บทที่ 286 ไม่มีวันได้ A
บทที่ 286 ไม่มีวันได้ A
แต่ความคิดของพวกเธอก็ไม่เป็นจริงในที่สุด
ในวันประเมินงานในสัปดาห์นี้ ไป๋เหิงมาแข่งขันด้วยรถเข็นพร้อมกับเฝือกที่ขา
ใบหน้านั้นใสสะอาดปราศจากการแต่งแต้มสีสัน
สมกับชื่อของเธอ ไป๋เหิง บริสุทธิ์และเรียบง่าย
หมอต่างรุมล้อมเธอเพื่อคอยดูแลอาการ
กัวหลินหลินดูเย็นชา ก่อนเธอจะแสร้งเป็นห่วงอย่างรวดเร็ว “ไป๋เหิง อาการบาดเจ็บของเธอเป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
ขณะที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ มือของไป๋เหิงก็กำแน่น
“ไม่เจ็บแล้ว”
“ดีจัง ฉันดีใจนะที่เห็นเธอกลับมา”
“เธอเตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง?”
ก่อนที่ไป๋เหิงจะทันตอบ หญิงสาวข้าง ๆ ก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “เราฝึกกันทั้งวันทั้งคืน ยังไม่กล้าพูดว่าเราพร้อมแล้วเลย คนป่วยอย่างเธอจะทำได้ดีเหรอ?”
กัวหลินหลินพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “อย่าพูดอย่างนั้น”
“ครั้งนี้ทำไม่ได้ ก็แค่พยายามให้มากขึ้นครั้งหน้า ไม่เห็นเป็นไร”
หากคนที่ไม่รู้ความจริงมาเห็นเข้า คงรู้สึกว่ากัวหลินหลินเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ
ไป๋เหิงไม่กล้าเงยหน้ามองคนตรงหน้า
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทีมงานแจ้งให้เด็กฝึกเข้าฉากเพื่อถ่ายทำ
ทั้งที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว แต่เธอกลับเหงื่อแตกพลั่ก
คนในห้องรอหายไปหมดแล้ว ไป๋เหิงจึงรีบผลักรถเข็น แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถขยับได้
ขณะที่เธอกำลังเร่งรีบ ก็มีคน ๆ หนึ่งเดินมาข้างหลังเธอและจับที่จับของรถเข็นอย่างเบามือ
ไป๋เหิงหันศีรษะ “อาจารย์ซู?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า เมื่อกี้นี้เธอยืนอยู่ไม่ไกล คอยดูการเผชิญหน้าระหว่างไป๋เหิงและกัวหลินหลิน
เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เธอยังไร้เดียงสาเกินไป
แม้ว่าเธอจะทำให้กัวหลินหลินหวาดกลัวด้วยตัวตนของเธอในฐานะไป๋เหิง แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของกัวหลินหลิน หล่อนต้องสามารถมองเห็นความขี้ขลาดของไป๋เหิงได้อย่างรวดเร็ว
“ไป๋เหิง ยิ่งเธอกลัวคนพวกนั้นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งผยองนะ”
“เธอต้องเข้มแข็ง”
การพึ่งตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนอย่างเรา
ไป๋เหิงกัดริมฝีปากของตัวเอง “ทันทีที่ฉันเห็นเธอ ร่างกายฉันรู้สึกผะอืดผะอมและหวาดกลัว”
“ใช้เวลาของเธอไป ถ้าเธออยากวิ่งหนี ก็บอกตัวเองให้ยืนอยู่ที่เดิมและอย่าหนีไปไหน”
“ถ้าหล่อนตบเธอ อย่างน้อยก็เรียนรู้ที่จะโต้กลับ”
“ท้ายที่สุด เธอจะกล้าทุ่มทุกอย่างแก้แค้นให้กับความเจ็บปวดที่พวกนั้นทำกับเธอ”
ไป๋เหิงตกตะลึง “ฉันจะทำได้เหรอคะ?”
“แน่นอน ฉันจะปกป้องเธอจากข้างหลังอย่างเงียบ ๆ เอง”
แสงสีขาวจ้าจากสตูดิโอส่องเข้ามา ซูโย่วอี๋ผลักไป๋เหิงไปยังที่นั่งของอีกฝ่าย
เธอก้มลงกระซิบข้างหูไป๋เหิงว่า “สู้เขา”
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้กำกับก็ขมวดคิ้วและโทรหาคนที่ดูแลหลังเวทีว่า “พวกนายเป็นอะไรกัน? มีคนตั้งมากมาย แต่ทำไมไม่มีใครสนใจไป๋เหิงเลย”
ต้องให้ซูโย่วอี๋ที่เป็นอาจารย์ไปช่วยเข็นด้วยตัวเอง?
ผู้ดูแลขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า “เพราะมีคนมากเกินไปค่ะ ฉันจึงไม่ทันได้สังเกต”
ผู้อำนวยการโบกมืออย่างกระวนกระวาย “รีบจัดทีมงานเพื่อติดตามไป๋เหิงตลอดเวลาด้วย อย่าปล่อยให้อาจารย์ต้องมาช่วย”
การประเมินเริ่มขึ้นทันที
เมื่อเปรียบเทียบกับการร้องและการเต้นในครั้งแรก การประเมินครั้งที่สองทำให้เด็กฝึกเลือกได้อิสระมากขึ้น
การประเมินนี้แบ่งออกเป็น 3 ทักษะ ได้แก่ การร้อง การเต้น และการแรป โดยมีทั้งหมด 5 เพลง มีเนื้อหาเน้นเสียงแตกต่างกัน
เด็กฝึกสามารถเลือกรูปแบบที่พวกเธอถนัดเพื่อแสดงได้ แน่นอนว่ามีเด็กฝึกจำนวนมากที่เลือกด้านที่พวกเธอไม่ถนัดเพื่อที่จะเอาชนะขีดจำกัด
อาจเป็นเพราะมีการแข่งขันมากขึ้น ผลงานของเด็กฝึกจึงดีกว่าในการประเมินครั้งแรก
กัวหลินหลินเลือกเต้น สไตล์ของเพลงมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน เธอเพิ่มท่าเต้นที่คิดเองให้เข้ากับการแสดงออกที่หลากหลาย ซึ่งทำให้บรรดาเด็กฝึกต่างหัวเราะลั่น
เมื่อเพลงจบลง เด็กฝึกส่วนใหญ่ก็ลุกขึ้นปรบมือ
“กัวหลินหลิน ฉันรักเธอ”
กัวหลินหลินทำท่าทางตอบกลับผู้ชมคนนั้น
ความคิดเห็นของอวี๋ชิงจ้าวนั้นตรงไปตรงมาและยุติธรรม หลังจากชี้ให้เห็นสิ่งที่ต้องพัฒนา 2-3 ข้อแล้วก็กล่าวชม “การแสดงของคุณค่อนข้างสมบูรณ์แบบ การเต้นของคุณนั้นเฉียบคม และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนอยู่บนเวที คุณมีเสน่ห์ของตัวเอง”
ดูเหมือนกัวหลินหลินจะดีใจเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ อาจารย์ชิงจ้าว”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอขึ้นสีแดงเรื่อจากการเต้นเมื่อครู่
ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไร เมื่ออาจารย์ปรึกษาเกี่ยวกับเกรด อาจารย์ทั้งสามคนก็ให้ A
ซูโย่วอี๋เป็นคนเดียวที่ให้ B
อวี๋ชิงจ้าวกอดอกและคิดว่า “โย่วอี๋ กัวหลินหลินควรได้ A สำหรับการแสดงครั้งนี้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงนี้เกี่ยวกับการเต้นเป็นหลัก อวี๋ชิงจ้าวจึงมีสิทธิ์พูดมากกว่า
ซูโย่วอี๋ส่ายหัว “เธอไม่มีวันได้ A จากฉัน”
ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ซูโย่วอี๋ต้องแสดงมุมมองของเธอเอง
ในท้ายที่สุด กัวหลินหลินก็ยังได้คะแนน A ไป 3 B ไป 1
และเข้าสู่คลาส A ได้สำเร็จ
เธอยิ้มอย่างมีความสุข แต่ซูโย่วอี๋รู้สึกสับสน
ซูโย่วอี๋ชมการแสดงของเด็กฝึกแต่ละคนจนเบื่อ
ขณะนวดคิ้วของตัวเองเพื่อคลายความเครียด ไฟบนเวทีหรี่ลง และไป๋เหิงก็ถูกเข็นไปที่กลางเวที
“สวัสดีค่ะอาจารย์ เนื่องจากขาขวาของฉันหัก ฉันจึงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ โปรดยกโทษให้ฉันด้วยค่ะ”
“ทักษะที่ฉันเลือกสำหรับการประเมินคือร้องเพลง และเพลงที่ฉันจะร้องคือ ‘วันเก่าก่อน’”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงดนตรีประกอบที่ไพเราะและผ่อนคลายก็ดังขึ้น
เมื่อเสียงอันแผ่วเบาและก้องกังวาลของไป๋เหิงดังขึ้น ดวงตาของซูโย่วอี๋ก็จ้องมองไปที่เธอ
เสียงของเธอฟังสบายหูมาก
เสียงต่ำของไป๋เหิงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเพลงที่มีเนื้อร้องประเภทนี้
“กว่าดวงอาทิตย์จะตกมันเคยใช้เวลามากกว่านี้”
“ทุก ๆ อย่างเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทั้งจักรยาน รถม้า และจดหมาย”
“ในชีวิตหนึ่ง การรักคน ๆ เดียวก็เพียงพอแล้ว”
…
ซูโย่วอี๋หลับตาลง ดนตรีประเภทนี้สร้างความเพลิดเพลินให้กับหูมาก
ครั้งนี้ ไป๋เหิงดูเป็นธรรมชาติมาก เธอร้องเสียงสูงต่ำได้อย่างลื่นไหล
เธอเอาสิ่งที่ซูโย่วอี๋สอนมาปรับใช้
หลังจากร้องเพลงเสร็จ ก็มีเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นจากผู้ชม
ซูโย่วอี๋หยิบไมโครโฟนขึ้นมา “การได้ฟังเพลงของเธอถือเป็นการผ่อนคลายสำหรับฉันเลย”
“ไป๋เหิง เธอก้าวหน้าไปมาก ดูเหมือนว่าสัปดาห์นี้เธอไม่ได้หยุดและฝึกซ้อมในขณะที่พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บตลอดเลยใช่มั้ย”
“หายป่วยเร็ว ๆ นะ ฉันหวังว่าจะได้เห็นการแสดงที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นจากเธอ”
ไป๋เหิงโค้งคำนับ “ขอบคุณค่ะ อาจารย์ซู”
อาจารย์ชายสองคนไม่สามารถพูดตำหนิการแสดงนี้ได้ เพราะเมื่อรายการออกอากาศ คงไม่มีใครอยากถูกผู้ชมตำหนิและดุด่า
พวกเขาจึงเลือกพูดข้อบกพร่องที่ไม่สำคัญ 2-3 ข้อ
และคะแนนของไป๋เหิงคือ A!
เมื่อพนักงานพาไป๋เหิงไปที่ที่นั่งสูงสุด กัวหลินหลินยกยิ้มที่น่าขนลุกบนใบหน้า
มัน… น่ากลัวจริง ๆ
หลังจากการประเมินทั้งหมดสิ้นสุดลง ทีมงานก็ให้ทุกคนหยุดสองวัน
ซูโย่วอี๋ไปหาไป๋เหิง ก่อนส่งถุงแป้งสีขาวให้เธอ
“ยานี้ดีมาก สามารถช่วยให้เธอฟื้นฟูกระดูกที่หักได้ ยานี้… ลู่เฉินได้มาจากสถาบันวิจัย ไม่มีขายในท้องตลาด อย่าไปบอกคนอื่นล่ะ”
ไป๋เหิงมองไปที่ถุงพลาสติกธรรมดา ๆ ในมือของตัวเอง
ดูไม่น่าเชื่อถือเลยแฮะ
แต่เธอย่อมไม่สงสัยซูโย่วอี๋ “ตกลงค่ะ แล้วต้องกินครั้งละเท่าไหร่คะ?”
ซูโย่วอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง “แค่… หนึ่งช้อน”
หากกินมากเกินไป เธอกังวลว่าไป๋เหิงจะสามารถลุกขึ้นวิ่งได้ทันที
“เธอมีแผนอย่างไรสำหรับสองวันนี้”
“อยู่ที่นี่ค่ะ”
“ไม่กลับบ้านเหรอ?”
ซูโย่วอี๋จำได้ว่าบ้านของไป๋เหิงอยู่ชานเมืองปักกิ่ง ไม่ไกลจากที่ถ่ายทำมากเท่าไหร่
ถ้าขับรถยนต์ไปก็ใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมง
“ฉันไม่อยากให้แม่เห็นว่าฉันเจ็บตัว ฉันก็เลยไม่กลับค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้น ซูโย่วอี๋ก็คิดว่าเธอต้องการทักษะมวยอย่างเร่งด่วน “ดี ฉันก็จะไม่กลับ สองวันนี้เธอมาอยู่กับฉันได้”
หลังจากพูดจบ เธอก็พาไป๋เหิงกลับไปที่บ้านพัก
แต่ไป๋เหิงปฏิเสธ “ฉันไม่รบกวนอาจารย์ซูหรอกค่ะ”
“แล้วตอนนี้เธอจะดูแลตัวเองยังไง? ไหนจะเรื่องกินอีก?”
ไป๋เหิงเงียบไปอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ในใจลึก ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่าตัวเธอเป็นภาระขึ้น ดูไร้ประโยชน์มาก
อวี๋ชิงจ้าวไม่แปลกใจเลยที่ซูโย่วอี๋นำผู้ติดตามตัวเล็ก ๆ กลับมาด้วย
เธอถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาสองห่อ “เธออยากกินบะหมี่หม้อไฟไหม?”
“กิน”
การได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอุ่น ๆ สักชามในฤดูหนาวถือเป็นพรจากสวรรค์ชัด ๆ
หลังจากพาไป๋เหิงไปที่ห้องนั่งเล่น เธอก็เข้าไปในครัวเพื่อช่วยอวี๋ชิงจ้าวทำอาหาร
ไป๋เหิงมองไปที่ทั้งสองที่พูดคุยหัวเราะกันในครัว ก็พลันรู้สึกอบอุ่นและอิจฉาในใจ
“อาจารย์ซู อาจารย์อวี๋ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?”
หลังจากนั้นไม่นาน ซูโย่วอี๋ก็ออกมาพร้อมกับกระเทียม “ช่วยปอกเปลือกหน่อยนะ”
ไป๋เหิงรับมันมาและเริ่มปอกกระเทียมอย่างมีความสุข
ซูโย่วอี๋และอวี๋ชิงจ้าวหันศีรษะไปมองเป็นครั้งคราว พวกเธอเห็นว่าไป๋เหิงยิ้มอยู่เสมอ
อวี๋ชิงจ้าวล้างผักด้วยน้ำ “ทำไมเธอถึงยืนยันที่จะไม่ให้ A กัวหลินหลิน? เพียงเพราะเธอผลักหน้าที่ล้างจานให้ไป๋เหิงงั้นเหรอ?”
ในมุมมองของอวี๋ชิงจ้าว นี่ค่อนข้างไม่เป็นมืออาชีพและหุนหันพลันแล่นเกินไป
“ไม่แน่นอน ถ้ามันเป็นแค่การล้างจาน ฉันทนได้ แต่เธอกลับพาคนมารุมซ้อมไป๋เหิงจนอยู่ในสภาพนี้แล้วยังแสร้งทำเป็นเพื่อนที่แสนดีต่างหากที่ฉันทนไม่ได้”
เรื่องนี้ เธอทนไม่ได้จริง ๆ
การทำร้ายมันเกินขีดจำกัดความอดทนของซูโย่วอี๋ไปแล้ว
อวี๋ชิงจ้าวหยุดชะงักไปชั่วคราว “เธอเป็นคนทำให้ไป๋เหิงกระดูกหักงั้นเหรอ?”
“ใช่ เธอเป็นตัวการ”
“ฉันรู้ว่าเธออาจคิดว่าฉันชอบไป๋เหิงและไม่ชอบกัวหลินหลิน ดังนั้นฉันจึงให้ B กับเด็กนั่น แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะมีบางอย่างผิดปกติกับนิสัยของเด็กนั่นต่างหาก!”
“คนแบบนี้ไม่สมควรเป็นไอดอลเลย”
อวี๋ชิงจ้าวลดสายตาของเธอลง “ฉันเข้าใจแล้ว”
“เธอพูดถูก”
ทั้งสามคนกินบะหมี่หม้อไฟกันอย่างอบอุ่น บรรยากาศคล้ายวันตรุษจีนไม่มีผิด
ก่อนจะแยกย้ายกลับไปที่ห้องของแต่ละคน
หลายคนไม่พอใจที่ซูโย่วอี๋ไม่ยอมกลับบ้านในช่วงวันหยุด
ซูหยิน [ที่รัก คุณนอกใจฉันรึเปล่า? ฉันยังรอให้เธอกลับมาพาฉันไปดูชุดแต่งงานอยู่นะ]
เจ้าจิ้งจอกเน่า [ถ้าคุณไม่กลับมา ฉันจะถูกฮันเจ๋อหยางฆ่าตายแล้วนะ และฉันจะไม่ได้เจอพี่สาวไป๋อีก อ่า โลกนี้ช่างโหดร้าย ฉันอยากกลับไปในพื้นที่ของระบบแล้วสิ]
เหมยเหมย [พี่ซู พวกเราอยากขอหยุดสองวันได้ไหมคะ? (ล้อเล่นค่ะ – จากมนุษย์เงินเดือนผู้ต้องทำงานเลี้ยงชีพ)]
สุดท้ายเป็นลู่เฉิน [คุณยุ่งอยู่เหรอ?]
ซูโย่วอี๋จะกล้าไปโกหกแล้วบอกว่าเธอยุ่งได้อย่างไร [ไม่ยุ่ง]
[?] ลู่เฉินถาม
ไม่ยุ่ง แต่ทำไมเธอไม่กลับมา!
ในเครื่องหมายคำถามมีความคับข้องใจมหาศาล
ซูโย่วอี๋ได้แต่หัวเราะเบา ๆ “มีคนบอกว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากห่างกันจะยิ่งหวานชื่นกว่าคู่แต่งงานใหม่นะ ฉันเลยคิดว่าเราควรห่าง ๆ กันสักหน่อย”
เสียงของลู่เฉินฟังดูหยอกล้อ “[คู่แต่งงานใหม่เหรอ?]”
ครางนี้ซูโย่วอี๋เขินอาย “อย่าไปสนใจกับการพูดไร้สาระเลยค่ะ”
“[โย่วอี๋]”
“หือ? มีอะไรคะ?”
“[หิมะตกแล้ว]”
ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดผ้าม่านออก และพบเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาทีละน้อย
“ที่นี่ก็เริ่มตกเหมือนกัน”
ทั้งสองต่างมองดูหิมะใต้ท้องฟ้าเดียวกัน
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง
“[ราตรีสวัสดิ์ โย่วอี๋]”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ลู่เฉิน”
หลังจากปิดไฟ ซูโย่วอี๋ก็เข้าไปในระบบเพื่อเริ่มสวมบทบาทต่อ
ในห้องรับแขก มีบอดี้การ์ดคนเดียวที่มีความสุขเพราะเธอไม่มีวันหยุด
ต้องอย่างนี้สิ
เธอสามารถทำเงินเพิ่มได้อีก