บทที่ 301 คนที่ไม่อาจลืม
บทที่ 301 คนที่ไม่อาจลืม

แต่ที่ทำให้ทุกคนหน้าซีดคือพวกนกประหลาดนั่นที่บินขึ้นมาจากเหวไม่ได้พุ่งโจมตีอสูรบนสะพานโซ่ แต่กลับรวมตัวเป็นฝูงแล้วต่อตัวเรียงกันที่สองฟากฝั่งสะพานแคบ ทำให้เกิดเป็นพื้นที่กว้างขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

“เกิดอะไรขึ้นกัน?” คนหนึ่งถามขึ้น “พวกมันถูกสิงหรือ?”

เมื่อดูเหตุการณ์แล้ว ดูเหมือนนกประหลาดพวกนี้กำลังใช้ร่างตนเองต่อเป็นสะพานอยู่ ทำให้ข้ามไปได้รวดเร็วมากขึ้น

ตรงนั้นมีคนอยู่มากมายนัก แล้วสะพานโซ่เหล็กก็ดูเก่ามาก คงจะอยู่มานานมากแล้วเป็นแน่ หากทุกคนข้ามไปทีละคนก็คงไม่ต้องบอกว่าต้องใช้เวลาสักเพียงไหน มีคนข้ามเรื่อย ๆ เช่นนี้ สะพานอาจรับน้ำหนักไม่ไหว ขาดไปเลยก็เป็นได้

เมื่อเห็นฝูงชนดูลังเลไม่กล้าเดินไปข้างหน้า โร่วโร่วจึงโบกอุ้งมือท่าทางไม่อดรนทนรอเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งสายตาไปทิศทางหนึ่ง ราวกับจะบอกใบ้อะไร

เป็นตอนนั้นที่โหลวจวินเหยากับพวกเผยตัว และไม่ต้องสงสัยว่าหากชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็จะไร้ความสงบสุขขึ้นทันใด

“เป็นท่านจอมมาร!”

“เข้าไปตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”

เมื่อเสียงดังถกเถียงดุเดือดดังขึ้น ด้านหน้าสะพานพลันที่มีคนกลุ่มหนึ่งขวางไว้ก็ถอยไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อเปิดทางให้บุรุษคนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัว

“หึ ไปไหนก็เจอเขา น่าโมโหนัก” สีหน้าจูเก่อฉงไม่น่ามองเท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทีสูงส่งทรงพลังของคนคนนั้น ทำราวกับคนอื่นอยู่ต่ำกว่าตน จูเก่อฉงจึงขุ่นเคืองใจขึ้นมา

ครั้งที่เขายังอยู่แคว้นมาร เขาชื่นชมอีกฝ่ายมาก และเคารพอีกฝ่ายอย่างสูง แต่ตอนนี้เหลือเพียงความเกลียดชังและดูถูกต่อโหลวจวินเหยาเท่านั้น

ชิงเทียนหลินด้านข้างจูเก่อฉงได้ยินแล้วสายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนถามจูเก่อฉงด้วยน้ำเสียงดูสนอกสนใจ “ชายคนนั้น…..”

แม้ก่อนหน้าจะเคยแลกกระบวนท่ากันมาก่อน แต่ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายจนถึงวันนี้ รู้เพียงแต่ว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ คาดว่าต้องเป็นยอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งเท่านั้น

“เขาเป็นเจ้าแคว้นมาร หนึ่งในขุมอำนาจใหญ่ทั้งห้าแดนเมฆาสวรรค์ โหลวจวินเหยา เป็นพวกใจคด เย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด” จูเก่อฉงตอบเสียงดูถูก

“อ้อ?” ชิงเทียนหลินยิ้มพยักหน้า “เป็นเจ้าแคว้นมารอันเลื่องชื่อนั่นเอง”

จูเก่อฉงหัวเราะเสียงเย็น “เลื่องชื่อในเรื่องความอัปยศน่ะสิ”

ชิงเทียนหลินเพียงแต่ยิ้มไม่กล่าวคำใด

โหลวจวินเหยานั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ก้าวเท้าผ่านคนเหล่านั้นไป ค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นสะพานโซ่เหล็ก

ในตอนนั้นโร่วโร่วก็กำลังค่อย ๆ กลับร่างกลมเล็กร่างเดิมของมัน นั่งก้มหน้าเลียอุ้งมือตนเอง ก่อนจะมีแขนยาวของคนผู้หนึ่งพลันเอื้อมมาช้อนตัวมันขึ้น ทำเอามันตกใจจนพองขนทันที นัยน์ตากลมโตสีฟ้าพลันจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ

โหลวจวินเหยาเหมือนยกริมฝีปากยิ้มน้อย ๆ จากนั้นลูบขนที่หลังคอเจ้าตัวเล็กแล้วเอ่ยคำ “คงเหนื่อยไม่น้อยเลย”

น้ำเสียงที่นุ่มนวลและการกระทำที่อ่อนโยนจากมือของเขา ทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ลืมใช้กรงเล็บพิฆาตปะทะเนื้อมนุษย์ที่จู่ ๆ ก็มาต้องตัวมันโดยพลการไปเสียสนิท

นอกจากท่านแม่แล้ว มันก็ไม่ชอบแม้กระทั่งชิงเป่ยที่พยายามจะสนิทกับมันให้ได้ แต่เพื่อท่านแม่แล้วมันจึงยอมให้เขาแตะตัวให้อุ้มบ้างเป็นบางครั้ง

แต่คนคนนี้…..

น่าแปลก….. ที่มันไม่รู้สึกรังเกียจเขาเลย?

หรือเป็นเพราะ….. มันจับกลิ่นบาง ๆ ของท่านแม่ได้จากเขากัน?

หลังจากทุกคนในแคว้นมารข้ามสะพานโซ่เหล็กไปอย่างปลอดภัยแล้ว คนอื่น ๆ ย่อมไม่อยากรั้งท้าย ตามหลังมาทันที

แต่เดินข้ามมาได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกนกประหลาดที่เรียงตัวกันกลายเป็นพื้นที่เสริมให้สะพานก็พลันกระพือปีกบ้าคลั่ง ทำให้คนที่ยืนอยู่บนหลังมันร่วงลงไปหลายคน

และเมื่อร่วงลงเหวลึกไปแล้ว นกประหลาดที่อยู่ก้นเหวก็พุ่งขึ้นมาเป็นฝูง พริบตาเดียวก็ได้กลิ่นเลือดคลุ้งไปทั่ว ไม่เหลือร่องรอยของคนที่ร่วงลงไปสักชิ้นเดียว

เป็นเพราะพวกมันถูกข่มขู่โดยอสูรแมวเงามืดหรอก พวกนกถึงได้ว่าง่ายเช่นนี้

ในตอนนั้นโหลวจวินเหยานั้นเดินอุ้มเจ้าตัวเล็กไปไกลแล้ว นกประหลาดพวกนั้นย่อมไม่ยอมอีกต่อไป หมายจะสาดแรงแค้นภายในกับคนที่เหลืออยู่

พวกที่โชคดีข้ามไปแล้วก็ได้แต่มองด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าซีดขาวเมื่อเห็นภาพการสังหารหมู่โหดเหี้ยม ในใจรู้สึกหมดหนทางเหลือทน

พวกเขาควรจะรู้เช่นนี้ ยอดเขาใจสงบไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะมาได้ ต้องมีคนยอมแลกบางอย่างไป กระทั่งแลกด้วยชีวิต เพื่อกลายเป็นขั้นบันไดให้คนอื่นย่ำขึ้นไปได้

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่กำลังถูกจับตามองด้วยสายตาใครบางคน

สตรีที่นั่งเอื่อยอยู่บนเก้าอี้พลันเห็นบางอย่าง ทำให้นัยน์ตาสีเงินเบิกกว้างเล็กน้อย ร่างนางค่อย ๆ ยื่นตัวขึ้น แผ่นหลังกลายเป็นตั้งตรง

นางลุกขึ้นช้า ๆ แล้วก้าวไปสองสามก้าว มองเงาร่างคุ้นเคยที่ปรากฏในภาพฉากใหญ่ตรงหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์ ราวกับใจลอยละล่องไปยังอดีตที่แสนห่างไกล

นางคิดไปเองหรือ?

นี่นางคิดถึงเขามากเกินไปจนพอเห็นคนที่คล้ายเขาเข้าหน่อยก็เหลียวมองไปหนที่สองแล้วงั้นหรือ?

แต่ใบหน้านั้นเหมือนกับเขาไม่มีผิด! ใบหน้าที่นางคงไม่อาจลืมไปชั่วกาล

นางตกอยู่ในภวังค์จนไม่สังเกตเลยว่ามีคนเข้ามาในห้องโถงใหญ่

เหลียนซือมองตามสายตานางไปแล้วย่อมเห็นเงาร่างที่ทำให้ดูเศร้าซึมไป พริบตานั้นนัยน์ตาเขาก็มืดลง แต่ไม่นานก็กลับสู่ความสงบดังเดิม

“เจ้าเหนือหัว เหยี่ยนพั่วรายงานว่าสภาพของคนในถูกคุมขังในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงไม่ดีนัก หากเราไม่รีบทำตามแผน คนผู้นั้นก็อาจหมดประโยชน์ในเร็ว ๆ นี้”

เสียงของเขาดังขัดความคิดนาง นางพลันมุ่นคิ้วเหมือนไม่พอใจ แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาว่ามา นางก็เผยสีหน้าเย็นชา “ใช้ยายื้อให้นางอีกสักหน่อย ข้าจะไม่ให้ใครมาขัดขวางแผนของข้าได้”

“เข้าใจแล้วขอรับ” เหลียนซือก้มศีรษะ

นางพูดจบเขาก็เห็นนางลากสายตากลับไปมองภาพเดิม ริมฝีปากเขาขยับราวกับลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่นางไม่สังเกตเห็นสักนิด

เหลียนซือยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินจากไปทั้งอย่างนั้น

อีกด้านหนึ่ง ภายในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิง อิงเกอกำลังแอบส่งพลังวิญญาณเข้าร่างชิงหลานเฟยทีละน้อย เมื่อนางดึงมือกลับมา หน้านางก็ซีดไปเล็กน้อย

ชิงหลานเฟยถอนหายใจอย่างจนใจออกมา “จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ? แม้พลังบำเพ็ญข้าจะกลับมาดังก่อน แต่ก็ออกไปจากคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงนี่ไม่ได้อยู่ดี”

“ข้าบอกแล้วว่าจะช่วยท่านและพาท่านออกไปจากที่นี่ให้ได้” อิงเกอยกยิ้ม แม้ริมฝีปากจะซีดลงจากเดิม ใบหน้าที่มักเย็นชาเหินห่างกลับมีรอยยิ้มหนึ่ง ดูงดงามจับตานัก

“ข้ารู้ว่าเจ้าเพียงแต่ปลอบใจข้า” ชิงหลานเฟยว่าพลางส่ายหัว ส่งสายตามองนางแล้วก็เอ่ยเสียงเบา “อิงเกอ เจ้าช่วยข้ามามากแล้ว ข้าซาบซึ้งใจนัก แต่อย่าทำเช่นนี้ต่อไปเลย ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้ามาพัวพัน”

อิงเกอสายตาเฉียบคมขึ้นเล็กน้อย นางเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยกับชิงหลานเฟย “พัวพันหรือไม่ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจ ข้าเต็มใจทำของข้าเอง”

ชิงหลานเฟยมุ่นคิ้ว กำลังจะเอ่ยคำก็ได้ยินอิงเกอเอ่ยขึ้นมาก่อน “ศิษย์พี่ ยอดเขาใจสงบได้เผยกายต่อหน้าผู้คนแล้ว หลาย ๆ คนก็ขึ้นมายังแดนนี่แล้วด้วย รอแค่ให้พวกเขาตัดสินเป็นตายคนพวกนั้นเท่านั้น”

ชิงหลานเฟยนัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกใจทันที

“หลายวันก่อนข้าไปหาเสี่ยวชิงอวี่มา นางสบายดีมาก เว้นเสียแต่ไร้อิสระ ดังนั้นศิษย์พี่บอกข้ามา ท่านจะยอมแพ้จริงหรือ?” อิงเกอจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง เอ่ยเน้นชัดเจนทุกคำ

“เสี่ยวอวี่สบายดีจริงหรือ?” ชิงหลานเฟยจับมืออิงเกอไว้แน่น เอ่ยถามเสียงไม่อยากเชื่อ

“นางสบายดีทุกประการ” อิงเกอเงยหน้าตอบ “ข้าบอกนางด้วยว่าไม่ต้องกลัว ข้าจะหาทางช่วยนาง เพราะท่านแม่ของนางกำลังรออยู่”

ชิงหลานเฟยแสดงสีหน้าซึ้งใจ ต่อมา ราวกับนางเพิ่งทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ นางพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “เอาล่ะ ข้าสัญญาว่าข้าจะรีบหายดี ข้าจะได้ไปช่วยเสี่ยวอวี่พร้อมกับเจ้า”

อิงเกอจึงเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา

แท้จริงแล้วนางยังไม่เคยเห็นเด็กสาวด้วยซ้ำ ไม่รู้อีกต่างหากว่าถูกขังไว้ที่ใด

ข้อมูลถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีข่าวจากอาจารย์แม้แต่นิด ได้ยินจากปากอาจารย์เพียงอย่างเดียวคือแม่นางน้อยถูกท่านเทพเหลียนซือพามาด้วยตัวเอง

คนคนนั้น นอกจากเจ้าเหนือหัวแล้ว ก็นับเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอำนาจที่สุดบนยอดเขาใจสงบ ฐานะสูงส่ง เป็นคนล้ำลึกเกินหยั่งที่มีใบหน้ายิ้มแย้มให้ทุกคน หากแต่หน้ายิ้ม ๆ นั่นล่ะที่น่ากลัวเป็นที่สุด

กระทั่งอาจารย์ของนางยังต้องยอมลงให้เขาในระดับหนึ่ง ส่วนคนต่ำต้อยไร้ค่าเช่นนาง เกรงว่าจะพูดกับเขานางยังไม่มีสิทธิ์เลยกระมัง

แต่นางไม่มีทางยอมแพ้ นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กสาวถูกขังไว้ที่ไหน

อิงเกอกุมมือชิงหลานเฟยแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

ศิษย์พี่ ในอดีตท่านปกป้องข้ามาโดยตลอด คราวนี้เป็นข้าที่จะปกป้องท่านบ้าง หวังว่าท่านจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ข้าไว้

ว่าท่านจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขแทนข้าด้วย

—————————————-

หลังข้ามสะพานโซ่เหล็กมาได้แล้วก็นับว่าเข้ามาถึงยอดเขาใจสงบแล้ว แต่กว่าจะเข้ามายังที่นี่ได้ก็ใช้เวลาสามวันเต็ม ๆ

ตอนที่เข้ามาได้ในคราแรก ทุกคนก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา แต่เมื่อนึกได้ว่ามีคนตายไปเท่าไหร่ จิตใจก็พลันหดหู่เศร้าสลด ราวกับเพิ่งเข้าใจว่าที่นี่อันตรายเพียงไหน

แต่มาขนาดนี้แล้ว จะถอยก็คงสายไปแล้ว

โครงสร้างทั้งหมดของยอดเขาใจสงบนั้นราวกับสถานที่ในฝัน งดงามและเหนือจริงยิ่งนัก ราวกับว่าหากใช้มือแตะเพียงนิดก็จะหายไปได้ แต่ทุกอย่างตรงหน้ากลับเป็นของจริง

ต่อหน้าพวกเขาคือสิงโตหิมะขนาดมหึมา กำลังหมอบตัวต่ำคล้ายกับพร้อมกระโจนใส่ ปากของมันอ้าปากกว้าง เป็นภาพที่น่าเกรงขามไม่น้อย

แต่ร่างของมันกลับถูกแช่แข็งไว้ตลอดกาล ทั่วร่างถูกน้ำแข็งอันหนาทึบผนึกไว้ เหมือนตายมานานแล้ว แต่ท่าทางเกรงขามของมันก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีโดยไร้รอยขีดข่วนใด เหมือนจริงอย่างมาก

นอกจากสิงโตหิมะที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วก็มีอสูรอื่น ๆ หลากชนิด ทั้งที่เป็นอสูรบกและมีปีกบินบนฟ้า ทั้งหมดถูกแช่แข็งเอาไว้ อยู่ในท่าทางสุดท้ายเมื่อครั้งยังมีลมหายใจ ถูกกักขังไว้ที่นั่นจนกระทั่งสิ้นใจ

ราวกับว่าพวกมันพบกับความหายนะครั้งใหญ่ พวกอสูรวิญญาณทั้งหลายไม่อาจหลบได้ทันเวลา สุดท้ายก็ติดอยู่ภายในจนอันตรายคืบคลานเข้าหา ท่วงท่าจึงเหมือนจริงราวกับยังมีชีวิตอยู่