บทที่ 268 ภาพลักษณ์ของอัจฉริยะ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ใช่ค่ะ ที่ฉันเพิ่งพูดกับคุณไป ที่จริงแล้วฉันแค่ทดสอบเท่านั้น”นวิยาละสายตาลง“ฉันอยากทดสอบความรู้สึกของคุณวารุณีที่มีต่อนัทธีว่าหนักแน่นหรือไม่ จะเกิดความคิดที่จะยอมถอยเพราะคำพูดของคนอื่นไหม”

“แบบนี้เหรอคะ?”วารุณีหรี่นัยน์ตาดอกท้อลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

นวิยาหัวเราะ“แน่นอนค่ะ ครั้งที่แล้วหลังจากนัทธีคุยกับฉัน ฉันก็คิดดีแล้วว่า นัทธีไม่รักฉัน เห็นฉันเป็นแค่น้องสาว ฉันถูกกำหนดให้เป็นไปไม่ได้ที่จะคบกับเขา ดังนั้นฉันหวังว่าเขาจะมีความสุข จึงได้โทรไปทดสอบคุณค่ะ”

เธอพูดอย่างจริงใจสุดๆ

เวลานั้น วารุณีแยกไม่ออกว่าเธอจริงใจหรือเสแสร้ง ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรออกไป

นวิยานอนกลับไปที่เตียงคนไข้ พูดไปอีกว่า“คุณวารุณี คุณไม่พูด เพราะโกรธฉันเหรอคะ?เพราะว่าฉันเพิ่งทดสอบคุณไป?”

“เปล่าค่ะ”มุมปากของวารุณีกระตุก พูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ออกมาจากใจ

นวิยาถอนหายใจอย่างเสียใจ“ฉันรู้ว่า คุณจะต้องโกรธแน่ ยังไงการทดสอบนี้ ก็ไม่มีใครชอบ ฉันก็ไม่ชอบนัก แต่เพื่อนัทธี ฉันก็เป็นได้แค่คนร้ายกาจ หวังว่าคุณวารุณีจะไม่ถือสา ครั้งที่แล้วก็เช่นกัน”

“ครั้งที่แล้ว?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น

นวิยาพยักหน้า“ใช่ค่ะ ครั้งที่แล้วในห้องคนไข้ เพราะว่าเรื่องที่คุณคบกับนัทธี เลยใส่อารมณ์ไปที่คุณ ขอโทษจริงๆนะคะ คุณวารุณี คุณยกโทษให้ฉันได้ไหม?”

วารุณีขยี้ขมับอย่างเจ็บปวดหน่อยๆ“คุณนวิยา คุณอย่าทำแบบนี้เลย เรื่องครั้งที่แล้ว ฉันลืมไปนานแล้วค่ะ”

“พูดแบบนี้ คุณยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหมคะ?”ดวงตานวิยาเป็นประกาย เหมือนว่ามีความสุขมาก

ริมฝีปากของวารุณีขยับ ตอบอือ

“ขอบคุณค่ะคุณวารุณี คุณเป็นคนใจกว้างจริงๆ งั้นฉันวางก่อนนะคะ คุณก็คบกับนัทธีดีๆนะคะ ขอให้พวกคุณมีความสุข ไว้เจอกันค่ะ!”

พูดจบ นวิยาก็วางสาย

วารุณีเอาโทรศัพท์ลงมาจากข้างหู แล้วทิ้งไปที่เตียงพร้อมกับหัวเราะออกมา

ทดสอบ?เธอโง่น่ะสิถึงได้เชื่อ!

แต่ไม่ว่านวิยาคิดจะทำอะไรนั้น เธอก็ยังยืนยันคำเดิม นอกจากนัทธีจะพูดขอเลิกก่อน นอกนั้นเธอก็จะไม่ไปไหน

คิดไป วารุณีก็หาว หดตัวลง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุม ดมกลิ่นมิ้นท์ที่ทิ้งไว้บนผ้าห่ม หลับตาลงนอน

จนเธอตื่นมาอีกครั้ง ก็มืดลงแล้ว

วารุณีลืมตาขึ้นมา มีไฟเล็กๆที่ส่องแสงบางๆเข้ามาในตา แสงที่ไฟเล็กๆนั้นสลัว ไม่สาดแทงตา ดังนั้นดวงตาของเธอจึงไม่รู้สึกไม่สบายแต่อย่างใด

“ตื่นแล้วเหรอ?”วารุณีเพิ่งยันตัว นั่งขึ้นมาบนเตียง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายทุ้มๆดังขึ้นมาจากข้างๆ

เธอเงยหน้ามองไป ก็เห็นนัทธีกำลังนั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเตียง ส่ายแก้วไวน์อยู่

“อือ คุณกลับมาเมื่อไหร่?อยู่ในห้องตลอดเลยเหรอ?”วารุณีจัดผมแล้วถาม

นัทธีวางไวน์ลง ลุกขึ้นแล้วเดินไป“กลับมาสักพักแล้ว ได้ยินป้าส้มบอกว่าคุณยังหลับอยู่ ก็เลยมาดู”

“ฉันนอนไปนานแค่ไหน กี่โมงแล้ว?”วารุณีสะบัดหัว

ตอนนี้หัวของเธอไม่มึนแล้ว แต่สติกลับยังไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะยังไงก็เพิ่งตื่น

นัทธีเอาเสื้อให้เธอ จากนั้นมองนาฬิกาข้อมือ“สองทุ่มแล้ว”

“ดึกขนาดนี้เชียว?”วารุณีตกใจ

เธอนอนไปนานขนาดนี้เชียว

ไม่น่าล่ะฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว

นัทธีนั่งยองๆ มือข้างหนึ่งจับเท้าข้างหนึ่งของวารุณี มืออีกข้างถือรองเท้าแตะอีกข้างที่เป็นขนๆขึ้นมา จะสวมให้เธอ

วารุณีเห็นแบบนี้ หน้าเล็กๆนั้นก็แดงขึ้นมา หดเท้าลงอย่างไม่ชินนัก อยากจะหดเท้าคืนกลับมา“ฉันทำเองละกัน”

เธอพูดพึมพำเหมือนเสียงยุง

นัทธีจับข้อเท้าของเธอไม่ปล่อย“เอาน่ะ ทำตัวสบายๆ คุณสวมชุดก่อนดีกว่า ไม่หิวเหรอไง?”

วารุณีลูบท้อง“ก็หิวหน่อยจริงๆแหละ”

“งั้นก็ตามนี้ แบบนี้ก็จะเร็วหน่อย”พูดไป นัทธีก็สวมรองเท้าให้เธอได้ข้างหนึ่งแล้ว

สวมไปแล้วข้างหนึ่ง จะสวมอีกข้างก็ไม่เป็นไร

วารุณีจึงยอมแต่โดยดี ปล่อยให้เขาทำ

อีกอย่าง ผู้ชายที่มีตัวตนสูงส่ง ยอมนั่งยองลงไปแล้วก้มหน้าสวมรองเท้าให้เธอ จะเห็นว่าในใจนั้นแคร์เธอมากแค่ไหน

เธอควรจะมีความสุขสิ

พอคิดแบบนี้ วารุณีก็ยิ้มสะบัดเสื้อคลุมแล้วสวมเสื้อผ้าไป

สวมเสร็จ นัทธีก็ยืนขึ้นมา ยื่นมือไปที่เธอ“ไปเถอะ ลงไปข้างล่างกัน”

วารุณีตอบอือ เอามือวางลงไปอย่างเชื่อฟัง

นัทธีจับนิ้วมือแน่น บีบฝ่ามือของเธอ จูงเธอออกไปจากห้องด้วยกัน แล้วลงไปข้างล่าง

มาที่ชั้นล่าง เด็กทั้งสองคนกำลังเล่นของเล่นที่ห้องรับแขก มองเห็นทั้งสองลงมา ก็รีบทิ้งของเล่นแล้วลุกขึ้นวิ่งมาตรงหน้าของทั้งสอง

“พ่อ หม่ามี๊ ในที่สุดทั้งสองก็ลงมาสักที ช้าจังเลยครับ”อารัณเงยหน้าขึ้น มองวารุณีกับนัทธี

ไอริณลูบท้องเล็กๆของตัวเอง“ใช่ ไอริณหัวหมดแล้วเนี่ย”

“หิวแล้วงั้นก็กินข้าว”นัทธีปล่อยมือของวารุณี ก้มเอวอุ้มไอริณขึ้นมา ให้เธอนั่งอยู่บนต้นแขนเขา

ไอริณโบกแขนเล็กๆทั้งสองข้าง ทักทายไปด้วยความดีใจ“พ่อสุดยอดจังเลย ชูขึ้นสูงอีกสิคะ!”

นัทธีก็ทำตาม ชูเด็กสาวขึ้นสูง ห้องรับแขกที่ใหญ่โต ก็มีเสียงหัวเราะชอบใจของยัยเด็กสาว

วารุณีก็ดึงอารัณมายืนอยู่ข้างๆ มองดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้ม

นานแล้วที่เธอไม่เห็นไอริณหัวเราะอย่างมีความสุข

จริงๆด้วย เด็กที่มีพ่อแม่อยู่ครบด้วยกัน จะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด

นัทธีวางไอริณลง มองไปที่อารัณ“ลูกจะเล่นด้วยไหม?”

อารัณทำเสียงไม่พอใจเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย“ผมไม่เล่นหรอก ปัญญาอ่อนจะตาย ทำลายภาพลักษณ์ผมหมด”

ถึงแม้เขาจะอิจฉาไอริณที่ถูกชูขึ้นมาสูงๆได้ แต่ถ้าเป็นตัวเอง ก็ช่างมันดีกว่า

วารุณีบีบจมูกของอารัณอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“เด็กน้อยตัวเล็กๆแบบลูก มีภาพลักษณ์ด้วยเหรอ?”

ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น เห็นชัดว่ากำลังยิ้ม

มีแค่ไอริณที่เบะปากอย่างไม่พอใจ

หึ อย่าคิดว่าเธอฟังไม่ออก พี่ชายกำลังบอกว่าตัวเองปัญญาอ่อน!

อารัณไม่รู้ว่าไอริณโกรธเขาแล้ว เขากอดอกด้วยแขนสั้นๆแล้วพูดอย่างจริงจังว่า“มีสิครับ ผมเป็นอัจฉริยะ ภาพลักษณ์ของอัจฉริยะก็คือ……”

“โอเค อัจฉริยะตัวน้อยของพวกเรา กินข้าวดีกว่า”วารุณีตัดบทเขาอย่างตลก จูงเขาเดินไปที่ห้องอาหาร

นัทธีก็จูงมือของไอริณตามไปอยู่ด้านหลัง

ฉากนี้ปรากฏอยู่ในสายตาของป้าส้ม เหมือนกับสี่คนพ่อแม่ลูก

หลายๆครั้งป้าส้มก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าอารัณกับไอริณ เป็นลูกแท้ๆของคุณผู้ชายก็คงดีมาก

เสียดาย ที่เป็นไปไม่ได้

กินข้าวเสร็จ นัทธีก็ไปทำงานที่ห้องทำงาน

วารุณีกลับพาลูกทั้งสองกลับไปที่ห้อง อาบน้ำให้ลูกทั้งสองคน

จนอาบน้ำให้เด็กทั้งสองคนเสร็จ กล่อมพวกเขาจนหลับแล้ว โทรศัพท์ของเธอก็มีคนโทรมา

วารุณีออกมาจากห้องของลูกทั้งสองคน แล้วหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ามาดู เป็นวรยาโทรมา

เธอรีบสัมผัสปุ่มรับ แล้วกดรับไป“แม่”

“วารุณี ในประเทศเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”วรยาถามด้วยเสียงที่ดูเกร็ง

วารุณีเอียงหัวอย่างสงสัย“เปล่านี่คะ ทำไมเหรอแม่?”

“คือแบบนี้ ตอนบ่ายทางนี้ จู่ๆสุภัทรก็ติดต่อแม่ ให้แม่จัดแจงให้ศรัณย์กลับประเทศ ถ้าแม่ไม่ตกลง เขาจะฟ้องแม่เรื่องค่าเลี้ยงดู ให้ศรัณย์กลับประเทศมาเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา”วรยากำโทรศัพท์แน่น พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ

วารุณีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น“หน้าด้านจริงๆ!”

“ใช่ไหมล่ะ แม่เลยมาถามลูก ในประเทศเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆเขาก็จะให้ศรัณย์กลับประเทศ รู้สึกเหมือนว่าเขารีบร้อนมาก”วรยาพูด

วารุณีเปิดประตูห้องของนัทธีแล้วเข้าไป พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า“เขาจะไม่รีบร้อนได้ไง?ตอนนี้เขามีแค่ฉันกับศรัณย์สองคนที่เป็นลูก”

“หมายความว่าไง?”วรยาตะลึง