ตอนที่ 284 มาท้าประลองถึงที่

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

บทที่ 284 มาท้าประลองถึงที่

ลิ่งหูชิวเหลือบมองกองเอกสารเล็กน้อย หากว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหลวงแห่งนี้จริง อย่างนั้นก็พอจะเข้าใจได้อยู่ เนื่องจากเขารู้ว่าบรรดาสำนักอย่างสำนักหยกสวรรค์ได้ส่งคนมาที่นี่ล่วงหน้าแล้ว การที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับทางนี้ไว้ก่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

หนิวโหย่วเต้ากลับจ้องมองขวดสุรากระเบื้องเคลือบสีขาวสามใบในมือเขา เอ่ยถาม “สุราหรือ?”

ลิ่งหูชิวชูขวดสุรา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สุราที่ผลิตจากจังหวัดชิงซานของพวกเจ้า แพงจนน่าตกใจ ตัวข้าหักใจซื้อไม่ลง เมื่อครู่มีคนส่งมากำนัลข้าสองสามขวด ดื่มกันสักหน่อยไหม?”

“ได้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย เฮยหมู่ตานยกข้าวของจำพวกกาน้ำชาถ้วยน้ำชาบนโต๊ะหินออกไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ตระเตรียมมาแล้ว หงฝูยกกล่องอาหารใบเล็กมาวางบนโต๊ะ ยกกับแกล้มสามสี่จานออกมา

หลังจากดื่มกันไปเล็กน้อยและคุยเล่นกันสองสามประโยค ลิ่งหูชิวก็เอ่ยเรื่องที่ต้องการพูดออกมา “เมื่อครู่ทราบข่าวบางอย่างมา เรื่องที่เจ้าเดินทางมาแคว้นฉีอย่างลับๆ ถูกคนแพร่ข่าวออกไปแล้ว ตำแหน่งที่พักแห่งนี้ก็ถูกเผยออกไปแล้วเช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ได้ยินมาเมื่อครู่แล้ว”

ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของสำนักหยกสวรรค์ เกรงว่าเจ้าคงมีปัญหายุ่งยากพอสมควร ตามเมืองหลวงแคว้นต่างๆ ย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนที่แสวงหาทางก้าวหน้ามารวมตัวกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ชื่อเสียงไม่โดดเด่นย่อมไร้หนทาง แต่น้องหนิวมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า หากเอาชนะเจ้าได้ ย่อมได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ใต้หล้ามีผู้บำเพ็ญเพียรเลื่องชื่อมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพี่ลิ่งหู เหตุใดถึงหมายตาข้าไม่ยอมเลิกรา หรือเป็นเพราะคิดว่าข้าเป็นคนที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ?”

“เพราะพวกเขารู้ว่าสภาวะของเจ้าเพิ่งอยู่ในระดับสร้างฐาน” ลิ่งหูชิวกล่าวไปประโยคเดียว ความหมายในวาจาคือยอมรับว่าเขาคือคนที่รังแกได้ง่าย

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็มีคนมอบของขวัญพบหน้าให้ข้าเสียแล้ว นับว่าเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีแห่งหนึ่งเลยทีเดียว พี่ลิ่งหูทราบหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่มอบของขวัญชิ้นนี้ให้?”

ลิ่งหูชิวรู้แจ้งแก่ใจดี เขาพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่กลับส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “หากเจ้าไปไหนก็ล้วนมีกลุ่มคนคอยจับตามองเจ้าอยู่ตลอด เช่นนั้นคงไม่เป็นผลดีต่อเจ้า”

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีอะไรให้น่ากังวล ดื่มเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าชูจอกเชิญดื่ม

ลิ่งหูชิวจิบอึกหนึ่ง วางจอกลงแล้วถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามอง “พี่ลิ่งหูถอนหายใจด้วยเรื่องใด?”

ลิ่งหูชิวคล้ายกำลังทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้พร้อมกับน้องหนิว ทำให้ข้าอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตงกัวเฮ่าหรานอาจารย์ของเจ้า นึกถึงในอดีตปีนั้นข้าก็เคยพบกับอาจารย์ของเจ้าที่เมืองหลวงแห่งนี้…”

เขารำพึงรำพันถึงอดีตอยู่ตรงนั้นด้วยความสะท้อนใจ หนิวโหย่วเต้ากลับเพียงแค่รับฟัง ไม่ปริปากเอ่ยอะไร กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าคนผู้นี้เอ่ยถึงตงกัวเฮ่าหรานต่อหน้าเขาเป็นครั้งที่สามแล้ว

ขณะที่ทางนี้พูดๆ อยู่ ต้วนหู่ก็เร่งเดินเข้ามา รายงานว่า “เต้าเหยี่ย ผู้อาวุโสเฟิงเอินไท่แห่งสำนักหยกสวรรค์มาแล้วขอรับ”

ลิ่งหูชิวจึงได้แต่ต้องหยุดพูด หนิวโหย่วเต้าเงียบไป เฟิงเอินไท่คนนี้เขารู้จัก เป็นคนที่ทางสำนักหยกสวรรค์ส่งมารับผิดชอบดูแลเรื่องม้าศึกทางนี้ จึงโบกมือเล็กน้อย “เชิญเข้ามา!”

ลิ่งหูชิวอดเหลือบมองไปทางหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยไม่ได้ ทางนี้เพิ่งเข้าที่พัก ศิษย์ของสามสำนักที่อยู่ที่นี่ก็มารวมตัวกันส่วนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์ก็มาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองอีก ดูเหมือนสำนักทั้งหลายที่อยู่ทางจังหวัดชิงซานจะตั้งความหวังไว้กับน้องชายร่วมสาบานคนนี้อย่างมากจริงๆ

จากนั้นไม่นาน ชายชราร่างท้วมที่มีสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เป็นเฟิงเอินไท่ ด้านหลังมีศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ตามมาด้วยสองคน

หนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวเดินเข้าไปต้อนรับหน้าประตูวงเดือนด้วยตัวเอง ลิ่งหูชิวประสานมือเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นคนแรก “เฟิงซยง ไม่ได้พบกันเสียหลายปี”

“ไอ๊หยา ลิ่งหูซยง” เฟิงเอินไท่ประสานหมัดทักทายอย่างเป็นมิตร

ที่แท้ทั้งสองก็รู้จักกันอยู่แล้ว! หนิวโหย่วเต้าเอ่ยพึมพำอยู่ในใจ ประสานมือเอ่ยไปเช่นกัน “หนิวโหย่วเต้าคารวะผู้อาวุโสเฟิง เดิมทีสวมควรเป็นฝ่ายไปพบผู้อาวุโส กลับทำให้ผู้อาวุโสต้องเป็นฝ่ายมาหา เสียมารยาทจริงๆ”

เฟิงเอินไท่มองพินิจเขาหัวจรดเท้า เดินเข้ามากดมือที่ประสานคารวะตามมารยาทของเขาลง จับข้อมือเขา จุ๊ปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรขนาดนี้ ผู้ใดจะไปพบผู้ใดก่อนก็เหมือนกันนั่นแหละ ได้ยินชื่อเสียงมานาน เป็นคนหนุ่มมีความสามารถโดยแท้ เรียกผู้อาวุโสอันใดดูเกรงใจเกินไปแล้ว หากไม่รังเกียจที่ข้าแก่ชรา อย่างนั้นก็เรียกข้าว่าพี่แล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเกรงใจ “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร”

เฟิงเอินไท่ตบหลังมือเขาเล็กน้อย “ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ คนกันเองทั้งนั้น เอาตามนี้นี่แหละ”

ด้วยเหตุนี้ในศาลาจึงมีจอกสุราเพิ่มขึ้นอีกใบ ทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะกัน

คุยสัพเพเหระกันไปไม่กี่ประโยค เฟิงเอินไท่ก็เอ่ยขึ้นว่า “น้องชาย ตั้งแต่ได้รับข่าวจากทางสำนัก ข้าก็เฝ้ารอเจ้ามาโดยตลอด จนปัญญาที่กำหนดการเดินทางของเจ้าถูกปิดเป็นความลับ เจ้าเดินทางมาช้าจริงๆ ทำเอาข้าคอยอยู่ตั้งนาน! หนนี้หากไม่เป็นเพราะได้ยินข่าวลือว่าเจ้าพักอยู่ที่ไหน ข้าคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาถึงแล้ว ใช่แล้ว ด้านนอกมีข่าวลือบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเลย…”

เขาเอ่ยเจื้อยแจ้วบอกเล่าถึงสถานการณ์ ไม่พ้นไปจากเรื่องมีคนแพร่ข่าวเรื่องหนิวโหย่วเต้ามาถึงเมืองหลวงอย่างลับๆ แล้ว แล้วก็เรื่องที่มีคนอยากจะมาท้าสู้

ผลคือพูดไปไม่ทันไร ต้วนหู่ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาจากด้านนอกอีกครั้ง รายงานว่า “เต้าเหยี่ย ด้านนอกมีสตรีนางหนึ่งแจ้งนามว่าเสวียนจื่อชุน ต้องการพบท่าน ทั้งยังส่งสารท้าสู้ให้ท่านขอรับ!” เขาประคองเทียบเชิญฉบับหนึ่งส่งให้ด้วยสองมือ

สายตาของกลุ่มคนมองไปยังเทียบเชิญฉบับนั้นพร้อมกัน มองเห็นเพียงว่าด้านบนเขียนคำว่า ‘สารท้าสู้’ ไว้สามคำ อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้ไป เรื่องนี้ก็มาเลย

หนิวโหย่วเต้ายกจอกสุราจรดค้างที่ริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ วางลงอีกครั้ง ยกยิ้มมุมปากเอ่ยหยอกเย้า “มาเร็วเสียจริง ข้าเพิ่งมาถึง เพิ่งมีข่าวแพร่ออกไปไม่นาน ก็มีคนมาหาถึงที่ในทันใด” เขายื่นมือไปหยิบสารท้าสู้มาดู

เฟิงเอินไท่ขมวดคิ้ว “มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก คงกลัวว่าจะถูกคนอื่นตัดหน้าไปก่อน มีความมั่นใจเต็มที่ หากฉวยโอกาสไว้ได้ก่อนย่อมคว้าไว้ก่อน”

ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะมีคนหมายตาน้องหนิวอยู่ไม่น้อยจริงๆ”

“หึ!” หนิวโหย่วเต้าอ่านสารท้าสู้แล้วหัวเราะหยันคราหนึ่ง เห็นทั้งสองคนมองมา จึงยื่นส่งให้พวกเขาไป จากนั้นหันไปเอ่ยถามต้วนหู่ “มีนางคนเดียวหรือ?”

ต้วนหู่ตอบว่า “มีสหายตามมาด้วยสองคนเพื่อเป็นพยานขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า” เดินทางสัญจร ผู้ที่พบพานคือสหาย ในเมื่อมีสหายมาเยือนถึงเรือนแล้ว เช่นนั้นก็เชิญมาเถอะ เชิญเข้ามาให้หมด”

“ขอรับ!” ต้วนหู่รีบเดินออกไป

เฟิงเอินไท่และลิ่งหูชิวผลัดกันอ่านสารท้าสู้ แต่ละคนส่ายหน้าไปมา เนื้อความไม่มีอะไรเลย ไม่พ้นไปจากคำท้าประลอง ทั้งยังมีเนื้อหาท้าทายยั่วยุสองประโยคด้วย เขียนทำนองว่าหากไม่กล้ารับคำท้าก็เทียบกับสตรีไม่ได้ด้วยซ้ำ หรืออะไรทำนองว่าหากไม่กล้ารับคำท้าก็ให้ประกาศต่อสาธารณะเสียว่าสู้นางไม่ได้

ดูคล้ายสารท้าสู้ แต่ทั้งสามคนล้วนมองออกถึงความปรารถนาที่อยากจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาโดยเร็วของผู้ที่เขียนสารท้าสู้นี้ขึ้น มองออกว่าอีกฝ่ายอยากเหยียบย่ำหนิวโหย่วเต้าเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง

ไม่นานนัก ต้วนหู่พาคนสามคนเข้ามา หญิงหนึ่งชายสอง สตรีรูปร่างสูงโปร่ง รูปโฉมนับว่าใช้ได้ น่าจะเป็นเสวียนจื่อชุนที่ส่งสารท้าสู้มาคนนั้น

พวกหนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ในศาลาไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นมาต้อนรับ

ต้วนหู่ยื่นมือชี้ไปที่พื้นเล็กน้อย ให้ทั้งสามคนยืนอยู่นอกศาลา

ทั้งสามมองไปรอบๆ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่อยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งกำลังจ้องมองมาทางนี้ สีหน้าค่อนข้างตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กำลังพยายามฝืนทำเป็นใจเย็น

“เจ้าคือเสวียนจื่อชุน?” หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางสตรีคนนั้น ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม

“ถูกต้อง!” เสวียนจื่อชุนเชิดอกอวบอิ่ม ทำใจกล้าเอ่ยถามกลับไป “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้าที่สังหารจั๋วเชากระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเอง”

เสวียนจื่อชุนถาม “อ่านสารท้าสู้แล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “อ่านแล้วอย่างไร ไม่อ่านแล้วอย่างไร?”

เสวียนจื่อชุนกล่าวว่า “ขอถามคำเดียว กล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครข้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ มาจากสำนักไหนสภาวะระดับใด เจ้ามาท้าข้าสู้ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักหรือยัง? ตอบข้ามาให้กระจ่างทั้งหมดก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องอื่น”

ท่าทางสูงส่งเย่อหยิ่งของหนิวโหย่วเต้าทำให้เฟิงเอินไท่และลิ่งหูชิวสบตากันแล้วยิ้มออกมา ต่างฝ่ายต่างชูจอกให้กัน ค่อยๆ ดื่มไป

เสวียนจื่อชุนเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายจะไม่ยำเกรง “สภาวะระดับโอสถทอง ไร้สังกัดสำนัก ผู้บำเพ็ญไร้สำนัก ไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใด ข้าตัดสินใจเองได้”

หนิวโหย่วเต้าชูจอกสุราในมือขึ้น ชี้ไปทางคนทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง “สองคนนี้เป็นใคร?”

เสวียนจื่อชุนตอบว่า “สหายของข้า มาเพื่อเป็นพยาน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ที่พักของข้าไม่ใช่สถานที่ที่ใครหน้าไหนนึกจะบุกรุกเข้ามาได้ แจ้งประวัติความเป็นมาให้ชัดเจนซะ”

เสวียนจื่อชุนกล่าวว่า “เหมือนอย่างข้า ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก หรือว่าดูแคลนพวกเรา?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าไร้ความบาดหมางกับพวกเจ้า อีกทั้งไม่เคยพบหน้ามาก่อน จู่ๆ พวกเจ้าก็วิ่งมาหาเรื่องข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าสมควรดูแคลนพวกเจ้าหรือเปล่า?”

เสวียนจือชุนกล่าวว่า “ไยต้องพล่ามอะไรมากมายปานนั้น ข้าถามคำเดียว กล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “ข้าอยากถามคำเดียว มีสิทธิ์อะไรให้ข้ารับคำท้าเจ้า เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน?”

สีหน้าของเสวียนจื่อชุนที่ถูกดูแคลนดูแย่ขึ้นมา ทว่ายังคงใช้วาจายั่วยุ “เช่นนั้นก็คือไม่กล้าสินะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ความรู้สึกของผู้ที่ต้องการในสิ่งที่ขาดแคลนข้าพอจะเข้าใจได้ แต่รู้จักใช้เหตุผลหน่อยจะดีที่สุด ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็นับว่าเป็นการให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าไปเสียตอนนี้ยังทัน หากข้ารับคำท้าของเจ้าขึ้นมาจริงๆ ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าคงรักษาไว้ไม่อยู่แน่ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย!”

นี่คือกำลังขู่ให้ตนยอมถอยอย่างนั้นหรือ? เสวียนจื่อชุนเอ่ยเร่งเร้ากดดันทันที “ใช่คู่ต่อสู้หรือไม่ก็ต้องลองสู้ดูก่อนถึงจะรู้!”

หนิวโหย่วเต้าดื่มสุราในจอกแล้ววางลงด้านข้าง ปล่อยให้ลิ่งหูชิวที่มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มช่วยรินสุราให้ เขาเอ่ยไปว่า “ให้ข้ารับคำท้าน่ะได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้หยิบยืมชื่อข้าไปสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้ประโยชน์อะไร? หากไม่มีผลประโยชน์อะไร แล้วทำไมข้าต้องไปรับคำท้าเจ้าด้วย?”

เสวียนจื่อชุนถาม “เจ้าต้องการผลประโยชน์อะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเพ่งพิศนางหัวจรดเท้า กล่าวว่า “ข้าว่าเจ้าก็คงมอบผลประโยชน์อันใดให้ข้าไม่ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องปล่อยให้ข้าจัดการเจ้าได้ตามใจชอบ”

เสวียนจื่อชุนตอบรับ “ได้ ตกลงตามนี้!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อว่า “เพียงวาจาเลื่อนลอยผู้ใดก็กล่าวได้ทั้งสิ้น ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่กลับคำทีหลัง เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้สหายทั้งสองของเจ้ามาเป็นตัวประกัน”

“นี่…” เสวียนจื่อชุนค่อนข้างลังเล มองสหายที่อยู่ข้างกายซ้ายขวา

ส่วนบุรุษสองคนนั้นก็มองกันไปมองกันมา ต่างคิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะพุ่งเป้ามาที่พวกเขาทั้งสองด้วย

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากข้าแพ้ เจ้าก็เอาตัวข้าแลกสองคนนั้นกลับไป ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะกลับคำพูด หากว่าไม่ตกลง สถานที่ของข้าก็มิใช่สถานที่ที่ผู้ใดนึกอยากมาก็มา นึกอยากไปก็ไปได้เช่นกัน ล้วนต้องทิ้งชีวิตไว้!”

พอกล่าวจบ เฮยหมู่ตานโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรสิบคนโผล่อออกมาจากรอบข้างทันที ปิดล้อมคนทั้งสามเอาไว้

ทั้งสามหันหลังชนกันตั้งท่าระวังภัยอย่างรวดเร็ว เสวียนจื่อชุนตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต้า ที่นี่หาใช่จังหวัดชิงซานในแคว้นเยี่ยนไม่ เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นฉี ห้ามมิให้มีการต่อสู้รบกวนประชาชนเด็ดขาด หากผู้บำเพ็ญเพียรพิทักษ์เมืองรู้เข้า เจ้าแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่”

หนิวโหย่วเต้ายกจอกสุราแนบริมฝีปากอย่างช้าๆ เอ่ยว่า “ข้าขยี้พวกเจ้าให้ตายเยี่ยงขยี้มดปลวก ลำพังเพียงพวกเจ้าสามคนคู่ควรให้ข้าต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวเชียวหรือ? สมองเป็นอวัยวะที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่เจ้าไม่มี ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่มาจนบรรลุสภาวะระดับโอสถทองได้อย่างไร ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงหรือไม่!”

…………………………………………………..