก็ได้แต่ยอมฟัง ใครใช้ให้มันใส่ใจท่านแม่มากขนาดนี้กันเล่า!!
ทันใดนั้นโร่วโร่วก็กระโดดลงจากแขนชิงเป่ย พริบตาเดียวร่างเล็กของมันก็ไปปรากฏอยู่บนสะพานโซ่เหล็กที่ไหวน้อย ๆ เนื่องจากลมพัดขึ้นจากหุบเหวลึก
สวินลั่วจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างก่อนเอ่ยเสียงอึ้งขึ้น “เจ้าตัวเล็กนั่นเร็วกว่าปีศาจน้อยอยู่อีกนะนั่น!”
ก่อนหน้านี้การเคลื่อนไหวของปีศาจน้อยก็ทำให้ผู้คนทั้งหลายตกตะลึงแล้ว แต่ความเร็วของอสูรแมวเงามืดนั้นเร็วขนน่าผวา เกรงว่ากระทั่งเหยี่ยวพายุที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วเหนือจริงในหมู่อสูรวิญญาณก็คงเร็วได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมัน
ปีศาจน้อยได้ยินก็ยิ้มรู้ทัน “จุดแข็งหนึ่งของอสูรแมวเงามืดคือความเร็ว และเพราะมันเกิดมามีความสามารถสะท้านฟ้ากว่าอสูรวิญญาณตัวอื่น ๆ เช่นนี้มันถึงได้หยิ่งผยองนัก!”
“เจ้านี่รู้เรื่องพวกมันไม่น้อย! เจ้ารู้เรื่องเผ่าพันธุ์หายากแปลกประหลาดเสียจริงนะ”
ว่าแล้วสวินลั่วก็หันไปใช้สายตาสงสัยใคร่รู้มองปีศาจน้อย “จะว่าไปนะปีศาจน้อย เหมือนข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้ามาจากที่ใด ทุกคนเอาแต่เรียกเจ้าว่าปีศาจน้อยทั้งที่ไม่รู้นามจริงเจ้าด้วยซ้ำ มันช่างลึกลับจริง ๆ สรุปแล้วเจ้ามาจากที่ไหนกันแน่?”
ปีศาจน้อยดูอึ้งไปเล็กน้อยราวกับไม่คิดว่าสวินลั่วจถามเช่นนั้นขึ้นมา
หากแต่อึดใจต่อมา เขาก็ตั้งสติได้ นัยน์ตาสีแดงดูราวกับมีคลื่นน้ำ ดูน่าดึงดูดนัก ใบหน้ายามเอ่ยถามก็ดูชั่วร้ายนัก “เจ้าไม่ลองเดาดูเล่า?”
“น่าเบื่อ” สวินลั่วหัวเราะเหอะชี้ให้เห็นว่าไม่สนใจ
แต่เขารู้ว่าปีศาจน้อยคงไม่เต็มใจจะพูดถึง ดังนั้นเขาจึงไม่ถามต่อ
เป็นตอนนั้นเองที่ท้องฟ้าด้านนอกค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ ก่อนที่แสงสุดท้ายก่อนตะวันตกดินจะค่อย ๆ เลือนหายไป
จังหวะที่แสงเลือนหายไปจนหมด ร่างกายภายนอกโร่วโร่วก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นเจ้าตัวเล็กขนปุยสีขาวราวหิมะจึงปรากฏขึ้นบนสะพานโซ่เหล็ก ตัดกับสีดำมืดจับตาของความมืด ส่งผลให้ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ตัวอะไรน่ะ?”
“คงเป็นอสูรวิญญาณเลี้ยงของใครนำมาด้วยกระมัง?”
“มีอสูรตัวเล็กเช่นนั้นด้วยหรือ! แต่ก็น่าจะดูแลให้ดีหน่อย ไม่ใช่ปล่อยให้มันวิ่งออกมาเองเช่นนี้”
“เจ้าตัวเล็กนี่คงเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ! มีพวกนกกินเนื้ออยู่ด้านล่างเต็มไปหมด หัวเล็ก ๆ ของมันติดฟันนกพวกนั้นยังไม่ได้เลยกระมัง!”
“เจ้าพูดถูก แต่มันขึ้นไปได้อย่างไรกัน? พวกเรายืนมองสะพานอยู่ตลอด ไม่เห็นมันปีนขึ้นไปตอนไหนเลยนี่?”
ยามโร่วโร่วได้ยินเสียงพวกมนุษย์ถกเถียงกันไปมา มันก็อดยิ้มเหยียดออกมาไม่ได้
หากไม่ใช่ว่ามันอยากท่านแม่ ก็คงไม่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนพวกนั้นหรอก กล้าดูถูกมันเช่นนี้ ปล่อยให้ถูกนกพวกนั้นกินไปก็ดีแล้ว
แต่ว่า….. มันขู่นกพวกนั้นได้คือเรื่องหนึ่ง แต่พวกโง่นี่จะข้ามสะพานไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในตอนที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันไม่หยุดปาก ก็เห็นว่าร่างของเจ้าตัวเล็กบนสะพานโซ่เหล็กพลันปล่อยแสงเรืองจาง ๆ ออกมา ก่อนแสงหนึ่งจะวาบแล้วแผ่ขยายออกมา
ฝูงชนยังไม่ทันรู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังทำอะไร หูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นโหยหวนดังขึ้นมาจากหุบเหวแล้ว เสียงนั่นดังก้องอยู่ในหู ราวกับเป็นการโจมตีด้วยเสียง แก้วหูพวกเขาเกือบแตก
“เสียงอะไรกัน?”
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“หูข้า….. อ๊าก— เจ็บ!!”
พริบตานั้น เสียงโหยหวนเจ็บปวดก็ดังขึ้นทั่วหุบเหวไม่หยุดหย่อน ทุกคนพลันเอามือปิดหูตนไว้ แต่ก็ไม่ช่วยสักนิด
เสียงกรีดร้องแหลมเสียดแก้วหูนั่นพุ่งเข้าโจมตีแก้วหูโดยตรงไม่หยุด พวกที่อ่อนแอก็เลือดออกเจ็ดทวารโดยออกที่หูมากที่สุดและบาดเจ็บสาหัสที่สุด
ปีศาจน้อยเหมือนรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ เมื่อโร่วโร่วยืนอยู่บนสะพานโซ่เหล็ก เขาก็บอกให้คนอื่น ๆ ผนึกหูเอาไว้แล้ว
ดังนั้นแม้เหตุการณ์ด้านนอกจะสาหัสเพียงไหน แต่ในกระโจมแคว้นมารก็ยังคงความสงบสุขไว้ได้ ราวกับเป็นเพียงผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใด
“เจ้านั่นมันทำอะไรน่ะ?” สวินลั่วมุมปากกระตุก “มันต้องจัดการพวกนกข้างล่างนั่นไม่ใช่หรือ? ทำไมมันทำราวกับจะให้นกพวกนั้นโกรธ ตอนนี้ก็ขึ้นมารุมล้อมโจมตีมันในคราเดียวเล่า!?”
“มันไม่ได้ถูกล้อมหรอก มันเพียงแต่จะสู้ในคราเดียวเท่านั้น” ปีศาจน้อยจึงอธิบาย
สวินลั่วพยักหน้าเข้าใจก่อนถามต่อ “แต่ เจ้านั่นจะสู้นกทั้งฝูงไหวหรือ? อย่างไรมันก็มีตัวเดียว แต่นกพวกนั้นอาจมีเป็นพัน ๆ…..”
ปีศาจน้อยยิ้มบาง “คงถึงเวลาที่เจ้าจะได้เห็นพลังที่แท้จริงของอสูรแมวเงามืดแล้ว”
แม้มันจะดูคล้ายกับลูกแมวตัวหนึ่ง แต่ก็เป็นอสูรวิญญาณที่ดุร้ายป่าเถื่อนกว่าเสือหรือสิงห์ตัวใดเสียอีก
เมื่อเสียงจางลงแล้ว แสงจาง ๆ ที่โอบร่างเจ้าตัวเล็กบนสะพานโซ่เหล็กก็เหมือนยิ่งสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นทีละนิด ไม่นานก็มีขนาดเท่าช้างขนาดเล็กตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าเดิมนับร้อยเท่า
ชิงเป่ยจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่กลายร่างแล้วก็เอ่ยเสียงเหลือเชื่อขึ้นมา “โร่วโร่วตัวใหญ่ได้เช่นนี้เลยสินะ”
“ตอนนี้มันยังเป็นทารกอยู่ รอจนมันโตเต็มวัยจะตัวใหญ่กว่านี้นัก” ปีศาจน้อยตอบพร้อมยิ้มเยาะ
ในตอนที่ชิงเป่ยกำลังตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั่นเอง อสูรวิญญาณบนสะพานโซ่เหล็กก็พลันปล่อยเสียงคำรามเกรี้ยวกราดออกมา กระทืบเท้าที่หนึ่งเพื่อส่งเสียงรบกวนพวกนกประหลาดนับไม่ถ้วนที่อยู่ในหุบเหวแห่งนั้น