ตอนที่ 282 หนิวโหย่วเต้ามาแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 282 หนิวโหย่วเต้ามาแล้ว

ฉาหู่พลันกระจ่างขึ้นมา เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

หลังจากชายแขนขาด้วนคู่นั้นออกจากกองทัพ หากพวกเขาเที่ยวป่าวประกาศว่าตนเป็นคนในทัพลมทมิฬ ทางนี้คงจะทราบเรื่องนี้ไปนานแล้ว การที่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ ก็แปลว่าหลังจากสองคนนั้นกลับมา พวกเขาไม่เคยเปิดเผยให้ภายนอกทราบเลยว่าตนคือคนในทัพลมทมิฬ นี่จะต้องมีเจตนาแอบแฝงอยู่เป็นแน่

“ดูแล้วคงจะไม่ต้องการให้คนไปเห็นใจจริงๆ ขอรับ คิดจะไปช่วยดูแลเอาตอนนี้ ดูเหมือนจะสายเกินไปหน่อยแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสและอนาคตแล้ว อันไท่ผิงรับพวกเขาเข้าทำงาน ให้พวกเขาทำมาหาเลี้ยงตัวเอง แบบนี้ดีที่สุดแล้วขอรับ” ฉาหู่พยักหน้า

“อันไท่ผิง สงบสุขร่มเย็น!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถอนหายใจเบาๆ “เดิมทีคิดว่าตายกันไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ เหล่าหู่ เจ้าไปตรวจดูสมาชิกในแต่ละที่ที่อยู่ในทะเบียนราชชื่อของทัพลมทมิฬหน่อย ดูว่ายังมีผู้รอดชีวิตที่อยู่ในสภาพเดียวกันหรือไม่ หากว่ามี ให้จัดการด้วยวิธีเดียวกับอันไท่ผิงทั้งหมด อย่ากระโตกกระตากไป!”

“ขอรับ!” ฉาหู่รับคำสั่ง เข้าใจความหมายของคำว่าอย่ากระโตกกระตากที่เขาพูดมา ท่านแม่ทัพไม่ต้องการอาศัยเรื่องนี้มาสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง

…..

วันต่อมา ภายในสวนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว คนงานใหม่สามร้อยสองคนต่างมาถึงตามเวลาที่นัดหมายไว้ ไม่มีใครกล้าโอ้เอ้ชักช้าในการทำงานวันแรก

วันแรกของการทำงาน มีหลายคนที่ทั้งคาดหวังตั้งตารอและรู้สึกประหม่า ต่างมายืนรวมตัวรอคอยเป็นกลุ่มก้อน

หยวนกังไม่เหมือนฮูเหยียนเวย เขาเป็นคนตรงเวลาอย่างยิ่ง ไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องคอยนาน ไม่นานก็มาปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มคนงาน และไม่พูดจาไร้สาระ เข้าประเด็นทันที “ตอนนี้มาเริ่มแบ่งงานกันเถอะ คนที่มีครอบครัวแล้วไปยืนทางนั้น” เขาชี้ไปยังพื้นที่ว่างด้านข้าง

คนส่วนหนึ่งทยอยเดินแยกออกมาจากกลุ่ม ชายฉกรรจ์ประมาณสี่สิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้น ยืนอยู่บนที่ว่างตรงนั้น

“ในเมื่อมีครอบครัวแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะบังคับให้พักอาศัยอยู่ที่นี่ หลังเลิกงานก็ปล่อยให้พวกเขากลับบ้านไป คนเหล่านี้จัดให้อยู่หน้าร้าน ยกให้เจ้ารับผิดชอบจัดการ” หยวนกังหันไปบอก

เสมียนเกาพยักหน้ารับ “ขอรับ!”

หยวนกังกล่าวว่า “หน้าร้านมีคนเท่านี้เพียงพอหรือไม่ หากไม่พอจะแบ่งให้เจ้าเพิ่ม”

เสมียนเการีบเอ่ยว่า “พอขอรับ พอแล้ว”

ว่ากันตามจริง เขาคิดว่ารับสมัครมาสามร้อยคนออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ แค่ร้อยคนก็พอแล้ว รับสมัครคนมามากมายขนาดนี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่คำนึงถึงต้นทุนเลย มีการค้าเช่นนี้ด้วยหรือ?

หยวนกังเดินเข้าไปหาคนที่เหลือ ชี้ตัวออกมาทีละคนๆ เลือกคนทั้งหมดที่เข้าตาตนออกมา ดูเผินๆ ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่ปราดเปรียวมีกำลังวังชา อันที่จริงแล้วเป็นคนของตนเองทั้งสิ้น

“เด็กหนุ่มเหล่านี้ดูหน่วยก้านค่อนข้างดี ข้าจะรับผิดชอบเอง” หยวนกังเอ่ย

เสมียนเกาพยักหน้าเล็กน้อย พบว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ยืนรวมกันแล้วดูสบายตาเป็นอย่างยิ่ง มาตรว่าคุณชายสามจะเป็นคนเหลาะแหละไม่ค่อยจริงจัง แต่สายตาในการเลือกคนยังคงนับว่าไม่เลว

หลังจากจัดแบ่งคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสมียนเกาก็เดินเข้าไปหาหยวนกัง กระซิบถาม “เถ้าแก่ แล้วชายชราแขนขาด้วนคู่นั้นจะจัดการอย่างไรขอรับ? ท่านรับปากไว้แล้วว่าจะไม่ให้ทำงานอยู่ในร้าน”

หยวนกังมองไปทางคนทั้งสอง เรียกทั้งสองเข้ามา ทั้งสองดูค่อนข้างกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ความเป็นทหารกล้าที่อยู่ภายในยังคงอยู่เสมอมา แต่ภายนอกกลับต้องใช้ชีวิตอย่างคนต่ำต้อยมาโดยตลอด

“งานที่จะให้พวกท่านทั้งสองทำอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทำได้หรือไม่?” หยวนกังถาม

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย หยวนต้าหูยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอเพียงมิใช่งานน่าละอาย ล้วนทำได้ทั้งสิ้นขอรับ”

กู่โหย่วเหนียนก็พยักหน้าคล้อยตาม เขาเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา

“ดี!” หยวนกังหันไปเอ่ยกับเสมียนเกาว่า “เจ้าบอกว่าเปิดขายสองช่องไม่เพียงพอ อยากขยายเพิ่มใช่หรือไม่?”

เสมียนเกาพยักหน้ารับ รอฟังต่อ ไม่ทราบว่าเขาจะพูดอะไร

หยวนกังกล่าวว่า “หากมีหลายแถว จะเกิดความวุ่นวายได้ง่ายๆ ข้าจะไม่ให้พวกเขาทำงานในร้าน แต่จะให้พวกเขาคอยจัดระเบียบลำดับแถวด้านนอกร้าน”

“…..” เสมียนเกาพูดไม่ออก แบบนี้น่ะหรือที่ท่านเรียกว่าไม่ให้ทำงานในร้าน คุณชายสามเป็นคนรักศักดิ์ศรีหน้าตา แล้วดูท่านทำสิ จัดให้อยู่ด้านนอกให้สะดุดตายิ่งกว่าเดิมเสียอีก “เถ้าแก่ คุณชายสาม…”

“หากคุณชายสามมีความเห็นอันใด ก็ให้เขามาหาข้า” หยวนกังอุดปากเขาไว้ในประโยคเดียว จากนั้นหันไปเอ่ยกับสองชายชราอีกครั้ง “นอกจากนี้แล้ว ถนนที่อยู่หน้าร้านเส้นนั้นแล้วก็บริเวณร้านของพวกเรา พวกท่านก็ต้องรับผิดชอบดูแลด้วย หากเห็นใครทิ้งขยะเรี่ยราดก็เก็บเสีย เก็บกวาดสักหน่อย รักษาความสะอาดในพื้นที่นอกร้านของพวกเรา ร้านเราเป็นสถานที่ขายอาหาร ให้คนได้เห็นความสะอาดเรียบร้อยย่อมเป็นเรื่องดี เพียงแต่ไม่ทราบด้วยมือเท้าของพวกท่าน ให้ทำงานเช่นนี้จะลำบากหรือไม่?”

หยวนต้าหูรีบเอ่ยว่า “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากขอรับ ทำได้ ทำได้แน่นอน พวกเราจะจัดการถนนนอกร้านให้สะอาดเอี่ยมแน่นอนขอรับ”

กู่โหย่วเหนียนก็พยักหน้าเช่นกัน

หยวนกังมองพวกเขาเล็กน้อย “เรื่องพิการไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งใดที่สมควรปรับเปลี่ยนก็ควรต้องเปลี่ยน เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อไปหน่อย คนอื่นจะพากันคิดว่ามีขอทานสองคนอยู่นอกร้านเต้าหู้เอาได้ เสมียนเกา จัดทำชุดของร้านเต้าหู้ขึ้นมา แล้วมอบให้พวกเขาไว้ก่อนสองชุดสำหรับผลัดเปลี่ยน เวลาอยู่ด้านนอกจะได้เป็นเอกลักษณ์ของร้านเราด้วย”

ชายชราสองคนฟังแล้วค่อนข้างกระอักกระอ่วน อีกฝ่ายพูดจาตรงไปตรงมานัก แต่สิ่งที่พูดก็นับว่าถูกต้อง

แทนที่จะพูดจาอ้อมค้อม คำพูดบางอย่างพูดออกมาตรงๆ กลับทำให้ทั้งสองสบายใจกว่า

“ขอรับ!” เสมียนเกาตอบรับ ลอบรู้สึกถอนใจ เขาจนปัญญากับหยวนกังแล้ว ถึงมีคุณชายสามหนุนหลังก็ไม่มีประโยชน์ คนผู้นี้ไม่กลัวคุณชายสาม ยังคงกล้าไล่เขาออกเหมือนเดิม

หยวนกังเอ่ยกับชายชราทั้งสองต่อว่า “เมื่อไปดูแลรักษาระเบียบด้านนอก บางครั้งย่อมต้องเผชิญกับผู้ฝ่าฝืนกฎอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทางเรามีพนักงานหลายร้อยคน หากพบคนไร้เหตุผล ไม่จำเป็นต้องอดทนข่มกลั้นโทสะ กลับมาเรียกคนไปก็พอ อีกฝ่ายคิดจะทำอย่างไรพวกเราก็พร้อมจะสนองคืนกลับไปทุกเมื่อ! จำไว้ อย่าได้คิดว่าแขนขาพิการแล้วกลัวจะหางานได้ลำบาก เลยต้องทนแบกรับความอยุติธรรมเอาไว้ หากคิดเช่นนี้ พวกท่านก็ลาออกไปแต่เนิ่นๆ เถอะ ข้าไม่ต้องการคนประเภทนี้ เพราะข้าไม่ใช่คนประเภทนี้”

เมื่อมีลูกน้องในกลุ่มเข้ามารับตำแหน่งงาน หนิวหลิน หยวนหั่วและหนิวซานสามคนนี้จึงหลุดพ้นจากตำแหน่งคนผลิตเต้าหู้แล้ว

เตรียมการกันอยู่หนึ่งวัน รุ่งเช้าวันต่อมา ยามที่ฟ้าเพิ่งสาง หยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนตื่นกันแต่เช้าตรู่ หิ้วถังน้ำไปตักน้ำริมทะเลสาบด้วยตัวเอง เอามาล้างถนนหน้าร้าน

เมื่อวานพวกเขาได้กินอิ่มท้องทุกมื้อ ซ้ำยังมีที่พักสะอาดสะอ้าน ทั้งสองจึงดูรักและถนอมงานนี้เป็นอย่างยิ่ง ทำมากกว่าที่หยวนกังกำหนดไว้ ไม่ได้ทำความสะอาดแบบธรรมดา หากแต่ลุกมาล้างถนนในบริเวณนี้แต่เช้าตรู่ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระทบต่อลูกค้าที่จะมาซื้อเต้าฮวย

มีเสียงฝีเท้าดังแน่นขนัดแว่วมาจากในตรอก ทั้งสองคนที่ล้างถนนอยู่ตะลึงงัน เห็นเด็กหนุ่มสองร้อยกว่าคนวิ่งออกมาโดยมีพวกหนิวหลินนำอยู่ข้างหน้า

ทั้งสองไม่ทราบว่าคนเหล่านี้จะวิ่งไปที่ไหน ไปทำอะไร

หยวนกังเดินออกมาจากในตรอกเป็นคนสุดท้าย มองตามขบวนที่วิ่งออกไป แล้วก็เหลือบมองชายชราสองคนที่กำลังทำงานด้วยสายตาเฉยชา จากนั้นหันหลังเดินกลับไป

ภายหลัง ชายชราทั้งสองคนถึงได้ทราบว่าเด็กหนุ่มสองร้อยกว่าคนนั้นกำลังวิ่งรอบทะเลสาบพราวแสงอยู่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ออกมาวิ่งกันแล้ว

พอกลุ่มเด็กหนุ่มวิ่งเสร็จก็กลับมากินข้าว รถเข็นขนาดเล็กที่บรรจุเต้าหู้ไว้ถูกเข็นออกไปคันแล้วคันเล่าเพื่อไปตั้งขายตามจุดต่างๆ ในเมืองหลวงแต่เช้าตรู่

และนับจากวันนี้ไป จู่ๆ ก็มีเต้าหู้ตั้งขายอยู่ทั่วเมืองหลวงแคว้นฉี พอเห็นว่าเป็นของแปลกใหม่ ยอดขายในวันแรกจึงพุ่งกระฉูดเป็นอย่างยิ่ง คนบางส่วนที่เคยได้ยินแต่ยังไม่เคยลิ้มลองก็อดไม่ได้ที่จะลิ้มลองของใหม่ดู

ส่วนชายชราแขนขาพิการทั้งสองที่อยู่นอกร้านเต้าหู้ก็ทำให้คนได้เห็นเรื่องแปลกใหม่เช่นกัน แขกที่สัญจรไปมาแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าพื้นหินด้านนอกร้านเต้าหู้สะอาดมากจริงๆ ถนนด้านนอกร้านค้าอื่นๆ เปื้อนขมุกขมัว มีเพียงถนนบริเวณนอกร้านเต้าหู้เท่านั้นที่สะอาดเอี่ยมสะดุดตา

หลังจากรัตติกาลมาเยือน การค้าของร้านเต้าหู้ก็ค่อยๆ ซาลง กลุ่มเด็กหนุ่มไปที่ริมทะเลสาบอีกครั้ง ถอดเสื้อผ้าแล้วกระโจนลงไปในน้ำ ว่ายน้ำไล่จับกันในยามราตรี

ชายชราทั้งสองมองหน้ากัน หรือว่าเถ้าแก่จะพูดจริง ต้องการฝึกฝนเด็กพวกนี้?

ถูกต้อง ถึงแม้จะอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี หยวนกังก็ไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มพวกนี้หย่อนยาน ยังคงให้พวกเขาฝึกซ้อมอยู่

เขาพาคนมาฝึกฝนที่เมืองหลวงแคว้นฉีอย่างเปิดเผยเช่นนี้

สำหรับหยวนกังแล้ว สิ่งที่ควรทำก็ทำไปแล้ว หากผู้ใดมีปัญหากับวิธีการนี้ของเขาก็มีแต่ต้องมาคุยกับเขาโดยตรง หากว่าไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเป็นปัญหา เขาก็จะทำต่อไป ไม่มีอะไรต้องปิดบัง นี่คือลักษณะนิสัยของเขา

ทำให้เหล่าสมาชิกในกลุ่มล้วนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากตอนอยู่ที่จังหวัดชิงซานมากนัก แล้วก็ไม่ได้อันตรายเหมือนที่จินตนาการไว้ แค่เปลี่ยนสถานที่ฝึกฝนเท่านั้น

หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะพวกหยวนกังมาจัดการสร้างรากฐานไว้ให้พวกเขาก่อนล่วงหน้าแล้ว

เสมียนเกาที่นั่งอยู่ในร้านมองดูเหตุการณ์ด้านนอกก็ค่อนข้างตะลึงเช่นกัน

…..

ณ จวนตระกูลฮูเหยียน ภายในห้องหนังสือ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นและฉาหู่ที่คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนก็กำลังมองหน้ากัน

“นี่เขาคิดจะทำอะไร?” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถาม

ฉาหู่ยิ้มเจื่อน “ไม่ทราบเลยขอรับ โดยส่วนตัวข้ารู้สึกเหมือนว่าเขาไม่พอใจราชสำนัก คิดจะฝึกฝนกองกำลังของตนเองขึ้นมา มีความเป็นไปได้ที่คนผู้นี้จะทำเรื่องแบบนี้ขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “ถ้าไม่จับดาบจับทวนได้จะดีที่สุด! เตือนเขาซะ หากรู้สึกคับข้องใจ จะเล่นอะไรนิดๆ หน่อยๆ น่ะได้ แต่อย่าทำอะไรเกินขอบเขต มิเช่นนั้นจะถูกตั้งข้อหาฝึกฝนกองกำลังส่วนตัวในเมืองหลวง ไม่ว่าผู้ใดก็ปกป้องเขาไว้ไม่ได้!”

ฉาหู่พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ทำแต่เรื่องแปลกใหม่ คาดว่าทุกคนคงมองเป็นเรื่องครื้นเครงเช่นกัน คนเพียงเท่านั้นไม่สามารถทำอะไรในเมืองหลวงได้ ทุกคนล้วนเห็นกันหมด น่าจะไม่มีผู้ใดคิดเป็นจริงเป็นจังขอรับ”

…..

ดวงตะวันแผ่แสงทอง ประตูเมืองเปิดกว้าง ในช่วงสาย คณะของหนิวโหย่วเต้าเดินทางเข้ามาในเมือง

ภายในเมืองไม่อนุญาตให้ขี่ม้าเร็วเกินไป ทั้งคณะจึงควบม้าเหยาะๆ กวาดตามองไปทั่ว

กลิ่นหอมอันคุ้นเคยสายหนึ่งโชยแตะจมูก หนิวโหย่วเต้ามองสอดส่องไปทั่วด้วยแววตาสงสัย สังเกตเห็นว่าที่มุมหนึ่งของถนนมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมวงซื้ออะไรบางอย่างอยู่

เนื่องจากเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย หนิวโหย่วเต้าจึงพยายามเพ่งมองให้ชัด ผลคือหลังจากมองเห็นหน้าคนขายชัดเจนแล้ว เขาพลันตะลึงงัน นั่นมันลูกน้องของเจ้าลิงมิใช่หรือ?

ยามที่มีคนถือของที่ซื้อเดินผ่านมา เขามองสิ่งที่อยู่ในชามของอีกฝ่าย ดวงตาพลันฉายแววตกตะลึง เต้าฮวยหรือ?

เจ้าลิงพาคนมาถึงนี่เพื่อขายเต้าฮวยอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าวิตกกังวลเล็กน้อย ถ่อมาเปิดกิจการที่นี่อย่างเปิดเผยไม่กลัวจะถูกจับได้บ้างหรือไร?

แต่เขาก็รู้ดีว่าหยวนกังไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องวุ่นวาย ดังนั้นจิตใจยังคงสงบมั่นคงดี ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอันใด

คนขายผู้นั้นเดิมทีก็คอยมองสอดส่องรอบข้างเป็นระยะอยู่แล้ว สังเกตเห็นหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ดวงตาพลันฉายแววดีใจ แต่ก็รีบอำพรางแววตาไว้อย่างรวดเร็ว

เฮยหมู่ตานเองก็จำคนขายได้เช่นกัน หันไปมองท่าทีของหนิวโหย่วเต้า

“ที่เขาขายมันคืออะไร? เหตุใดแต่ก่อนถึงไม่เคยเห็นเลย?” หลังจากลิ่งหูชิวสังเกตเห็น ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

……

ณ เรือนเมฆาขาว ฉินเหมียนเร่งฝีเท้าเข้ามา เคาะประตูห้องซูจ้าวแล้วเปิดเข้าไป พอไปถึงด้านในก็รีบรายงาน “นายหญิง หนิวโหย่วเต้ามาแล้วเจ้าค่ะ เข้าเมืองมาแล้ว!”

ซูจ้าวที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เผยสีหน้าคล้ายตั้งตารอมานานแล้ว เอ่ยว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่เคยพบหน้าเลย อยากเจอเขามานานแล้ว กล้าบุกเข้าถ้ำเสือบึงมังกรเช่นนี้ คิดว่าตัวเองมีสามเศียรหกกรอย่างนั้นหรือ!”

……………………………………………………………