บทที่ 274 ร่างไม่เน่าเปื่อย โฉมไม่เสียหาย

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 274 ร่างไม่เน่าเปื่อย โฉมไม่เสียหาย

เสียงของนางเบาบาง พูดออกมาท่ามกลางเสียงฝนที่ตกหนัก สามารถกล่าวได้ว่าอาจจะไม่ได้ยิน

แต่ว่า

จื่อซีกลับได้ยิน

อีกทั้งยังได้ยันชัดเจน

เพียงแต่ เขานิ่งอึ้งไปสักพัก จึงพูดขึ้นว่า “ขอรับ”

ไม่ว่าเจ้านายจะทำอะไร พวกเขาแค่ทำต่อก็พอแล้ว

จื่อเฟิงหลังจากได้ยินที่พูดจบ ก็รีบปรากฏตัวออกมา ในมือเตรียมพลั่วสำหรับขุดดินไว้พร้อมแล้ว

มองร่มที่จื่อซียื่นมาให้ หลานเยาเยารับไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หลุมฝังศพ

จากนั้น มองหลุมฝังศพของมารดาที่ค่อยๆถูกขุดออก เสียงของนางที่สงบดุจสายน้ำค่อยเริ่มมีคลื่นเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย

นางรู้

ตั้งแต่สมัยโบราณจนตอนนี้ ไม่ว่าเวลาไหน ขุดหลุมฝังศพของมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเรื่องเนรคุณอย่างยิ่ง

แต่ว่า นางไม่มีทางเลือก

อยากรู้สาเหตุการตายที่แท้จริงของแม่ การขุดหลุมฝังศพและชันสูตรเป็นวิธีที่รวดเร็วและได้ผลมากที่สุดแล้ว

เพราะฉะนั้น

นางจึงได้ฉวยโอกาสที่สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ลงมือ หากหลังจากนี้มีคนมาถึงที่นี่ ก็จะสังเกตเห็นได้ยากว่าหลุมฝังศพเคยถูกขุด

ท้ายที่สุด จากการชำระล้างของสายฝน ร่องรอยทั้งหมดจะถูกกลบจนมิด

“ซู่······”

ลมแรงและฝนที่ตกหนักไม่มีทีท่าจะหยุดลง

และหลานเยาเยาก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและฝน แม้จะถือร่มไว้ แต่ในลมกรรโชกนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

เปียกปอนไปหมดทั่วเรือนร่าง กางหรือไม่กางร่มก็ไม่จำเป็นแล้ว

ไม่ช้า โลงศพใบหนึ่งที่สีเปลี่ยนไปแล้วบ้างก็ถูกขุดออกมา ด้วยการชะล้างจากน้ำฝน ไม่รู้ว่าเป็นผงสีดำอะไรที่อยู่บนฝาโลงถูกน้ำฝนชะลงไปยังใต้โลง

“มืออย่าเตะต้องโลงศพ ใช้เครื่องมือเปิดออกก็พอ”

“ขอรับ”

ไม่ว่าผงสีดำนั้นจะมีพิษหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย ไม่เตะต้องดีที่สุด

แต่ว่า

หลานเฉินมู๋เคยบอกไว้ว่า ที่หลุมฝังศพของแม่นางไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียว และยังเคยเกิดเรื่องแปลกๆขึ้นด้วย

เพราะฉะนั้น นางแน่ใจว่า ผงสีดำนั้นต้องเป็นเหตุให้ไม่มีหญ้าขึ้นที่หลุมฝังศพเป็นเป็นแน่

ก่อนเปิดโลงศพ หลานเยาเยาให้จื่อฉีสร้างเพิงเล็กๆที่สามารถบังโลงศพไว้ได้ ค่อยเปิดฝาโลง

ชั่วพริบตาที่โลงศพถูกเปิดออก  นางเอามุกเย่หมิงออกมาส่องสว่างท้องฟ้าที่มืดมิด แต่ว่า ตอนที่สายตาของนางจรดลงบนร่างไร้วิญญาณในโลงศพนั้น นางเบิกตากว้าง

หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ ไม่มีสีเลือดเลยสักนิด ใบหน้างดงามหมดจด เหมือนกันกับหน้าตาของนางอยู่เจ็ดถึงแปดส่วน

รูปลักษณ์เช่นนั้น มากสุดก็คงจะยี่สิบปี

เป็นนาง

ในสนามม้าของราชวงศ์ ตอนที่นางบรรเลงจิ่วเซียวหวนเพ่ย ที่เกิดภาพในหัว หญิงสาวที่อุ้มจิ่วเซียวหวนเพ่ยไว้ในอ้อมอกที่สุดก็กระโดดลงจากกำแพง

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแม่ของนางเอง

ยิ่งคิดไม่ถึงว่า นางตายไปหลายปีแล้ว แต่ร่างยังไม่เน่าเปื่อย โฉมไม่เสียหาย

นอกจากใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด และดวงตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทแล้ว นางก็เหมือนกับนอนหลับใหลไปแล้วหลายปี

“คุณหนู ฮูหยินนาง……”ตายไปแล้วหลายปีจริงหรือ

นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ขณะที่กำลังตื่นตกใจ

จื่อซีเห็นหลานเยาเยาขยับร่างกาย คิดจะกระโดดลงไปในหลุมฝังศพ เขาคิดจะเตือนนางสักนิด

แต่กลับถูกหลานเยาเยายกมือขึ้นห้ามไว้

“วางใจเถอะ ข้าเป็นหมอ”

พูดอยู่ หลานเยาเยาก็หยิบยาผงออกมาก ให้จื่อเฟิงโรยไปรอบๆหลุมฝังศพ จากนั้นก็กระโดดลงไป   

แม้จะตกตะลึง หลานเยาเยาก็ยังคงสวมถุงมืออย่างสงบและใจเย็น ตรวจสอบร่างของศพ ท่านแม่

ขอให้วิญญาณท่านที่อยู่บนสวรรค์โปรดเข้าใจ

หลังจากตรวจสอบไปสักพัก นางก็พบเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตกใจ

ในกระเพาะของศพแม่ นอกจากจะมีการใช้ยาพิษมาเป็นเวลานาน นางยังเคยใช้ยาอย่างอื่นร่วมด้วย และยาชนิดนั้นได้หลอมรวมเข้ากับร่างนาง

และเป็นยาชนิดนี้เอง ที่สามารถทำให้ร่างของนางไม่เน่าเปื่อย โฉมไม่เสียหาย

คิดไม่ถึงว่า บนโลกนี้จะมียาชนิดนี้อยู่จริงๆ

และยังอยู่ในสมัยโบราณนี้ด้วย

หากท่านแม่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้นางจะไม่สามารถเป็นอมตะ แต่อย่างน้อยก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยปี และใบหน้าของนางก็จะคงสภาพอยู่เหมือนเดิมตอนที่นางกินยา อ่อนเยาว์ตลอดกาล

อธิบายให้ชัดเจน ก็คือยาที่ทำให้อ่อนเยาว์ไม่รู้โรย

เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ คำถามในใจหลานเยาเยายิ่งอยู่ยิ่งทวีความหนาแน่นขึ้น

บางที เบื้องหลังการตายของท่านแม่ เป็นแผนการร้ายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

หรือบางที แผนการร้ายทั้งหลายเริ่มขึ้นเพราะท่านแม่ได้กินยาที่ทำให้อ่อนเยาว์ไม่รู้โรย

และตอนนี้นางก็ยังคงอยู่ในแผนชั่วร้ายนั้น

สามปีก่อน หลานเฉินมู๋เคยบอกกับนางถึงเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับหลุมฝังศพของท่านแม่ หลอกล่อนางให้มาที่นี่

หลังจากนั้นสามปี พิณโบราณ จิ่วเซียวหวนเพ่ย ก็ได้หลอกล่อให้นางมาที่นี่อีกครั้ง

หรือจะเป็นแค่ความบังเอิญที่จะให้นางพบกับความลับนี้

ไม่

เป็นไปไม่ได้

คิดถึงตรงนี้ คิ้วของหลานเยาเยาขมวดแน่น เอ่ยขึ้นทันที

“จื่อซี ไปจัดเตรียมโลงศพเก่า กับกระดูกของศพเพศหญิงที่อายุใกล้เคียงกับท่านแม่”

นางจะทำการลักขื่อเปลี่ยนเสา

“ขอรับ”

จื่อซีฟังออกถึงน้ำเสียงหนักแน่นของหลานเยาเยา เขารีบออกไปทันที

จากนั้น หลานเยาเยาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับท่านแม่ ใส่ไว้ในโลงศพใบใหม่ จากนั้นก็เก็บไว้ในระบบ

และศพที่ให้จื่อซีหามานั้นให้สวมชุดเก่าของท่านแม่ จากนั้นก็บรรจุลงในโลงศพเก่า และฝังลงหลุมศพเดิมอีกครั้ง

สุดท้าย ทำให้หลุมฝังศพกลับคืนสภาพเดิม จากนั้นก็จัดการกับร่องรอยต่างๆ ค่อยจากไปอย่างวางใจ

แล้วก็เดินลัดเลาะเลี้ยวเช่นเดิม หลานเยาเยาหลบลี้สายตาของเหล่าจวนขุนนางรอบๆตัว จึงกลับสู่จวนของตัวเองได้

เห็นจื่อซีและจื่อเฟิงที่เปียกปอนไปทั้งตัว นางรีบเอาเสื้อผ้าบุรุษที่ดูหรูหราพับใหญ่ออกมาจากระบบ

โยนไปให้ในอ้อมแขนของพวกเขาอย่างเจ็บปวดใจ

ชุดพวกนี้ล้วนให้คนตัดตามขนาดตัวของพวกเขา เป็นผ้าชั้นดีที่สุด

ใช้ตั๋วเงินของนางไปไม่น้อยเลย

เดิมคิดว่าจะเก็บไว้นานสักหน่อย รอให้พวกเขาเป็นหนุ่มแล้วจึงค่อยให้พวกเขาใส่

แต่พวกเขาตัวเปียกไปหมดแล้ว จะให้นางไร้น้ำใจได้อย่างไร

ฉะนั้นจึงเอาให้พวกเขาไปหมด

ดูสิ

นางเป็นคุณหนูที่มีความห่วงใยพอหรือไม่

ใครจะรู้ว่า

จื่อซีและจื่อเฟิงต่างก็อุ้มชุดเสื้อผ้าที่ดูดีเอาไว้คนละกอง เลือกโน่น เลือกนี่

จากนั้นก็ปรึกษากันเบาๆว่า

“นี่มันเป็นแบบเสื้อผ้าของปีที่แล้ว ครั้งที่แล้วที่คุณหนูให้เสื้อผ้าพวกเราเป็นเสื้อผ้าที่เก็บไว้เพียงสามเดือนเท่านั้น ครั้งนี้เก็บไว้นานถึงหนึ่งปี ปีนี้เราปฏิบัติตัวไม่ดีพอใช่หรือไม่ ”จื่อซีแอบถามจื่อเฟิง

“ไม่รู้”

“ทุกครั้งที่ถามเจ้า เจ้าก็ตอบว่าไม่รู้ แล้วเจ้ารู้อะไร”

“สีหน้าของคุณหนูดูดีมาก”

ได้ยินดังนั้น

จื่อซีหันหน้าไปมองเหมือนเครื่องจักร ก็เห็นว่าหลายเยาเยากำลังมองนางด้วยสีหน้าอึมครึม

เออ

ทำไมคุณหนูยังไม่ไปอีก

ทุกครั้งที่นางให้เสื้อผ้าพวกเขาแล้วก็จะจากไปทันทีมิใช่หรือ

ฟู่ฟู่ฟู่

“คุณหนู ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

เป็นเรื่องแล้ว รีบไปดีกว่า

จื่อเฟิงเห็นจื่อซีกลายเป็นเต่าหดหัวไปแล้ว และสายตาของคุณหนูก็หันมาที่ตัวเขา

เขาก็รับรู้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ รีบเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าน้อยขอลา”

พูดจบ ก็รีบจากไปทันที

“ชิ มีให้ใส่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังกล้าเลือกโน่นนี่ หากยังกล้าเรื่องมากอีก ทีหลังจะให้พวกเจ้าได้เปลือยร่างเดิน”จากนั้นมุมปากของหลานเยาเยาก็มีรอยยิ้มขึ้นมา

ยิ่งอยู่ก็ยิ่งฉลาดขึ้น

ล้วนเพราะความดีของนาง ยิ่งสั่งสอนก็ยิ่งฉลาดขึ้นแล้ว