ตอนที่ 483 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (2) ตอนที่ 484 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 483 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (2) / ตอนที่ 484 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (3)
ตอนที่ 483 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (2)

รัฐชีแพ้ไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะแพ้

ชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันของกองทัพรุ่ยหลิน ล้วนมาจากการถูกบังคับด้วยกำลัง พวกเขาไม่มีทางให้เลือก!

ถ้าหากพวกเขาแพ้ พวกเขาก็จะสูญเสียรัฐและไม่มีบ้านเกิดให้กลับอีกต่อไป

จวินอู๋เสียยังคงจำได้อย่างชัดเจนถึงตอนนั้นที่จวินเสี่ยนพูดคุยเรื่องนี้กับนาง เมื่อเขาพูดถึงอดีตสีหน้าของเขาจะดูเศร้าสร้อยเสมอ และแม้ว่าเขาจะฝืนยิ้ม เขาก็ไม่สามารถซ่อนความเศร้าและความเจ็บปวดจากการสูญเสียในดวงตาของเขาได้เลย

ชื่อเสียงของกองทัพรุ่ยหลิน พวกมันถูกซื้อมาด้วยชีวิตของทหารกองทัพรุ่ยหลิน คนอื่นๆ รู้เพียงแต่วิธีชื่นชมความแข็งแกร่งและความดุร้ายของกองกำลังรุ่ยหลินเท่านั้น แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าคนในกองทัพนี้เสียชีวิตทั้งสิ้นกี่คนในสนามรบ

ถ้าเป็นไปได้ จวินเสี่ยนไม่อยากได้ชื่อเสียงจอมปลอมนี้ ยิ่งไม่อยากเป็นผู้นำทัพพาทหารเหล่านี้ออกไปตายด้วยตัวเขาเอง

คนสกุลจวิน ไม่เคยมีใครภาคภูมิใจไปกับชื่อเสียงนี้ของกองทัพรุ่ยหลิน!

สิ่งนี้คือประโยคที่ส่งต่อมาจากปากของจวินเสี่ยนเอง

สำหรับสกุลจวินแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องน่าละอาย เป็นการตอกย้ำความไร้ความสามารถของผู้นำทัพ ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการนำทหารกลับมาจากสนามรบอย่างมีชีวิต

จวินอู๋เสียไม่รู้ว่าความรู้สึกอ่อนไหวนี้มันเริ่มมาจากที่ไหน แต่นางก็จำได้อย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและความเศร้าเสียใจในดวงตาของท่านปู่และท่านอาเล็กของนาง

“ป่าประลองวิญญาณอยู่ไม่ไกลจากรัฐชีมาก แต่ข้าก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนจากกองทัพรุ่ยหลินจะมาที่นี่” สีหน้าของฟ่านจิ่นดูตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะได้พบกับวีรบุรุษที่เขาชื่นชม

เฉียวฉู่กระแอมเสียงเบา มองไปที่ฟ่านจิ่นที่กำลังตื่นเต้นและกล่าวว่า “ต้องให้ข้าเตือนเจ้าหรือไม่ว่าเวลานี้เทพเจ้าแห่งสงครามที่เจ้ากำลังพูดถึงนั้นอยู่กับหนิงซินและคนอื่นๆ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังถูกเอาเปรียบอยู่ด้วย”

เพียงประโยคเดียว ความกระตือรือร้นของฟ่านจิ่นก็หายวับ ราวกับถูกน้ำเย็นทั้งถังราดลงกลางศีรษะ!

ค่าตอบแทนที่หนิงซินเรียกไป แม้แต่ตัวฟ่านจิ่นเองก็ยังคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเกินไป

“ไปกันเถอะ” จวินอู๋เสียซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดจู่ๆ ก็พูดขึ้น นางอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยขึ้นไปไว้บนไหล่ที่นั่งโปรดของมัน

“น้องเสีย เราจะไปไหนกันหรือ” เฉียวฉู่เอียงศีรษะและมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างสงสัย แม้ว่าหนิงซินจะเล่นเล่ห์ ใช้วิธีที่ขี้โกงในการเก็บหินวิญญาณ แถมยังเอาเปรียบทหารของกองทัพรุ่ยหลิน แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย

“ทะเลสาบจันทราวารีกระจ่าง” จวินอู๋เสียตอบเสียงเบา

ถ้าหนิงซินไม่รนหาที่ตายก่อน นางก็คงคร้านเกินกว่าที่จะสนใจ แต่ตอนนี้นางกลับกล้าปีนขึ้นมาเหยียบหัวกองทัพรุ่ยหลิน แล้วนางจะปล่อยอีกฝ่ายไปได้อย่างไร

ทหารของท่านปู่ ไม่ใช่คนพรรค์นั้นจะสามารถข่มเหงหรือแตะต้องได้!

ทันทีที่นางพูดคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนยกเว้นเยี่ยซาก็ตกตะลึง

“ไป…เจ้าจะไปทะเลสาบจันทราวารีกระจ่างเพื่อการใด” เฉียวชูเบิกตากว้าง จวินอู๋เสียไม่เหมือนคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ขนาดเมื่อสักครู่นี้ศิษย์กลุ่มนั้นกำลังจะฆ่าฟ่านจิ่น นางยังทำเพียงมองอย่างเย็นชาแล้วส่งพวกเขาไปลงมือแทนเลย

คงไม่ใช่ว่าเรื่องที่เล่ามาสักครู่นี้มีสิ่งใดไปปลุกเร้าความกระตือรือร้นของนางขึ้นมาหรอกนะ ถึงได้มีความคิดกระโดดลงไปช่วยกองทัพรุ่ยหลินจากการถูกรังแกแบบนี้

จวินอู๋เสียเหลือบมองเฉียวฉู่อย่างเย็นชาและไม่ตอบ

เฉียวฉู่กลืนน้ำลายดังอึก สายตาของจวินอู๋เสียจะอย่างไรเขาก็ไม่ชินกับมันสักที

“แต่พวกเราไม่รู้ตำแหน่งของทะเลสาบจันทราวารีกระจ่างนะ” หรงรั่วนำแผนที่ออกมาตั้งแต่จวินอู๋เสียอ้าปากพูดเมื่อสักครู่นี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงทะเลสาบจันทราวารีกระจ่าง แม้แต่ตำแหน่งปัจจุบันพวกเขาก็ยังไม่ทราบเลยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะบนแผนที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้

“โปรดตามข้ามาขอรับ ข้าได้ปล่อยอสรพิษทมิฬให้ติดตามไปแล้ว อสรพิษทมิฬจะคอยบอกเส้นทางให้พวกเราเอง แค่เดินตามลมปราณที่เหลือทิ้งไว้ของมันไปก็พอ พวกเราก็จะหาตำแหน่งที่ตั้งนั้นพบ” เยี่ยซาพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หลายคนพร้อมใจกันมองไปทางเขาเป็นตาเดียวทันที พวกเขาชักสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเยี่ยซามากขึ้นแล้ว แต่พวกเขาก็รู้กาลเทศะดีและไม่ได้ถามอะไรออกไป

หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากฟ่านจิ่น เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ก็มีความประทับใจที่ดีต่อกองทัพรุ่ยหลินเป็นอย่างมาก ตอนนี้เมื่อจวินอู๋เสียพูดว่าพวกเขาจะไปที่ทะเลสาบจันทราวารีกระจ่าง จึงไม่มีใครกระโดดขึ้นมาคัดค้านหรือว่าพูดอะไร

หลังจากเก็บของกันอีกสักเล็กน้อย กลุ่มคนก็มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบจันทราวารีกระจ่างโดยมีเยี่ยซาคอยอ่านกลิ่นอายที่เหลือทิ้งไว้ของอสรพิษทมิฬและนำทางไป…

ตอนที่ 484 กองทัพที่รบได้ดุดันมากที่สุด (3)

ระหว่างทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบจันทราวารีกระจ่าง หนิงซินได้ขอให้ลู่เว่ยเจี๋ยพยายามคุยกับหลงฉีและคนอื่นๆ แต่เขาก็ถูกตบหน้ากลับมาอย่างไร้ความปรานี

หลงฉีไม่ได้พูดอะไรกับลู่เว่ยเจี๋ยสักคำ ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมจริงจังอยู่เสมอ

หลังจากถูกตบหน้ากลับมาฉาดใหญ่ ลู่เว่ยเจี๋ยก็หอบสีหน้าที่บึ้งตึงเดินเข้าไปหาหนิงซินอย่างโกรธแค้น เขาคือศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวที่สูงส่งนะ เป็นที่เคารพนับถือของทุกคนเสมอมา แต่กลับต้องมาถูกเมินเฉยใส่อย่างกับเป็นสิ่งของที่น่ารังเกียจ นี่มันทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากจริงๆ

เมื่อเห็นว่าลู่เว่ยเจี๋ยล้มเหลวกลับมาเช่นไร หนิงซินก็ขอให้เขาพากลุ่มศิษย์ขึ้นไปเดินนำข้างหน้าแทน ส่วนตัวเองชะลอฝีเท้าเข้ามาเดินเลียบเคียงอยู่ข้างๆ หลงฉีและคนอื่นๆ ฉีกยิ้มให้พวกเขาอย่างหวานหยด

“พวกเจ้าบางคนคงยังไม่คุ้นเคยกับป่าประลองวิญญาณดี และดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ทุกคนมาที่นี่กระมัง ข้าขอบังอาจถาม พวกเจ้าไปที่ทะเลสาบจันทราวารีกระจ่างเพื่อค้นหาสิ่งใดเป็นพิเศษหรือ ไม่ขอปิดบัง ท่านพ่อของข้าคือรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว รู้จักสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศโดยรวมของป่าประลองวิญญาณเป็นอย่างดี สำนักศึกษาเฟิงหัวของเรา มาล่าสัตว์วิญญาณที่นี่ปีละสองครั้ง หลังงานจบจึงมักจะมีของจากที่นี่ถูกนำออกไปขายเป็นประจำ ถ้าหากว่าพวกเจ้าต้องการสิ่งใดและในมือข้ามี ข้าสามารถนำออกมาให้พวกเจ้าได้ จะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องไปตามหาเอง พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” เดิมทีใบหน้าของหนิงซินก็งดงามงามมากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อนางฉีกยิ้มหวานด้วยความเป็นมิตร ก็ยิ่งทำให้ผู้มองอยากจะนึกรังเกียจหรือทำร้ายน้ำใจนั้นได้

แน่นอน หากว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยเรียกร้องอย่างละโมบโลภมากเช่นนั้นมาก่อน ความประทับใจของหลงฉีและคนอื่นๆ ที่มีต่อนางคงจะดีกว่านี้มาก

หลงฉีขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าของเขาแสดงความรำคาญเล็กน้อย

ความจริงที่ว่าศิษย์หล่านี้พยายามจะเข้ามาพูดคุยกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หลงฉีหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

ตอนนี้พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันแล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องดำเนินการตามนั้น แต่การจงใจเข้าใกล้พวกเขาแบบนี้ มันทำให้ทหารที่ได้รับคำสั่งสอนอย่างเข้มงวดมาโดยตลอดรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างที่สุด

ทหารที่ติดตามหลงฉีแอบมองไปที่หนิงซิน มองดูรอยยิ้มอันงดงามงามและเป็นมิตรของนาง แต่ดวงตาของพวกเขากลับไม่แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมยินดีแม้แต่น้อย

รูปโฉมแบบนี้ บรรยากาศรอบตัวแบบนี้ มีตรงไหนที่สามารถเทียบกับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาได้บ้าง!

ค่ายทหารของกองทัพรุ่ยหลิน ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์เลือดร้อนและกล้าหาญ หลังจากเก็บตัวฝึกฝนมาหลายปี พวกเขาก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอสตรีเลย มีเพียงคนเดียวที่มักจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา นั่นก็คือคุณหนูใหญ่จวินอู๋เสีย

ในตอนแรกนั้น ก่อนที่จวินอู๋เสียจะเข้ามายึดครองร่างนี้ ทหารจากกองทัพรุ่ยหลินไม่มีใครที่ไม่ละอายใจกับชื่อเสียงฉาวโฉ่ของคุณหนูใหญ่ของพวกเขา แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นทายาทของสกุลจวิน พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้มหน้ายอมรับ แต่หลังจากที่จวินอู๋เสียเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ทุกการกระทำของนาง ก็ได้เปลี่ยนทัศนคติที่ทหารทุกนายของกองทัพรุ่ยหลินมีต่อคุณหนูใหญ่ของพวกเขา ไปเป็นความเคารพนับถือและอ่อนน้อมอย่างถึงที่สุด พวกเขาตอนนี้ยอมรับนางโดยไร้ข้อกังขาใดๆ

อาจกล่าวได้ว่าในสายตาของทหารกลุ่มนี้สตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้าก็คือคุณหนูใหญ่ของพวกเขา และสตรีที่โดดเด่นยอดเยี่ยมที่สุดก็คือคุณหนูใหญ่ของพวกเขา

ภายใต้การเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่สูงส่ง ในหัวใจของทหารกองทัพรุ่ยหลินทุกคน เด็กสาวที่อาจหาญมายั่วยวนพยายามทำให้พวกเขารู้สึกดีด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษขยะข้างทาง

หน้าตาอัปลักษณ์เกินไป ไม่สามารถเทียบกับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาได้

ทัศนคติไม่ดี จุดนี้ยิ่งเทียบกับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาไม่ได้

บรรยากาศรอบกายพื้นๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ประจบสอพลอไร้ความจริงใจ ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่มีจุดใดที่อีกฝ่ายจะสามารถเทียบกับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาได้เลย!

นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ตาบอดหรือไม่ นางไม่เห็นหรือว่าบนใบหน้าของท่านแม่ทัพเอกของพวกเขาเขียนคำว่า ‘คนแปลกหน้าห้ามรบกวน’ ติดเอาไว้อยู่ ยังกล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปพูดพล่ามไปเรื่อย ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อแลกเปลี่ยนที่หนิงซินเพิ่งเสนอขอสำหรับการนำทาง พวกเขาก็คิดว่านอกจากคนที่มีเงินเหลือเฟือพอเอาไปเผาเล่นได้ ไม่อย่างนั้นคงมีแต่คนเสียสติเท่านั้นแหละที่จะเอาเงินไปซื้อของจากมือนาง

โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกทหารกองทัพรุ่ยหลินดูถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหนิงซินยังคงปั้นยิ้มหวานหยดแสดงท่าทีเป็นมิตรออกไป