ตอนที่ 285 รับคำท้า

ทั้งสามคนที่หันหลังชนกันเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จะเสี่ยงชีวิตขัดขืน? ฝ่าออกไปได้หรือ? กล้าหรือ?

“จื่อชุน ฝากเจ้าด้วยล่ะ” ชายคนหนึ่งวางกระบี่ในมือลง

“จื่อชุน พวกเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า” ชายอีกคนก็วางอาวุธลงเช่นกัน จะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกลงยอมเป็นตัวประกันด้วยตัวเอง

เสวียนจื่อชุนมองหนิวโหย่วเต้าด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว กัดฟันยอมรับ ที่ตนรีบร้อนมาหาอีกฝ่ายถึงที่เช่นนี้ ก็เพราะหวังว่าสักวันตนจะได้มีอำนาจเหมือนหนิวโหย่วเต้า สามารถวางตัวสูงส่งเช่นนี้ได้ และสามารถทำตัวกำแหงข่มขู่ผู้คนเช่นนี้ได้มิใช่หรือ?

“ได้!” เสวียนจื่อชุนตะโกน “เอาตามนี้ ข้าตกลง! เช้าวันพรุ่งนี้ สู้กันที่ลานน้ำตกเหินหาวบนเขาทิศเหนือนอกเมือง กล้าไปตามนัดหรือไม่?”

“ตกลงตามนี้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ โบกมือพลางเอ่ยว่า “ปล่อยนางไป!”

คนที่ปิดล้อมอยู่แหวกทางเปิดช่องให้ เสวียนจื่อชุนเดินออกจากวงล้อม หันหลังกลับมาอีกครั้ง ค่อยๆ เดินถอยหลังพร้อมกับมองสหายของตนไปด้วย

กลุ่มคนที่ปิดล้อมอยู่เดินเข้ามาจัดการ ริบอาวุธและลงผนึกทั่วร่างของชายทั้งสอง จับเป็นตัวประกัน

ชายทั้งสองไม่ได้ขัดขืน ในเมื่อตอบตกลงเป็นตัวประกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขัดขืนอีกต่อไป ทั้งสองมองดูเสวียนจื่อชุนที่เดินถอยหลังออกไป

สุดท้าย เสวียนจื่อชุนพลันหันหลังกลับ สาวเท้าเดินจากไป

ลิ่งหูชิ่วและเฟิงเอินไท่สบตากันเล็กน้อย เหตุใดถึงรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าการท้าสู้ครั้งนี้คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไป เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเสวียนจื่อชุนมาท้าสู้ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ากลายเป็นหนิวโหย่วเต้าที่บีบให้เสวียนจื่อชุนท้าสู้ไปเสียเล่า

เฟิงเอินไท่เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าตอบรับคนนี้ หลังจากนี้ก็จะมีคนต่อไปอีก เกรงว่าคงมีการท้าสู้เช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ตอบรับก็จะมีคนมาหาไม่จบไม่สิ้น”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ตอบรับคำท้าสู้เช่นนี้ไปเรื่อยๆ กระมัง?”

“หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน พลันโบกมือส่งสัญญาณไปทางนอกศาลา หยุดไม่ให้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรพาตัวชายสองคนนั้นออกไป

กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรหยุดเท้ามองดูเขา ไม่ทราบว่ามีคำสั่งใดอีก

ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตัดหัวสองคนนี้ซะ นำไปส่งให้เสวียนจื่อชุนคนนั้นในวันพรุ่ง!”

ทุกคนตะลึงงัน

ชายทั้งสองที่ถูกจับตกตะลึง

ชายคนหนึ่งตะโกนกร้าวขึ้น “หนิวโหย่วเต้า เจ้าคนสับปลับ!”

ชายอีกคนร้องว่า “หนิวโหย่วเต้า ไอ้สารเลวพูดกลับกลอก!”

เพิ่งจะตะโกนออกมาก็ถูกคนลงมือสกัดจุดใบ้เอาไว้ พยายามดิ้นรนขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ เรียกได้ว่าพยายามกระเสือกกระสนอย่างสุดกำลังโดยแท้จริง

สีหน้าหนิวโหย่วเรียบเฉย ค่อยๆ ยกสุราขึ้นจิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ไม่มองออกไปด้านนอกอีกเลย

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงแน่ใจในคำสั่งของเขาแล้ว นี่มิใช่การข่มขู่ หากแต่ต้องการสังหารจริงๆ!

ชายทั้งสองคนถูกลากตัวไปที่หน้าแปลงดอกไม้ทันที แสงเยียบเย็นส่องวาบขึ้นสองสาย ดาบถูกยกตวัด โลหิตสดๆ พุ่งกระฉูดใส่แปลงดอกไม้ กิ่งบุปผาที่ถูกโลหิตสาดรดไหวโอนเอน โลหิตสดๆ ไหลหยดย้อย ศีรษะขนาดใหญ่สองหัวร่วงลงบนพื้น

ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่สบตากันเงียบๆ หลงนึกว่าจะจับสองคนนี้ไว้เป็นตัวประกันจริงๆ ผู้ใดจะทราบว่ากลับสั่งตัดหัวพวกเขาทั้งสอง ส่วนทั้งสองคนนั้นก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะขัดขืนด้วยซ้ำ ถูกจับตัว ตัดหัว ง่ายดายถึงเพียงนี้

ก่อนหน้านี้ยังพูดจาทำนองว่าหากต่อสู้จะทำให้ฝ่าซือที่พิทักษ์เมืองหลวงรู้ตัวได้ แต่นี่ไม่ได้มีการต่อสู้เกิดขึ้นเลย หนิวโหย่วเต้าพูดไม่กี่คำกลับสั่งตัดหัวทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย ไม่มีเสียงอึกทึกวุ่นวายแม้แต่น้อย

วันนี้ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่นับว่าได้รู้ซึ้งความโหดเหี้ยมโดยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงของคนผู้นี้แล้ว เป็นคนที่สังหารคนได้โดยไม่กะพริบตาโดยแท้ ซ้ำมือยังไม่เปื้อนเลือดเลยด้วยซ้ำ

ล้วนได้เห็นหนิวโหย่วเต้าในอีกมุมหนึ่งแล้ว ดูอายุน้อยอ่อนเยาว์ แต่กลับเหมือนคนที่มือเคยอาบเลือดมาไม่น้อยเลย

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ต่างคนต่างเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หนิวโหย่วเต้ามาครั้งนี้คล้ายจะไม่มีความเมตตาอันใดเลย ผู้ใดกล้าหาเรื่องเขา เขาไม่มีทางเกรงใจ ลงมือสังหารทิ้งจนสิ้น!

ลิ่งหูชิวเหลือบมองพื้นด้านนอกที่ถูกเก็บกวาดไปแล้ว เอ่ยเตือนเสียงเรียบ “น้องหลิว เจ้าสังหารพวกเขาสองคน แล้ววันพรุ่งนี้จะอธิบายกับเสวียนจื่อชุนคนนั้นอย่างไรเล่า?”

“ข้าไร้ความบาดหมางกับพวกเขา แต่พวกเขากลับวิ่งมาหาเรื่องข้า กล้าทำก็ต้องเตรียมใจรับผลที่จะตามมาด้วย” หนิวโหย่วเต้าชูจอกเชื้อเชิญพวกเขา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ต้องอธิบายด้วยหรือ?”

เฮยหมู่ตานมองหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!

ต้วนหู่ออกไปส่งเสวียนจื่อชุน พอกลับมาเห็นภาพเก็บศพทำความสะอาดพื้นที่ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย เพียงแต่ยังคงเร่งเดินเข้ามาในศาลา ยื่นเทียบเชิญฉบับหนึ่งให้อีกครั้ง “เต้าเหยี่ย มีคนมาท้าสู้อีกแล้วขอรับ”

ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่สบตาแล้วส่ายหน้าให้กัน พากันยิ้มเจื่อนออกมา

“ไม่ดูแล้ว” หนิวโหย่วเต้าไม่รับเทียบเชิญ กลับหยิบเทียบเชิญที่อยู่บนโต๊ะยื่นส่งให้ต้วนหู่ “ข้าไม่ได้มีเวลาว่างพอจะมานั่งเล่นกับพวกเขา เอาเทียบเชิญฉบับนี้ไปบอกปัดคนที่อยู่ด้านนอกเสีย หากมีคนมาอีก ก็ให้บอกพวกเขาไปว่าข้ารับคำท้าของเสวียนจื่อชุนแล้ว จะไปสู้กันที่ลานน้ำตกเหินหาวบนภูเขาทิศเหนือนอกเมืองในวันพรุ่งนี้ หากต้องการท้าสู้ต่อ ก็รอให้ข้าสู้กับเสวียนจื่อชุนเสร็จแล้วค่อยว่ากัน บอกพวกเขาว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ให้ทยอยมากันทีละคน!”

“ขอรับ!” ต้วนหู่ตอบรับ รับสารท้าสู้ของเสวียนจื่อชุนไป

เฟิงเอินไท่ถาม “เจ้าจะรับคำท้าทุกคนจริงๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ขอเพียงมีคนกล้ามาท้าสู้”

เฟิงเอินไท่ถาม “เช่นนั้นเจ้ายังจะมีเวลามาจัดการเรื่องม้าศึกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พบเขาขวางบุกเบิกทาง พบน้ำสร้างสะพานข้าม ปัญหาต้องแก้กันไปทีละจุด รีบร้อนไปก็ไม่ได้อะไร”

ลิ่งหูชิวพูดไม่ออก เดินทางอืดอาดยืดยาดมาตลอดทาง ซ้ำตอนนี้ยังมีแก่ใจมารับคำท้าสู้ของทุกคนอีก คนผู้นี้เหมือนมาจัดการเรื่องม้าศึกเสียที่ไหน? ไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ จนปัญญาที่คนผู้นี้อมพะนำเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากพูด เจ้าถามไปก็ไร้คำตอบ

เฟิงเอินไท่เองก็สงสัยเช่นกัน มองไปรอบๆ พลางถามว่า “ที่นี่ยังมีที่พักเหลือหรือไม่? ถ้ามีก็จัดห้องพักให้ข้าสักห้องเถอะ”

ทางสำนักหยกสวรรค์ส่งข่าวมาหาเขา บอกว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้ค่อนข้างมีความสามารถ สำนักหยกสวรรค์หมายตาผลประโยชน์ทั่วทั้งมณฑลหนานโจวเอาไว้ ขอเพียงเอาม้าศึกมาได้ หากอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นก็ให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต้าไปเสีย

ผลคือรอแล้วไม่มา รอเล่าก็ยังไม่มา ไม่ง่ายเลยกว่าอีกฝ่ายจะเดินทางมาถึง เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงอยากจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูว่าคนผู้นี้คิดจะเล่นลูกไม้อันใดกันแน่

“มี” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยสั่งเฮยหมู่ตาน “เจ้าช่วยจัดการให้พี่เฟิงหน่อย”

สำหรับตัวเขาที่ยังไม่คุ้ยเคยกับสถานที่ การที่มียอดฝีมือห้อมล้อมรอบตัวมากหน่อยไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานรับคำสั่ง…

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ มีคนมาท้าสู้ถึงที่อย่างต่อเนื่อง ทางนี้ก็ยกเสวียนจื่อชุนมาเป็นข้ออ้าง บอกปัดไปเรื่อยๆ ข่าวแพร่กระจายไปในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั่วเมืองหลวงทันที เกิดความโกลาหลขึ้นมา

“ได้ยินข่าวแล้วใช่ไหม หนิวโหย่วเต้าคนนั้นพอมาถึงก็รับคำท้าทันที มีนัดหมายต่อสู้ที่ลานน้ำตกเหินหาวบนภูเขาทิศเหนือนอกเมืองในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้”

“รู้แล้ว เสวียนจื่อชุน สตรีคนนี้ข้ารู้จัก แต่ก่อนอยากอาศัยพึ่งใบบุญแม่ทัพคนหนึ่ง แต่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรของจวนแม่ทัพสร้างความลำบากใจให้จนต้องอับอายขายหน้า”

“ทันทีที่ข้าได้ข่าว ข้าก็รีบไปส่งสารท้าสู้ในทันที ใครจะไปรู้ว่าจะช้าไปก้าวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะสตรีคนนี้คว้าโอกาสไปก่อนแล้ว”

“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นสามารถจัดการได้ง่ายๆ? คนผู้นั้นสามารถสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนได้ทั้งๆ ที่มีผู้บำเพ็ญเพียรรายล้อมอยู่รอบกาย ซ้ำยังสังหารจั๋วเชาได้ จะใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ หรือ?”

“มีผู้ใดเคยได้ยินเรื่องฝีมือการต่อสู้ของเขาหรือ? คนบ้าเท่านั้นแหละที่เชื่อว่าเขาสังหารจั๋วเชาได้ ต้องมีอะไรแอบซ่อนอยู่ในเรื่องนี้เป็นแน่”

“หากมิใช่เพราะเขาสังหารจั๋วเชาได้ก็คงไม่มีใครไปหาเขาหรอก สภาวะแค่ระดับสร้างฐาน โอกาสเช่นนี้มีไม่บ่อย มีโอกาสทั้งที ใครบ้างจะไม่อยากลองดู”

“เกรงว่าวันนี้เสวียนจื่อชุนคนนั้นคงต้องซ่อนตัวแล้วกระมัง มิเช่นนั้นอาจมีคนขุ่นเคืองว่านางขวางทาง ต้องการกำจัดนางทิ้ง”

“อยู่ในเมืองหลวง ผู้ใดจะกล้าก่อความวุ่นวายส่งเดช? แต่ก็นั่นแหละ นางคงจะพยายามหลบเลี่ยงการเป็นจุดเด่นเป็นแน่”

“พวกเจ้านี่นะ ข้าว่าต่อให้เสวียนจื่อชุนคนนั้นเอาชนะหนิวโหย่วเต้าได้แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า? ประเดี๋ยวก็คงมีคนไปท้าสู้นางต่ออยู่ดีหรือเปล่า?”

“เหลวไหล คนที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนคือหนิวโหย่วเต้า คนที่สังหารจั๋วเชาก็คือหนิวโหย่วเต้า เอาชนะหนิวโหย่วเต้ากับเอาชนะเสวียนจื่อชุน สองกรณีนี้จะนำมาเทียบกันตรงๆ ได้หรือ? อีกอย่าง สภาวะของหนิวโหย่วเต้าอยู่ในระดับสร้างฐาน เสวียนจื่อชุนอยู่ในระดับโอสถทอง เจ้าว่าคนไหนมีโอกาสชนะมากกว่าล่ะ? ก็เพราะหนิวโหย่วเต้าสภาวะไม่สูง สามารถจัดการได้ไม่ยาก ถึงได้มีคนไปท้าสู้มิใช่หรือ? ”

“ข้ายังคงคิดว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายดายปานนั้น หากไม่เชื่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลองไปดูก็รู้เอง”

สภาพภูมิประเทศภายในเมืองเป็นเนินเขา บนเนินมีเหลาสุราแห่งหนึ่ง เดินทางไปค่อนข้างลำบาก ผู้ที่มาส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งที่นี่เป็นสถานที่พบปะพูดคุยกันของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวง เวลานี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่

……

ณ เรือนเมฆาขาว ฉินเหมียนเดินออกมาจากส่วนลึกของหอบุปผา มายังแถบเรือนด้านหลังที่เงียบสงัด รีบเข้าไปที่ห้องส่วนตัวของซูจ้าว

ภายในถังไม้มีไอร้อนลอยกรุ่น ซูจ้าวกำลังอาบน้ำอยู่ ฉินเหมียนปิดประตูเดินเข้าไปหา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เจ้าค่ะ มีคนไปท้าสู้กับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ เจ้าค่ะ”

ซูจ้าวหันมาถาม “เขารับคำท้าหรือไม่?”

ฉินเหมียนยิ้มแป้นเอ่ยไปว่า “รับเจ้าค่ะ คนของพวกเราคอยจับตามองทางนั้นอยู่ตลอด แค่คนแรกที่ไปส่งสารท้าสู้ให้ถึงที่พัก หนิวโหย่วเต้าก็รับไว้เลย ต่อมามีคนทยอยไปท้าสู้อย่างต่อเนื่อง ทางหนิวโหย่วเต้าตอบกลับชัดเจน จะรับคำท้าทุกคน!”

ซูจ้าวนึกสนใจเป็นอย่างยิ่งนัก ขัดตัวพลางมองนาง เอ่ยถามว่า “พลังของผู้ท้าสู้เป็นอย่างไร?”

ฉินเหมียนใคร่ครวญเล็กน้อย “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่ง นามว่าเสวียนจื่อชุน สภาวะกลับไม่อ่อนด้อยเลยเจ้าค่ะ มีสภาวะระดับโอสถทอง ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง นับว่าพื้นๆ เจ้าค่ะ ไม่อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งอะไรมากนัก”

ซูจ้าวยิ้มออกมา “ดูเหมือนจะมีคนไม่น้อยเลยที่อยากอาศัยชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต้า ไม่แข็งแกร่งก็ไม่เป็นไร ยังมีคนแห่กันเข้าไปเรื่อยๆ มิใช่หรือ?”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “นายหญิง เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้ค่อนข้างผิดปกติล่ะเจ้าคะ ทันทีที่มีคนมาท้าสู้ เขาก็ตอบรับเลย ไม่รับคำท้าเร็วเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ? ส่งข่าวไปหาคุณชายเซ่าก่อนดีไหมเจ้าคะ ดูว่าเขามีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”

ซูจ้าวยกแขนเปียกปอนที่กำลังขัดถูร่างกายพลางโบกมือ “พวกเราไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้เลย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องบอกเขาหรอก มิเช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าเขาจะขัดขวาง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้เขากังวล อีกอย่าง กว่าปีกทองจะไปกลับมณฑลเป่ยโจว ผลแพ้ชนะคงจะออกมาแล้ว รอดูผลที่ออกมาในวันพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า เจ้าไปจัดการหน่อย วันพรุ่งนี้ข้าก็อยากไปดูเหมือนกัน อยากเห็นอยู่พอดีว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นเป็นอย่างไร”

……

ตกดึก ณ วังหลวงอันกว้างใหญ่และเงียบสงัด

ในศาลาอาคารบางส่วนหรือในมุมมืด ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยคอยซ่อนตัวเฝ้าระวังอยู่ สังเกตการณ์ระวังภัย คอยรักษาความสงบภายในวังหลวง

ในพื้นที่โล่งแจ้ง มีทหารสวมชุดเกราะถือหอกดาบเดินลาดตระเวนอยู่เป็นระยะ เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ภายในลานเรือนที่จุดโคมไฟสว่างไสวมีดรุณีแรกรุ่นในชุดชนเผ่าพื้นเมืองอยู่คนหนึ่ง ในมือกุมกระบี่ไว้ สะบัดเปียเส้นเล็กที่ถักไว้ทั่วศีรษะ พุ่งออกมาจากในตำหนัก

สตรีนางหนึ่งไล่ตามหลังมาพลางร้องตะโกนว่า “องค์หญิง องค์หญิงเพคะ ท่านออกไปไม่ได้นะเพคะ!”

สตรีวัยกลางคนที่สวมชุดขาวนางหนึ่งเหินกายออกมา ขวางอยู่หน้าประตู เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย “องค์หญิง ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว คิดจะออกไปไหนอีกเพคะ?”

ดรุณีน้อยผิวขาวผุดผ่องดั่งกระเบื้องเคลือบ ดวงเนตรสุกสกาว วงพักตร์งามจิ้มลิ้ม นับเป็นโฉมงามที่ยวนใจคนเป็นอย่างยิ่ง ในความสูงศักดิ์เจือเสน่ห์เย้ายวนไว้เล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากอันอวบอิ่ม เชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง “ซานเหนียง เจ้าบอกข้ามาตามตรง นอกวังเกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นแล้วกระมัง เจ้ากำลังปิดบังข้าไว้ใช่หรือไม่?”

……………………………………………………………….