ตอนที่ 281 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดเข้าหากัน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 281 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดเข้าหากัน

“ข้า…” ฮูเหยียนเวยสะบัดแส้ อยากพูดยิ่งนักว่าจะไม่ทำงานนี้ต่อแล้ว คิดจะโดดงานแล้วหนีไปเสีย

แต่พอมาคิดดูอีกที กระทั่งคนแขนขาดขาขาดก็รับเข้ามา หากตนไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะรับคนแบบไหนเข้ามาบ้าง หากปล่อยให้เอากลุ่มคนพิกลพิการมาทำงานในร้านเต้าหู้ ลอยชายไปมาต่อหน้าเหล่าสหายของตน เกรงว่าบรรดาสหายเหล่านั้นคงหยิบยกมาล้อเลียนตนทุกครั้งที่พบหน้าเป็นแน่ เช่นนั้นตนจะใช้ชีวิตต่อไปได้หรือ?

เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว หลังจากนี้จะต้องคัดเลือกให้ดี

เขาหันไปตะคอกใส่กลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ “มองอะไรกัน เดินไปสิ!”

“คุณชาย สามีข้าตายในสงคราม ท่านรับข้าไว้ด้วยเถอะ…”

ท่ามกลางกลุ่มคนยังมีคนที่เดินผ่านไปแต่ไม่ได้รับเลือกก่อนหน้านี้ จู่ๆ พวกเขาเหล่านั้นก็พากันส่งเสียงอ้อนวอนขึ้นมาเป็นทอดๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าจริงหรือเท็จ ล้วนพากันพูดกับหยวนกัง

เพียะ! ฮูเหยียนเวยฟาดแส้คราหนึ่ง “พล่ามบ้าอะไร?”

หยวนกังเมินเฉยต่อเสียงคร่ำครวญเหล่านี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้หมด

โชคดีที่ในเวลานี้ทหารม้าสองร้อยนายพร้อมทหารราบหนึ่งพันนายเดินตบเท้าเข้ามาดังครืนๆ กำลังเสริมที่ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนเวยส่งคนไปเชิญมาได้เดินทางมาถึงแล้ว

พอทหารมาถึง ฮูเหยียนเวยก็เอ่ยทักทายผู้นำกองทหารเล็กน้อย เมื่อกองทหารมาถึงก็เข้าเสริมกำลังดำเนินการรักษาความสงบให้เข้มงวดขึ้นทันที เสียงโวยวายที่เพิ่งดังขึ้นเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว

การรับสมัครดำเนินไปเช่นนี้ จนล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายถึงจะรับสมัครคนงานจนครบจำนวนสามร้อยคน

พูดให้ถูกคือสามร้อยกับอีกสองคน ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะฮูเหยียนเวยโมโหหรือเพราะอะไร เขาต้องการจะรับสมัครด้วยตัวเองให้ครบสามร้อยคนให้ได้ ส่วนชายชราสองคนนั้นคาดว่าจะส่งไปให้หยวนกังจัดการแทน

หยวนกังนับจำนวนคนอยู่ใจเงียบๆ สมาชิกของตนเหล่านั้นยังมีอยู่อีกยี่สิบกว่าคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าตาฮูเหยียนเวย หากแต่เป็นเพราะจำนวนคนงานครบแล้ว กลุ่มคนที่รั้งอยู่ท้ายๆ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าคัดเลือกอีก คนอีกยี่สิบกว่าคนนั้นจึงไม่ได้เดินเรียงแถวมาเข้ารับการคัดเลือก

ฮูเหยียนเวยตะโกนบอกให้แยกย้ายกันไป ส่วนตัวเขาสะบัดแขนเสื้อจากไปก่อนแล้ว ตอนที่จากไปก็คล้ายจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร ไม่ได้ร่ำลาหยวนกังแม้แต่น้อย

หยวนกังส่ายหน้าให้สมาชิกบางคนที่อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ คนผู้นั้นเข้าใจความหมาย หันไปส่งสัญญาณต่อให้คนอื่นอย่างลับๆ ก่อนจะพากันทยอยถอนตัวออกไป

เหตุผลที่หยวนกังรับสมัครคนงานสามร้อยคน เพราะเป็นการปกปิดอำพรางอย่างหนึ่ง คนที่ไม่ใช่คนของเขาก็ปล่อยให้ฮูเหยียนเวยรับเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากไม่ต้องการจริงๆ ล่ะก็ วันหน้าจะไล่ออกไปก็ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาต้องการใช้คนจำนวนหนึ่งมาช่วยปกปิดอำพรางจริงๆ

อีกทั้งเขาไม่ได้วางแผนจะนำผู้ติดตามทั้งหมดของตนมาไว้ใกล้ตัวด้วย เขาต้องการคนไว้ทำงานอย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน

……

ณ เรือนเมฆาขาว ซูจ้าวยืนอยู่ริมราวกั้นระเบียง มองคณิกากลุ่มหนึ่งที่ซ้อมเต้นรำอยู่ในสวนบุปผาด้านล่าง

ฉินเหมียนก้าวขึ้นมาบนระเบียง มาหยุดอยู่ข้างกายนางพลางเอ่ยขึ้นว่า “คนที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาเจ้าค่ะ การรับสมัครคนงานเสร็จสิ้นแล้วเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวถาม “ร้านเต้าหู้ร้านเดียวรับสมัครคนมากมายขนาดนี้ไปทำไม ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นต้องรับสมัครสามร้อยคนกระมัง?”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ได้ยินว่าจะขยับขยายจัดจำหน่ายไปทั่วเมืองหลวงเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย “ตระกูลมีอำนาจก็คือตระกูลมีอำนาจวันยังค่ำ แค่ขายของว่างก็ยังทำเสียใหญ่โตเช่นนี้ ดูเหมือนฮูเหยียนเวยจะทำกำไรต่อปีได้ไม่น้อยเลย การรับสมัครคนเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินเหมียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จุดรับสมัครคนคึกคักเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ได้ยินว่าคนที่มาสมัครอาจจะมีถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว นอกจากนี้อันไท่ผิงคนนั้นยังมีปากเสียงกับฮูเหยียนเวยเล็กน้อยเรื่องรับสมัครคนด้วยนะเจ้าคะ”

ซูจ้าวหันไปมอง เอ่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เรื่องเป็นมาอย่างไร?”

“เพื่อชายชราสองคน คนหนึ่งขาด้วน คนหนึ่งแขนด้วน…” ฉินเหมียนถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ได้รับทราบมาออกมา

“ทหารกล้าไม่ตาย เพียงโรยรา…” ซูจ้าวพึมพำกับตัวเอง ดวงตางามกระจ่างคล้ายจะจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์บางอย่าง

ฉินเหมียนเอ่ยยิ้มๆ “อันไท่ผิงคนนี้มักจะพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่เรื่อย แต่กลับรู้สึกจับใจยิ่งนัก”

ซูจ้าวพึมพำกับตัวเอง “เป็นบุรุษที่มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นทีเดียว”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่นายหญิงเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็รู้สึกว่าอันไท่ผิงคนนี้น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ข้าเองก็อยากจะพูดคุยติดต่อกับเขา เอาไว้ข้าจะหาโอกาสไปทำความรู้จักดูสักหน่อยนะเจ้าคะ”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ไปสืบประวัติของคนแขนขาด้วนคู่นั้นมาหน่อย!”

“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนพยักหน้า “สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้วเจ้าค่ะ”

“เรื่องเรือเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ”

……

ภายในสวนบุปผาของจวนสกุลฮูเหยียน บุรุษรูปร่างผึ่งผายบึกบึนคนหนึ่งกำลังน้าวสายยิงธนูอยู่ ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่ายิงโดนกลางเป้าที่อยู่ไกลออกไป

แววตาของชายฉกรรจ์โชนแสงเปล่งประกาย มีหนวดเคราเต็มหน้า เพียงแต่มีหนวดเคราสีขาวแซมปะปนอยู่ด้วย สีหน้าท่าทางดูดุดันน่าเกรงขาม เป็นฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉี

บุคลิกความเป็นชนเผ่าเร่ร่อนบนตัวเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เขายังคงสวมชุดชนเผ่าพื้นเมืองอยู่

แม้ว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากซางซ่งรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ใต้หล้าผสมกลมกลืนกัน แล้วก็ทำให้เสื้อผ้าที่แต่ละแคว้นสวมใส่ล้วนไม่ต่างกันมากนัก แต่สำหรับชนเผ่าเร่ร่อนทางแคว้นฉีแล้ว หลังจากได้ยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งและสถาปนาเป็นแคว้นฉีขึ้นมา เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่เหมือนกันทั่วหล้าเหล่านั้นได้กลายเป็นชุดลำลอง ส่วนชุดชนเผ่าพื้นเมืองกลายเป็นชุดทางการ และนับว่าเป็นข้อแตกต่างระหว่างแคว้นฉีและแคว้นอื่นด้วย

ตามปกติแล้วฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจะสวมชุดชนเผ่าพื้นเมืองเช่นนี้อยู่เสมอ

พ่อบ้านฉาหู่สาวเท้าเดินเข้ามา พอเข้ามาใกล้ก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง

สวบ! กระทั่งฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยิงลูกธนูออกไปแล้ว ฉาหู่จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ คุณชายสามกลับมาแล้วขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นที่เดิมทีคิดจะหยิบลูกธนูขึ้นมายิงอีกครั้งได้เอาคันธนูสะพายไว้ด้านหลัง มองเป้าธนูที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยพึมพำ “ทหารกล้าไม่ตาย เพียงโรยรา! ทหารกล้าไม่ตาย เพียงโรยรา…”

เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายฮูเหยียนเวยล้วนเป็นคนของตระกูลฮูเหยียน ข้างกายฮูเหยียนเวยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเขาไป

ฉาหู่เอ่ยว่า “ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะสะท้อนใจมากนะขอรับ”

“ใช่สิ!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถอนใจยาวๆ ด้วยความทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง “หากมิใช่คนที่เคยอยู่ในกองทัพคงไม่พูดจาเช่นนี้ ข้อสงสัยสุดท้ายที่ข้ามีต่อเขานับว่าสลายไปแล้ว เพียงแต่รู้สึกเสียดายเท่านั้น!”

ฉาหู่กล่าวว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายเลยขอรับ คนที่สามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้ แปลว่าเลือดในกายยังร้อนระอุ หากเกิดวิกฤตขึ้นมา เราสามารถเรียกตัวเขามาใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องอื่นใดเลยขอรับ”

“เลือดในกายยังร้อนระอุอย่างนั้นหรือ พูดได้ดี!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยชม หยิบคันธนูไปไว้ด้านหน้า น้าวสายขึ้นศรอีกครั้ง เล็งเป้าพลางเอ่ยว่า “ไปตามเจ้าสามมาหาข้า!”

“ขอรับ!” ฉาหู่เดินออกไป

ไม่นานนัก ฮูเหยียนเวยก็เข้ามา หลังจากทำความเคารพเสร็จเรียบร้อย ก็ไปยืนมองบิดายิงศรออกไปดอกแล้วดอกเล่าอยู่ด้านข้าง

สองพ่อลูกไว้หนวดเคราเช่นเดียวกัน ดูคล้ายคลึงกันยิ่งนัก

กระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยิงธนูไปพลางเอ่ยถาม “ได้ยินว่าเรื่องรับสมัครคนงานวุ่นวายไม่น้อยเลย คนที่รับมาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฮูเหยียนเวยเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อย่าเอ่ยถึงเลยขอรับ น่าหงุดหงิดจริงๆ ท่านพ่อ อันไท่ผิงคนนั้นเป็นคนหัวแข็งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะรับชายชราแขนขาด้วนคู่หนึ่งเข้ามา ท่านว่าเช่นนี้เหมือนคนทำการค้าหรือขอรับ? ข้าว่า เอ่อ…” พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ชะงักไป

เขาสังเกตเห็นว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นที่กำลังน้าวธนูเล็งเป้าปรายตามองเขาอยู่

สายตานี้ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ทุกครั้งที่ท่านพ่อมองตนเช่นนี้ คล้ายว่าจะไม่มีเรื่องดีอันใดเลย

สวบ! ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมองตรงไปด้านหน้า หลังจากยิงศรออกไปก็ตะโกนว่า “ทหาร ลากตัวออกไป โบยสิบไม้!”

ฮูเหยียนเวยค่อนข้างมึนงง โบยใคร? โบยข้าอย่างนั้นหรือ? เขามองซ้ายมองขวา คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะสั่งโบยพ่อบ้านฉาหู่

แล้วก็ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมาก พลทหารสองนายเดินเข้าประกบซ้ายขวาลากแขนเขาออกไป

ฮูเหยียนเว่ยร้องอุทาน “ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ? ท่านพ่อ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมนะขอรับ จะโบยข้าก็ต้องให้เหตุผลหรือเปล่าขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยว่า “เหตุผลคือข้าเห็นเจ้าขวางหูขวางตา เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่?”

“นี่มันเหตุผลอะไรกันขอรับ?” ฮูเหยียนเวยร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว ทว่าพลทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งไม่สนใจ สีหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์ เขาร้องโอดครวญขึ้นมาทันที “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย! ท่านแม่ รีบมาช่วยข้าทีขอรับ…อ๊าก! อ๊าก! อ๊าก…”

ท่อนไม้ขนาดเท่าแขนเด็กเหวี่ยงฟาดจนเกิดเสียงลมดังวูบๆ ฮูเหยียนเวยที่ถูกกดตัวไว้บนพื้นร้องคร่ำครวญไม่หยุด ท่าทางน่าเวทนาเป็นอย่างมาก

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเมินเฉยต่อภาพเหตุการณ์นี้ ยังคงยิงธนูต่อไป เพียงแต่เอ่ยสั่งการเพิ่มว่า “เขายืนกรานจะรับสองคนนั้นไว้ให้ได้ ไม่รู้จะมีปัญหาใดหรือไม่? ไปสืบประวัติของชายแขนขาด้วนคู่นั้นมาหน่อย”

“ขอรับ!” ฉาหู่รับคำสั่ง

ฮูเหยียนเวยที่ถูกพยุงขึ้นมาจากพื้นสะบัดพลทหารที่พยุงตนออก น้ำมูกน้ำตาไหลย้อย เกร็งหน้าท้อง กุมแก้มก้นไว้ งอต้นขา เดินลากเท้าเข้ามาทีละก้าว สะอื้นไห้สีหน้าเศร้าหมอง “ข้าไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากัน แค่ขัดหูขัดตาก็สั่งโบยคนได้แล้วหรือ? พยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตัวเองเลย นี่มันไม่มีเหตุผลเลย…”

ฉาหู่เดินเข้าไปใกล้เขา เอ่ยเตือน “คุณชายสาม ยังไม่ทราบอีกหรือขอรับว่าตนทำผิดไปอะไร?”

ฮูเหยียนเวยหันไปมองเขา “วันนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ หรือไม่ควรเรียกใช้ทหารของพี่ใหญ่?”

“ดูเหมือนโบยสิบไม้จะยังเตือนสติท่านไม่ได้ กลับไปคิดทบทวนตัวเองให้ดีเถิดขอรับ หากคิดไม่ออกอีกคงต้องถูกโบยซ้ำ” ฉาหู่เอ่ยทิ้งท้ายไว้ พลางฟาดก้นเขาอย่างแรงทีหนึ่งดังเพียะ! ก่อนเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม

“อ๊าก…” ฮูเหยียนเวยร้อยโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง เกือบจะกระเด้งตัวขึ้นมา

…..

ตกค่ำ ฉาหู่มาที่ห้องหนังสือ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกำลังถือตำรานั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงตะเกียง

“ท่านแม่ทัพ สืบประวัติสองคนนั้นแล้วขอรับ คนขาด้วนนามว่าหยวนต้าหู คนแขนด้วนนามว่ากู่โหย่วเหนียน ตัวตนของทั้งสองไม่มีปัญหาขอรับ ใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาเกือบยี่สิบปี คนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักและทราบเรื่องของพวกเขา ไม่มีทางปลอมตัวได้ เพียงแต่…”

“เหตุใดเจ้าถึงอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นมาเล่า?”

“พวกเขาทั้งสองเป็นสมาชิกในทัพลมทมิฬขอรับ สืบพบประวัติจากทะเบียนกองทัพ ไม่มีผิดพลาดแน่นอนขอรับ!”

เมื่อเอ่ยว่า ‘ทัพลมทมิฬ’ สามพยางค์นี้ออกมา ฮูเหยียนอู๋เฮินที่ถือตำราอยู่พลันมีสีหน้าตกตะลึง ภาพเหตุการณ์หนึ่งผุดวาบขึ้นมาหัวอย่างรวดเร็ว ทหารม้าที่สวมชุดสีดำกลุ่มหนึ่งร้องตะโกนเสียงดังว่า “ลม! ลม! ลม!” จากนั้นก็พุ่งเข้าหาทัพศัตรูเสมือนลมหอบหนึ่ง

เวลานั้นทัพลมทมิฬได้ชื่อว่าเป็นกองทหารม้าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี และได้รับขนานนามว่าเป็นกองทหารม้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ภายหลังได้รับคำสั่งจู่โจม เข้าสู่หุบเขาเหล็กทมิฬเพื่อสกัดการรุกรานของทัพใหญ่ห้าแสนนายของแคว้นจิ้น ทหารม้าสามหมื่นนายถูกบดขยี้ ทว่ายังคงยืนหยัดสกัดกั้นการรุกรานของทัพใหญ่แคว้นจิ้นอยู่ตรงนั้น ต้านไว้จนกระทั่งกองหนุนเร่งเดินทางไปถึง

ตัวเขาในช่วงเวลานั้นยังไม่ได้เป็นแม่ทัพอันใดเลย ทว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกกองหนุนที่เดินทางไป ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ทัพลมทมิฬสามหมื่นคนถูกกวาดล้างทั้งกองทัพ ได้เห็นผู้บัญชาการของทัพลมทมิฬที่ยืนหยัดต่อสู้ไม่ยอมถอย เป็นแนวหน้าโจมตีให้กองหนุน นำขบวนทหารไม่กี่ร้อยนายที่เหลืออยู่กู่ร้องพลางพุ่งเข้าหาทัพศัตรูจนถูกกลืนหายไปกับตาตนเอง!

ภายหลัง กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญของแคว้นเยี่ยนถูกขนานนามว่าเป็นกองทหารม้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ส่วนปัจจุบันนี้ทัพม้าองอาจที่เขาก่อตั้งขึ้นถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นค่อยๆ หันไปมองเขา

ฉาหู่เอ่ยต่อว่า “ทั้งห้าคนที่กลับมาล้วนบาดเจ็บจนพิการทั้งสิ้น ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคนที่เหลือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตอนนี้ทราบเพียงสองคนนี้ขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นปิดตำราลง วางลงบนโต๊ะ นิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดเข้าหากันจริงๆ!”

ฉาหู่ลองถามดู “จะไปดูแลหรือไม่ขอรับ?

“ไม่จำเป็น! ลมสงบแล้ว…ก็เหมือนอย่างเจ้าหนุ่มหัวแข็งคนนั้นพูด ทหารกล้าไม่ตาย เพียงโรยรา ไม่ต้องการความเห็นใจจากผู้คน ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ไปแสดงความเห็นใจทั้งสิ้น!”

……………………………………………………………………………….