ตอนที่ 146.1 ศิษย์หลานผู้นี้... (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ ในขณะนี้หลี่ฉางโซ่วมองดูภาพเหตุการณ์ในกระท่อมมุงจาก และรู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย

ในกระท่อมมุงจาก ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งสวมชุดเกราะที่ขัดเกลาด้วยลมและความเย็น ขณะที่อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมเซียนที่มีแสงส่องลอดออกมาเล็กน้อย

แสงเทียนส่องสะท้อนใบหน้าของเขาทำให้ดูเหมือนดอกท้อ

เส้นผมด้านหน้าขมับของเขาเป็นสีขาว และบัดนี้ เขาก็ดูไร้กังวล

เพลงโศกเศร้าที่บรรเลงโดยซานเซียน[1] ดังขึ้นข้างๆ พวกเขา และจากนั้นก็มีสองประโยคที่เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวว่า “เจ้าไม่ควรมา”

และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวว่า “ข้ายังคงมา”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกเหมือนถูกเตือนให้นึกถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาทันที…

หือ?

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วพลันมองดูหลิงเอ๋อร์ เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่หลิงเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาเริ่มบรรเลงซานเซียน เขากระตุกมุมปากในขณะที่กล่าวกระซิบว่า “เจ้ากำลังเล่นอันใดอยู่ รีบไปชงชาแล้วเอามารับรองแขกเถิด”

“โอ” หลิงเอ๋อร์ทำหน้าบูดบึ้งและเก็บซานเซียนก่อนจะก้มศีรษะลงและรีบเดินอย่างรวดเร็วไปที่เตาเพื่อชงชา

ในขณะนั้น หว่างฉิงและเจียงหลินเอ๋อร์ต่างก็เงียบกันอยู่ในห้อง

นั่นเป็นครั้งแรกในครึ่งเดือนที่ผ่านมาที่หลี่ฉางโซ่วเห็นปรมาจารย์ของเขาคุกเข่าอย่างถูกต้อง โดยปกติแล้ว นางมักจะอาศัยชายกระโปรงชุดเกราะต่อสู้ที่ยาวและกว้าง แล้วกระดิกขาของนางทันทีที่นางนั่งลง

หว่างฉิงผู้สูงส่งถามว่า “ในเมื่อเจ้าทะลวงผ่านด่านได้แล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องจากไปอีก โลกบรรพกาลนั้นอันตรายและยากจะพบโชคได้ เจ้าควรจะฝึกฝนอยู่ในสำนักอย่างสงบสุขย่อมจะดีกว่า”

“ข้ายังมีสหายเต๋าที่ข้าเคยมีโชคชะตาผ่านอะไรมาร่วมกันด้วย ข้าไม่อยากทิ้งพวกเขาไป” เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวอย่างสงบ “ข้ามีชีวิตอยู่และประสบความสำเร็จในครั้งนี้ได้ด้วยโชค และไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสำนักต่อไปชั่วชีวิต”

ดูเหมือนว่า หว่างฉิงผู้สูงส่งมีบางอย่างจะเอ่ยออกมา แต่เขาก็เพียงถอนหายใจออกช้าๆ

จากนั้น ทั้งสองคนก็เงียบงันกันไปครู่หนึ่งในขณะที่เปลวไฟบนไส้ตะเกียงของตะเกียงวิญญาณกะพริบไหวเล็กน้อย

“เจ้ายังคงกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนั้น”

เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวว่า “ไม่ ยามนี้ข้าแค่รู้สึกว่าศิษย์ของข้าถูกทำร้าย แต่เจ้าไม่สนใจเรื่องนี้ ข้าจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”

หว่างฉิงผู้สูงส่งจึงกล่าวว่า “ในตอนนั้น ข้าเข้าปิดด่านเพื่อแสวงหาเฉิงเต๋าอยู่ ข้าเพิ่งออกมาเมื่อหกร้อยปีก่อนเท่านั้น” ในขณะนี้ใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ หลี่ฉางโซ่วได้กล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงไปถามอาจารย์ของเขาว่า “ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งผู้นี้ และท่านปรมาจารย์…”

“ข้าก็ไม่รู้” นักพรตเต๋าเฒ่าฉีหยวนส่ายศีรษะพลางตอบว่า “หลังจากที่ข้าเข้าไปในสำนัก ข้าก็เห็นอาจารย์ท่านนี้มาเยือนยอดเขาหยกน้อยของเรา ทุกครั้งที่เขามาเยี่ยม เขาจะพาศิษย์น้องจิ่วจิ่วที่เพิ่งเข้ามาในสำนักในเวลานั้นมาด้วย แต่ข้าไม่รู้จริงๆ เรื่องระหว่างท่านอาจารย์และอาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง…อืม! ไม่แปลกที่ข้าไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนได้ ในช่วงพันปีที่ผ่านมา พวกเราในยอดเขาหยกน้อยล้วนไม่เคยได้รับทรัพยากรที่ควรได้รับการจัดสรรให้กับยอดเขาทั้งหมด มันยังมีเหตุผลเช่นนี้เอง”

หลี่ฉางโซ่วพลันเงียบงันไปทันที

เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอาจารย์ของเขาใจกว้างหรือวิถีการจัดการของสำนักซับซ้อนเกินไป

นั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วเข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์อาจิ่วจิ่วของเขาถึงรู้จักอาจารย์ของเขา และเหตุใดนางถึงมาเยี่ยมยอดเขาหยกน้อยหลังจากที่เขาเข้าสู่สำนัก

นอกจากนี้ ในการเดินทางไปฝึกฝนที่ดินแดนเทวะอุดรครั้งแรก อาจารย์อาจิ่วจิ่วยังได้ดูแลเขาเป็นพิเศษเช่นกัน

นั่นคือเหตุผล

เมื่อหลี่ฉางโซ่วรู้ว่าไม่ใช่เพราะท่าทีและรูปลักษณ์ของเขาที่ดึงดูดความสนใจจากอาจารย์อาน้อยของเขา จู่ๆ หัวใจของเขา…ก็สงบลงในทันที

หลิงเอ๋อร์นำชาเข้าไปในห้องและกลับออกมาอย่างเชื่อฟังหลังจากยกน้ำชาแล้ว จากนั้น…เจียงหลินเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “ในอนาคต เมื่อข้าไม่อยู่ในสำนัก รบกวนเจ้าช่วยดูแลยอดเขาหยกน้อยของข้าด้วย หากเจ้ายังจดจำความสัมพันธ์ที่เราเคยมีในอดีตได้ ก็อย่าปล่อยให้ยอดเขาเซียนหลิงมารังแกพวกเขาได้อีก” “ใช่แล้ว เจ้าจงใช้สิ่งนี้เพื่อปกป้องตัวเอง”

ปรมาจารย์หว่างฉิงพยักหน้ารับแล้วหยิบถุงเก็บสมบัติที่หลี่ฉางโซ่วดูเหมือนจะจำได้ออกมา

เฮ้ นั่นไม่ใช่สมบัติวิญญาณที่อาจารย์ลุงจิ่วอูให้ข้ายืมเมื่อยามที่ข้าฝึกซ้อมต่อสู้กับอ๋าวอี่ที่หน้าโถงตู้เซียนหรือ

ในเมื่อมอบสมบัติวิญญาณให้กันเช่นนั้น ทั้งสองคนนี้ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทกัน

หลังจากมอบสมบัติวิญญาณแล้ว หว่างฉิงผู้สูงศักดิ์ก็ยืนขึ้นและทำการคารวะเต๋าให้เจียงหลินเอ๋อร์

เจียงหลินเอ๋อร์ก็ทำการคารวะให้เขาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองต่างก็มองหน้ากันแต่ไม่เอ่ยวาจาใด…

ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงศักดิ์หันกลับมาแล้วเดินออกจากลานบ้านไป เขาค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ไม่กี่ก้าว

เขาไม่ได้รอเสียงตะโกนจากด้านหลัง แต่ขึ้นไปบนก้อนเมฆแล้วบินตรงไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที

ในขณะนั้น เจียงหลินเอ๋อร์เพิ่งไล่ตามเขาออกมาจากกระท่อมมุงจาก และได้แต่จ้องมองไปทางด้านหลังที่หายไปในระยะไกล นางจึงได้แต่ยืนนิ่งเงียบท่ามกลางสายลมยามราตรีอยู่เป็นเวลานาน

ไม่นานหลังจากนั้น จึงเกิดเสียงสะอื้นคร่ำครวญหวนไห้…

หลี่ฉางโซ่วจ้องมองไปที่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งเริ่มบรรเลงเพลงประกอบเหตุการณ์อีกครั้ง แล้วจู่ๆ นางก็หยุดพลางกล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้ารู้สึกได้ ข้ารู้สึกสะเทือนใจ…”

“บรรเลงเพลงที่สดใสร่าเริงมากขึ้นเถิด”

หลิงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหยิบกล่องสองใบออกมาจากแขนเสื้อของนาง แล้วกะพริบตามองไปที่ศิษย์พี่ของนางเพื่อถามความคิดเห็นของเขา

หลี่ฉางโซ่วยกมือก่ายหน้าผากทันทีขณะกล่าวว่า “ลืมมันไปเสีย”

ที่หน้ากระท่อมมุงจาก เจียงหลินเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อของนางและก่นด่าสาปแช่งเบาๆ ไปที่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงศักดิ์ที่หายลับไป

“เจ้าคนงี่เง่าน่าเบื่อ!”

จากนั้นนางก็หันหลังกลับไปที่กระท่อมมุงจาก และเก็บถุงเก็บสมบัติที่นางต้องนำติดตัวไปในยามเช้าวันพรุ่งนี้

ก่อนที่เจียงหลินเอ๋อร์จะจากไป นางก็กลัวว่าฉีหยวนจะร้องไห้ ดังนั้นจึงใช้คาถาทำให้เขาเคลื่อนที่ไม่ได้เพื่อกักฉีหยวนเอาไว้ในกระท่อมมุงจาก ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ส่งนางจากไป

ต่อจากนั้น นางจึงกลับไปยังที่พักของนางในมหาตรีสหัสโลกธาตุ เพื่อพูดคุยกับสหายของนางที่ไปแดนยมโลกก่อนที่จะไปค้นหาสถานที่ที่วิญญาณของว่านเจียงอวี่ ศิษย์คนโตของนางได้ลงไป

เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสองคนช่วยดูแลเจ้าอาจารย์ของพวกเจ้าด้วย…อืม กลับไปได้แล้ว อย่าเศร้ามาก ข้าได้รับการดูแลจากพวกเจ้าสองคนในครั้งนี้ ข้าก็ละอายใจมากแล้ว”

หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์มองหน้ากัน และยิ้มให้กันและกันก่อนจะโค้งคำนับพร้อมกัน

หลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์โปรดถนอมตัวด้วยเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “หากท่านปรมาจารย์ไม่มีอะไร ก็ให้คนส่งสารกลับมาหาเราบ่อยๆ นะขอรับ”

“ตกลง พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว…”

“ช้าก่อน”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาจากประตูสำนัก

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสสองคนที่ดูแลสำนักต่างก็เงยหน้าขึ้นทันที ก่อนที่ร่างที่บินมาจากระยะไกลจะเข้ามาใกล้ซึ่งพวกเขาได้เปิดใช้งานค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาแล้ว

นั่นคือผู้อาวุโสของยอดเขาตันติ่ง ว่านหลินหยุน!

หลี่ฉางโซ่วไม่แปลกใจใดๆ เขาได้ค้นพบการเคลื่อนไหวของชายชราว่าอยู่ที่ใดมาก่อนแล้ว

หลิงเอ๋อร์ยืนพิงพี่ชายของนาง และด้วยเหตุนี้ นางจึงรู้สึกปลอดภัยตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นหน้าผากของเจียงหลินเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นที่ก่อตัวขึ้นมาแล้ว

นางจ้องไปที่ร่างซึ่งบินมาหานางจากระยะไกลด้วยความตื่นกลัว ในขณะนั้น ลมปราณของนางถูกยับยั้ง และวิญญาณของนางก็เหมือนกับสายธนูขึงตึงขณะที่ นางอดจะกลืนน้ำลายไม่ได้…

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนบินเข้ามาใกล้และแค่นเสียงใส่เจียงหลินเอ๋อร์เล็กน้อย

เจียงหลินเอ๋อร์รู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำที่หนาวเย็นยะเยือก และอดจะตัวสั่นจนแทบจะ…วิ่งหนีไปไม่ได้

โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับและกล่าวทันทีว่า “น้อมพบท่านผู้อาวุโส” “อืม” ว่านหลินหยุนขมวดคิ้วนิ่งและยังไม่ก้าวออกไปข้างหน้า

หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงไปยังเจียงหลินเอ๋อร์ “ข้าจะไปขอโอสถเพิ่มให้ท่าน ท่านโปรดรออยู่ที่นี่อย่าขยับไปที่ใดนะขอรับ”

โดยไม่ต้องให้หลี่ฉางโซ่วเอ่ยอะไร ว่านหลินหยุนก็หยิบถุงเก็บสมบัติสองใบออกมาแล้วมอบให้หลี่ฉางโซ่ว “จงมอบให้ปรมาจารย์ของเจ้าเพื่อให้นางปกป้องตัวเอง”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตาขอรับ”

ว่านหลินหยุนกล่าวอีกครั้ง “พรุ่งนี้ข้าจะเปิดเตาหลอมเพื่อหลอมโอสถชนิดนั้น…หลังจากสามเดือนแล้ว เจ้าค่อยกลับมารับที่นี่”

“ขอรับ ศิษย์จะไปหาท่านในอีกสามเดือน”

[1] ซานเซียน เครื่องดนตรีโบราณสามสายของจีน เป็นเครื่องสะท้อนเสียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโค้งมน เครื่องมือมีด้านหน้าและด้านหลังเป็นหนังงู มีหมุดหลังโค้งที่ส่วนท้ายของคอมีหมุดปรับแต่งด้านข้าง มีสามสายจะทำออกมาในหลายขนาด มักใช้พร้อมกับการร้องเพลงมหากาพย์