บทที่ 285 หน้ากากมนุษย์

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 285 หน้ากากมนุษย์

บทที่ 285 หน้ากากมนุษย์

เมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของเด็กสาว คนในรถก็ใจสลาย

“ไม่ ไม่ใช่ โลกนี้ไม่ได้โหดร้ายแบบนั้นหรอกนะ เรียกตำรวจมา” ซูโย่วอี๋พูดอย่างเย็นชา

แม้จะไม่สามารถทำอะไรผู้กระทำความผิดได้ แต่ก็ต้องให้คนพวกนั้นมาลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจ

ไป๋เหิงก้มหัวลงอย่างอ่อนแรง “มันไม่มีประโยชน์ค่ะ พวกเธอเลือกที่ไว้ล่วงหน้า ไม่มีกล้องวงจรปิด ฉันไม่มีหลักฐาน… และกัวหลินหลินไม่ได้ทำอะไรเลย”

แม้ว่าตำรวจจะมา พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกัวหลินหลินได้

“อาจารย์ซู ฉันพอใจแล้วค่ะที่ยังมีชีวิตอยู่”

ไป๋เหิงดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว “ฉันจะถอนตัว ฉันต้องการมีชีวิตอยู่มากกว่าก้าวไปข้างหน้า”

เหมยเหมยเบิกตากว้าง “แต่นี่เป็นโอกาสที่เธอพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มานะ”

“อืม”

หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เหิงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “โอกาสหน้ายังมีอยู่”

หวังว่าคราวหน้าเธอจะไม่เจอพวกบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้อีก

ที่โรงพยาบาล

หลังจากที่ซูโย่วอี๋และเหมยเหมยไปกับไป๋เหิงเพื่อทำการตรวจทั้งหมด พวกเธอก็ส่งอีกฝ่ายไปที่วอร์ด

ผลการตรวจยังไม่ออก

ไป๋เหิงเสียใจที่ต้องรบกวนทั้งสองคน แต่เธอก็พูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนแรง “ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย คุณช่วยซื้ออะไรให้ฉันได้ไหมคะ?”

เหมยเหมยแอบหงุดหงิดตัวเองที่สะเพร่า “ฉันจะไปซื้อให้ทันที เธอควรพักสักหน่อยนะ”

ตอนนี้เหลือเพียงซูโย่วอี๋ที่ยู่ในห้อง ซูโย่วอี๋จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย และไม่ตอบสนองจนกระทั่งไป๋เหิงเรียกเธอหลายครั้ง

“ว่าไงนะ เธอพูดว่าอะไรเหรอ?”

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่บอกว่าขอบคุณ”

“ฉันรอรับผลตรวจเองก็ได้ คุณควรกลับไปก่อนนะคะ ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเดือดร้อน”

ซูโย่วอี๋ยิ้มจาง ๆ “ไม่ต้องขอโทษ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอบอกว่าจะถอนตัว เธอต้องเข้าร่วมการแข่งขันนี้ต่อไป”

ไป๋เหิงรู้สึกงงงวย “แต่…”

ซูโย่วอี๋หยุดคำพูดต่อไปของเธอ “ฉันจะจัดการกับกัวหลินหลินเอง เด็กคนนั้นจะไม่มายุ่งกับเธออีกในอนาคต เธอสามารถถ่ายต่อได้อย่างสบายใจ”

“คุณจะทำอะไรคะ?”

มีความคาดหวังในสายตาของไป๋เหิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธออยากจะถ่ายรายการต่อ

ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นเดินไปที่เตียงและช่วยเธอห่มผ้า “เธอไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก เธอแค่ต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดีก็พอ”

“ตอนนี้ สิ่งที่เธอต้องทำคือโทรหาผู้กำกับและบอกว่าเธอกระดูกหัก จึงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล”

ไป๋เหิงรู้สึกสับสนอยู่ในใจ แต่ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะไว้วางใจซูโย่วอี๋

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาผู้กำกับซึ่งอีกฝ่ายรู้สึกประหลาดใจมาก “[คุณบาดเจ็บเหรอ? ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?]”

ไป๋เหิงเองก็ไม่แน่ใจ

“ไม่รู้จนกว่าผลตรวจจะออกมาค่ะ”

“[งั้นก็รอผลออกมาก่อนแล้วกัน ฉันค่อยอนุมัติ]”

เหมยเหมยเปิดประตูเดินเข้ามา นอกเหนือจากข้าวกล่องแล้ว เธอยังซื้อขนมถุงใหญ่มาด้วย

“ถ้าเธอหิวก็กินได้เลยนะ”

ไป๋เหิงพยักหน้าทันที “ขอบคุณค่ะ พี่เหมยเหมย”

เธอจัดการข้าวกล่องจนไม่เหลือข้าวสักเม็ด

เหมยเหมยมองเธออย่างกังวล “เธออยากให้ฉันไปซื้ออีกกล่องไหม?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอิ่มแล้ว”

ซูโย่วอี๋ขอให้เหมยเหมยอยู่ดูแลไป๋เหิง ก่อนกลับไปที่กองถ่ายทำพร้อมกับบอดี้การ์ดและคนขับรถของเธอ

หลังจากจัดการธุระ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เมื่อซูโย่วอี๋มาถึงบ้านพัก ไฟยังคงเปิดอยู่

อวี๋ชิงจ้าวเอนตัวอิงโซฟาเพื่ออ่านนิตยสาร เมื่อได้ยินเสียง เธอก็มองมาที่ประตู “กลับมาแล้วเหรอ?”

“เธอรอฉันอยู่เหรอ?”

“ใช่” เสียงของอวี๋ชิงจ้าวเย็นชา “ฉันโทรแล้วเห็นไม่รับสาย เลยกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอน่ะ”

ซูโย่วอี๋หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก็เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับ “ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ยินเสียง”

“ไปนอนซะ” อวี๋ชิงจ้าวลุกขึ้นพลางหาว “ดีที่เธอสบายดี”

ความอบอุ่นถาโถมเข้ามาในใจของซูโย่วอี๋

ตอนอยู่ในรถ ซูโย่วอี๋ยังเอาแต่คิดวิธีแก้ปัญหาของกัวหลินหลิน หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เธอก็ได้รับคำตอบ

ใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมความรุนแรง

ชอบทำร้ายคนงั้นเหรอ?

ถ้าอย่างนั้นให้เธอได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกทำร้ายด้วย!

ในระหว่างขั้นตอนนี้ ไป๋เหิงต้องเปลี่ยนตัวเองจากภาพจำที่อ่อนแอถูกทุกคนรังแกเป็นคนที่แข็งแกร่งไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมายุ่งได้ง่าย ๆ

เธอต้องทำให้กัวหลินหลินไม่กล้ามายุ่งกับไป๋เหิงอีก

แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เธอต้องทำให้ไป๋เหิงแข็งแกร่งขึ้น

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ซูโย่วอี๋ก็คิดแผนเปลี่ยนมังกรสลับหงส์ได้แล้ว!

ช่วงนี้เจ้าจิ้งจอกเน่าเบื่อหน่ายทุกวัน [ซู่จู่ คุณต้องการทำอะไร?]

หลังจากปิดประตูห้องนอน ซูโย่วอี๋ก็ล้มลงบนเตียง ก่อนสติของเธอจะเข้าสู่พื้นที่ของระบบ

“เจ้าจิ้งจอกเน่า มีวิธีเปลี่ยนฉันเป็นไป๋เหิงไหม?”

[เปลี่ยนคุณให้เป็นไป๋เหิง หมายความว่ายังไง?]

ซูโย่วอี๋เหลือบมองเขา “เข้าใจยากตรงไหน? ก็ทำให้ฉันเป็นไป๋เหิงไง”

เจ้าจิ้งจอกเน่าขมวดคิ้วและคิดว่า [มีหน้ากากมนุษย์อยู่ในระบบ หลังจากสวมแล้ว คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้มีรูปลักษณ์อย่างไร แต่ใช้ได้ไม่นาน แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น]

“แค่นั้นก็พอแล้ว”

[คุณจะกลายเป็นเธอไปเพื่ออะไร?]

ซูโย่วอี๋ดูคาดเดาไม่ได้ “อย่าใจร้อน นี่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในแผน ขั้นต่อไปคือการเพิ่มค่ากำลังของฉันในเวลาอันสั้น”

ในตอนที่ซูโย่วอี๋เล่นเป็นฮัวเสวียน ค่ากำลังของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หากแบ่งระดับเป็นระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ

ปัจจุบันซูโย่วอี๋อยู่ในระดับกลางค่อนไปยังระดับสูง

แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งที่ซูโย่วอี๋ต้องการคือการเอาชนะการสู้ทุกครั้ง

จะต้องไม่มีข้อผิดพลาด

สุนัขเจ้าจิ้งจอกเน่าตรวจสอบค่ากำลังของกัวหลินหลินและคนอื่น ๆ [อันที่จริง ด้วยค่ากำลังปัจจุบันของคุณ การจัดการกับพวกเธอก็ไม่น่ามีปัญหา]

[หากตัวต่อตัว คุณก็ชนะ]

ซูโย่วอี๋โบกมือของเธอ “อย่าพูดเรื่องนี้ คิดเร็ว ๆ มีวิธีเพิ่มค่ากำลังของฉันให้อยู่ในระดับสูงหรือเปล่า?”

เจ้าจิ้งจอกเน่าเม้มปาก [ฉันสามารถเชิญแชมป์โลกเทควันโดมาสอนคุณได้ทันที แต่คุณมีเวลาหรือเปล่า? ถ้าคุณไม่ได้จริง ๆ ไปจับรางวัลแล้วลองดูก็ได้ คุณมีโอกาสสะสมอยู่ 22 ครั้ง เพื่อจับรางวัล]

ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว เธอมีโอกาสมากขนาดนั้นเลยเหรอ

“แล้วการสวมบทบาทล่ะ ให้ฉันเล่นชีวิตของแชมป์มวยได้มั้ย”

ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของการสวมบทบาทคือการที่เวลาไหลช้า หนึ่งชั่วโมงก็เท่ากับหนึ่งวันในโลกภายนอกเท่านั้น

ใช้ประโยชน์จากเวลาฟื้นตัวของไป๋เหิงสวมบททบาทระบบเป็นเวลาสองเดือนน่าจะไม่มีปัญหา

เจ้าจิ้งจอกเน่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย [คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าต้องการเข้าสู่ระบบเพื่อถูกทำร้าย]

“ฉันแน่ใจ”

เมื่อเห็นว่าซู่จู่ตั้งใจจริง เจ้าจิ้งจอกเน่าก็ดูจริงจัง และเริ่มเลือกสคริปต์อย่างระมัดระวัง

สุดท้ายก็เลือกสคริปต์เกี่ยวกับความทรงจำของแชมป์มวยสากล ซึ่งมีรายละเอียดการฝึกและรายละเอียดการแข่งขันมากมาย

[จะเริ่มเมื่อไหร่ดี?]

“ตอนนี้”

[คุณไม่นอนเหรอ?]

ซูโย่วอี๋กระพริบตา “นอนในพื้นที่สวมบทบาทได้ อย่าเสียเวลาเลย”

เสียงเตือนของระบบดังขึ้น [โปรดยืนยันว่าคุณจะเข้าสู่เกมสวมบทบาท ‘The Legendary Life of the Boxing King ตำนานชีวิตของราชานักมวย’ หรือไม่?]

ซูโย่วอี๋กดปุ่มยืนยันโดยไม่ลังเล เธอเลือกบทบาทของแชมป์มวย

[คำเตือน: ชีวิตของแชมป์มวยนั้นเสี่ยงมาก และซู่จู่จะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บ]

จากนั้นฉากก็ค่อย ๆ เบลอ…

“เจ้าจิ้งจอกเน่า อย่าลืมปลุกฉันด้วยล่ะ”

เหมยเหมยไม่ได้อยู่ที่นี่ จึงไม่มีใครเตือนเธอ คงแย่แน่ถ้าเธอนอนเกินเวลา

ตั้งแต่นั้นมา ซูโย่วอี๋ก็เริ่มใช้ชีวิตด้วยการถ่ายทำในช่วงกลางวันและเปิดประตูสู่โลกการชกมวยทันทีที่เธอกลับถึงหอพัก

แม้ว่าจะได้พัก แต่จิตวิญญาณในระหว่างวันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

อวี๋ชิงจ้าวคิดว่าเธอป่วยและต้องการแตะหน้าผากของเธอ

ซูโย่วอี๋ยกมือขึ้นปิดกั้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงตระหนักว่าการกระทำของเธอแปลกประหลาดเพียงใด

เธอยิ้มอย่างเขินอาย “เธอจะทำอะไรน่ะ?”

อวี๋ชิงจ้าวเก็บมือกลับเบา ๆ “ปฏิกิริยาไวจริง ๆ”

“ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับเหรอ?”

“ฉันหลับสบายดี” ซูโย่วอี๋ตอบอย่างหนักแน่น

อวี๋ชิงจ้าวมองไปที่รอยคล้ำใต้ตาของเธอ ก่อนเปิดปากพูดอย่างเป็นห่วง “อืม มีอะไรก็บอกฉันได้นะ”

เธอหยิบจานและออกจากโรงอาหารไป

ซูโย่วอี๋ลุกขึ้น แต่ทางกัวหลินหลินและคนอื่นกลับลุกขึ้นก่อน “อาจารย์โย่วโย่ว คุณรู้อาการของไป๋เหิงหรือเปล่าคะ?”

“อืม ฉันได้ยินจากผู้กำกับแล้ว”

“ทำไมถึงบังเอิญกระดูกหักได้? หลินหลินกังวลมาก เธอเอาแต่พูดว่าอยากไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล”

สีหน้าของซูโย่วอี๋เย็นชา “ถ้าเธอต้องการไปเยี่ยม ทีมงานจะจัดคนไป งานของเธอตอนนี้คือการฝึกซ้อม เข้าใจไหม?”

กัวหลินหลินดูว่าง่ายน่ารัก “ค่ะ เราไม่ทันใส่ใจเอง”

“ใช่ค่ะ พวกเราค่อนข้างสนิทกับไป๋เหิง พอได้ยินว่าเธอบาดเจ็บก็รู้สึกไม่สบายใจพอ ๆ กับที่ตัวเองเจ็บเลย”

ซูโย่วอี๋มองไปที่กลุ่มเด็กฝึกเหล่านี้ อยากจะปรบมือให้พวกเธอจริง ๆ

“ชิงโจว รอฉันด้วย”

ว่าแล้วก็รีบวิ่งตามอีกฝ่ายไป

ในตอนเย็น ซูโย่วอี๋ติดต่อไป๋เหิงและถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง

“[รอยช้ำใกล้จะหายดีแล้วค่ะ อาการหลักคือกระดูกหัก และหมอสั่งให้พักเป็นเวลาหนึ่งเดือนค่ะ]”

ให้เดินน้อยลง นับประสาอะไรกับการเต้น?

“[ฉัน… ฉันไม่ต้องถอนตัวเหรอคะ?]”

ไป๋เหิงได้เห็นเด็กฝึกหลายคนที่ออกจากการแข่งขันเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หลังหรือโรคกำเริบ

ซูโย่วอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าเพิ่งยอมแพ้ การประเมินส่วนใหญ่ในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการร้อง มีการเต้นไม่กี่ส่วน ฉันจะปรึกษาทีมงานให้ แล้วให้เธอนั่งบนรถเข็นร้องเพลงเอา”

“ส่วนเรื่องการรักษา ฉันมียาพิเศษที่จะช่วยให้เธอฟื้นตัวเร็วขึ้น ขาของเธอจะดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์”

ไป๋เหิงไม่รู้จะขอบคุณเธออย่างไร “[อาจารย์ซู ฉันจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของคุณเลยค่ะ]”

“ซ้อมให้หนัก ถ้าเต้นไม่ได้ ก็ต้องร้องให้ดีกว่านี้”

ซูโย่วอี๋กำลังจะวางสาย แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นว่า “[อาจารย์ซู ฉันไม่มีเงินหรือเส้นสายอะไร ทำไมคุณยังเต็มใจช่วยฉันโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนล่ะคะ?]”

“ฉันแค่ต้องการพิสูจน์ว่าคนเลวควรได้รับการลงโทษ และคนดีไม่ควรถูกรังแก”

ถึงจะฟังดูน่าขนลุก

แต่ซูโย่วอี๋คิดอย่างนั้นจริง ๆ

คนทำผิดต้องชดใช้ผลของการกระทำ

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกระจายข่าว แต่ข่าวที่ว่าไป๋เหิงกระดูกหักและต้องพักหนึ่งเดือนแพร่สะพัดไปทั่ว

ในตอนแรก ทุกคนมีท่าทีเห็นอกเห็นใจและแสดงความรักต่อเพื่อนร่วมสายงานเป็นอย่างมาก

แต่มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“หลังจากพักฟื้นหนึ่งเดือน การถ่ายทำก็ดำเนินไปมากกว่าครึ่งแล้ว แล้วเธอจะกลับมาถ่ายทำได้เหรอ?”

“ถูกต้อง เป็นฉันคงถอนตัวไปแล้ว”

“แม้ว่ามันยากจะตัดสินใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตายซะหน่อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยากบาดเจ็บ แต่เธอก็บาดเจ็บไปแล้วนี่”

“ฉันได้ยินมาว่าจะมีการแข่งขันแบบทีมในภายหลัง ใครอยากร่วมทีมกับเธอบ้าง”

“ถ้าให้ฉันพูด ความสามารถและรูปร่างหน้าตาของเธอไม่ได้โดดเด่นเลย เธอจากไปก็ไปสิ ทีมงานรายการกลับคิดว่าไปต่อไม่ได้ถ้าไม่มีไป๋เหิงงั้นเหรอ?”

“ไม่ ฉันได้ยินมาว่าทีมงานรายการต้องการให้ไป๋เหิงถอนตัวจากการแข่งขัน แต่เธอขอเข้าร่วมอย่างจริงจังและบอกว่าเธอจะไม่เลื่อนการแข่งขัน”

“ไร้สาระ”

ทุกคนเย้ยหยัน

พร้อมกับคิดในใจว่าอย่ากลับมาเลย คู่แข่งจะได้น้อยลง!