สีหน้าของนายประตูที่อยากพูดแล้วหยุดและสีหน้าตึงที่เครียดกับการก้าวอย่างฉับไวของบ่าวรับใช้ ล้วนแต่ทำให้เจียงซื่อรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในจวน
เจียงซื่อจึงขวางบ่าวรับใช้คนหนึ่งไว้และเอ่ยถาม “เกิดเรื่องขึ้นในจวนใช่หรือไม่”
บ่าวรับใช้มองเจียงอีหนึ่งที
สีหน้าของเจียงซื่อพลันนิ่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น”
บ่าวรับใช้กล่าวอย่างระมัดระวัง “เอ้อร์ไท่ไท่หายตัวไปขอรับ!”
เจียงซื่อตกใจมาก “เรื่องราวเป็นอย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวแพร่กระจายไปทั่วจวนแล้ว บ่าวรับใช้เริ่มบอกเล่าในสิ่งที่ตนเองรู้ทั้งหมด “วันนี้ เอ้อร์ไท่ไท่ไปไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋น พอไปได้ครึ่งทาง พลันมีคนปิดหน้าสองคนพุ่งออกมาเตะเหล่าจางคนขับรถม้าลง แล้วขับรถม้าหนีไป…”
“สวรรค์!” เจียงอีประหลาดใจและปิดปากด้วยความตื่นตระหนก
วันนี้เกิดอะไรขึ้น นางกับน้องสี่ประสบอุบัติเหตุต่อเนื่อง แม้แต่อาสะใภ้รองก็เกิดเรื่อง…
หัวใจของเจียงซื่อเต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกกลัวจนพูดไม่ออก หากว่าวันนี้นางเป็นคนที่นั่งรถม้าของจวนปั๋วไปวัดไป๋อวิ๋น จะเป็นเช่นไร
เจียงซื่อไม่ได้รู้สึกว่าตนคิดมากไป ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด ทุกๆ ฝีก้าวมีแต่ความเสี่ยง สำหรับนาง ทุกๆ อุบัติเหตุนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นโดยฝีมือคน
เพียงแค่นึกคิด หากว่าในวันนี้นางขึ้นรถม้าของจวนปั๋ว ถ้าเช่นนั้นคนที่หายตัวไปก็คือนาง กับการหายตัวไปของเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อ เจียงซื่อไม่ได้ดีใจ มีแต่ความหนักใจ
เรื่องนี้จะปล่อยไปโดยมักง่ายไม่ได้เป็นอันขาด
“ตอนนี้อาสะใภ้รองกลับมาหรือยัง”
บ่าวรับใช้กล่าว “ยังขอรับ นายท่านสามคนออกไปหาทุกคน ตอนนี้มีเพียงนายท่านใหญ่กลับมาแล้ว”
“น้องสี่…” เจียงอีขานเรียกพร้อมสีหน้าซีดเผือด นางกล่าวด้วยความไม่สบายใจ “ข้าว่าข้ากลับก่อนดีกว่า ที่จวนวุ่นวายเพียงนี้ ไม่ควรเพิ่มความวุ่นวายให้กับท่านพ่ออีก…”
เมื่อเห็นว่าจูจื่ออวี้ตามมาจนถึงประตูใหญ่จวนปั๋ว เจียงซื่อพลันดึงมือเจียงอีไว้ “พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ไม่ถูก ยิ่งเรื่องราวมาประจบพร้อมกันก็ยิ่งน่าสงสัย เรื่องของวันนี้อย่างไรเสียก็ต้องรายงานถึงท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“นายท่านใหญ่ มาด้วยหรือขอรับ” นายประตูรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่เห็นเจียงอี พอเห็นจูจื่ออวี้รีบลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาข้างในทันทีก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
จูจื่ออวี้พยักหน้าให้กับนายประตูอย่างรีบร้อนและก้าวเท้ามาหาอย่างฉับไว “อีเหนียง ช้าก่อน”
เมื่อเห็นพี่ใหญ่หยุดเดิน เจียงซื่อจะดึงให้เดินต่อก็ทำไม่ได้ จึงยอมรออยู่ที่เดิม พอจูจื่ออวี้เดินมานางยิ้มเย็นชาและกล่าว “พี่เขยเพิ่งรับปากไป จะคืนคำแล้วหรือเจ้าคะ”
สายตาที่ผิดปกติของบ่าวรับใช้จวนปั๋ว ทำให้จูจื่ออวี้รู้สึกทำตัวไม่ถูกมาก จึงฝืนยิ้มและกล่าว “ข้ายังยืนยันคำเดิมแน่นอน…”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นเราไปพบท่านพ่อด้วยกันเลย” เจียงซื่อดึงเจียงอีและตรงไปยังเรือนฉือซิน
เจียงซื่อเข้าใจแล้วว่า กับคนที่ประพฤติตนดีในทุกๆ เรื่อง อย่างจูจื่ออวี้ หากนางปฏิบัติตนเป็นคุณหนูผู้อ่อนโยนและเงียบงันเหมือนดั่งคุณหนูส่วนใหญ่ มันไม่มีทางได้ผล มีเพียงยอมเสียหน้าเท่านั้นถึงจะได้เปรียบกว่า
เจียงซื่อคิดไม่ผิด เวลานี้เจียงอันเฉิงอยู่ที่เรือนฉือซินพอดี ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจเมื่อเห็นนางเดินเข้ามา “ซื่อเอ๋อร์ เจ้ากลับมาสักที พี่รองเจ้าล่ะ”
เจียงอันเฉิงตะลึงตกใจเมื่อมองเห็นเจียงอี “อีเอ๋อร์ก็มาด้วยรึ”
เจียงอีกับจูจื่ออวี้น้อมทักทายกับเจียงอันเฉิงและเฝิงเหล่าฮูหยินทันที
สีหน้าอันหนักหน่วงของเฝิงเหล่าฮูหยินพลันผ่อนคลายลงเมื่อเห็นจูจื่ออวี้ “อาฝู รินน้ำชาให้นายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่”
เจียงอันเฉิงไม่สนใจพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ เขาเอ่ยถามเจียงซื่อ “พี่รองเจ้าไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ”
“พี่รองไปหาข้าหรือเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงพยักหน้า “อาสะใภ้รองเจ้าถูกคนลักพาตัวไป เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าไม่สบายใจ จึงสั่งให้พี่รองเจ้าไปหาเจ้า”
“ลูกคงคลาดกับพี่รองน่ะเจ้าคะ”
เวลานี้อาฝูกำลังรินน้ำชา เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อีเอ๋อร์ วันนี้ ทำไมเจ้ากับหลานเขยมาที่นี่ด้วยกันได้”
เจียงอีกับจูจื่ออวี้ได้แต่มองกันไปมองกันมา ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
“เพราะมีเรื่องจะรายงานต่อท่านพ่อกับท่านย่าเจ้าค่ะ” เจียงซื่อไม่ได้รู้สึกว่าพูดยาก จึงได้กล่าวสิ่งที่เผชิญในวันนี้ออกมา สุดท้ายกล่าวด้วยหน้าเย็นชา “มีคนจากตระกูลจูจะทำร้ายพี่ใหญ่ ข้าวางใจไม่ลง เลยพาพี่ใหญ่กลับมา เพื่อให้ท่านย่ากับท่านพ่อช่วยพี่ใหญ่ตัดสินใจเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อได้ฟัง
บุตรสาวที่แต่งออกไปเท่ากับน้ำที่สาดออกไป เรื่องม้าตื่นตกใจควรจะกลับไปตรวจสอบที่จวนจู อย่างมากก็คงเป็นอุบายระหว่างหญิงสาวที่อยู่ท้ายเรือน จัดการแก้ไขกันภายในก็พอ เจียงซื่อพาคนมาถึงจวนปั๋ว ซึ่งเป็นการเพิ่มความวุ่นวายไม่ใช่หรือ จะให้จวนปั๋วแทรกแซงเรื่องของตระกูลจูคงมิได้หรอกกระมัง
เจียงอันเฉิงตบโต๊ะดัง ปัง “ซื่อเอ๋อร์ทำดีมาก!”
เจียงซื่อยิ้มเบาๆ “ลูกได้ฟ้องทางการด้วยเจ้าค่ะ”
“ก็ควรทำเช่นนี้!”
“พาลหาเรื่อง!”
เสียงของเจียงอันเฉิงกับเฝิงเหล่าฮูหยินดังขึ้นพร้อมกัน ท่าทีที่แตกต่างกันสิ้นเชิงของทั้งสองคน พลันทำให้บรรยากาศยิ่งอึดอัด
ท่าทีของเฝิงเหล่าฮูหยินไม่ได้ผิดคาดไปจากการคาดเดาของเจียงซื่อ นางขยับสายตาและมองเฝิงเหล่าฮูหยินอย่างสงสัย “ท่านย่ารู้สึกว่าหลานทำไม่ถูกหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกโกรธมาก แต่ต้องพยายามเก็บความโกรธเอาไว้ “คนบริสุทธิ์ทั้งคน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฟ้องต่อทางการเลย จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้อื่นหรือ”
เจียงซื่อยิ้มแห้ง “คนขับรถม้าทิ่มเข็มลงที่ก้นม้าเพื่อทำร้ายเจ้านาย ยังนับว่าเป็นคนบริสุทธิ์อยู่อีกหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินคิดว่าทำไม่ถูกต้อง
เรือนใหญ่เรือนโต มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่มีเรื่องสกปรก หากฟ้องทางการทุกเรื่อง เกรงว่าเวลากินข้าวก็คงจะไม่มี
“เรื่องนี้ผู้อาวุโสในจวนจูจะตัดสินใจให้พี่ใหญ่ของเจ้าเอง ความหุนหันพลันแล่นของเจ้าจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ของเจ้าอับอายในอนาคตหรือ”
สีหน้าและแววตาของจูจื่ออวี้บรรเทาลงเล็กน้อย ท่านย่าของภรรยาเป็นคนที่รู้เหตุรู้ผลเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็มิได้ให้ท้ายหลานตัวเอง
ทุกคำพูดของเฝิงเหล่าฮูหยิน เห็นได้ชัดเจนว่านางมองเจียงอีเป็นคนของตระกูลจู และจวนปั๋วไม่ควรแทรกแซงเรื่องของจวนจู
เจียงซื่อรู้สึกเย็นวูบ จึงกล่าวอย่างเฉียบขาดออกไป “ท่านย่า หลานไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลจูเพียงเท่านั้น กลับกัน เรื่องนี้จวนปั๋วจะต้องให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วฟังเจียงซื่อพูด
เจียงซื่อชำเลืองมองจูจื่ออวี้หนึ่งที และกล่าวด้วยความไม่เร่งรีบและไม่ช้าไป “วันนี้คนขับรถม้าของจวนจูสามารถทำร้ายชีวิตพี่ใหญ่ วันต่อไป ใครสามารถยืนยันได้ว่าจะไม่มีวิธีที่เลวทรามกว่านี้ ยังไม่พูดถึงอย่างอื่น หากว่ามีคนใส่ร้ายชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ของพี่ใหญ่ แล้วจวนปั๋วของเราจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างไรอีกเจ้าคะ”
สีหน้าของจูจื่ออวี้เปลี่ยนในทันทีทันใด “น้องสี่ เจ้าพูดเกินไปแล้ว…”
เจียงซื่อโต้กลับ “คงไม่มากไปกว่าคนในตระกูลของพี่เขยที่สามารถสั่งคนขับรถม้าได้เจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินพลันเงียบลง
หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง จวนปั๋วคงมิอาจสู้หน้าคนในเมืองหลวงได้แล้ว และนี่ก็ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของจวนจูอีก
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินเปลี่ยนไป เจียงซื้อยิ้มแห้งภายในใจ ต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจวนปั๋วนั่นเอง ถึงสามารถทำให้ท่านย่าหันมาสนใจได้
เจียงอันเฉิงมองค้อนจูจื่ออวี้หนึ่งที จากนั้นก้าวเท้าเดินทันที “ไปจวนจูกับข้า!”
“ท่านพ่อ…” เจียงอีลำบากใจทั้งสองฝั่ง
เจียงอันเฉิงได้ก้าวเท้ากว้างเดินออกไปแล้ว
เรือนฉือซินพลันเงียบลงทันควัน เฝิงเหล่าฮูหยินนวดหว่างคิ้ว
คลื่นลูกหนึ่งยังไม่ทันสงบ คลื่นอีกลูกก็ม้วนมาอีกระลอก เวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าเซียวซื่ออยู่ที่ไหน!
และเวลานี้ เซียวซื่อมองสภาพแวดล้อมที่อยู่ตอนนี้ รู้สึกตนเองแทบพังทลาย
ใครสามารถบอกกับนางได้บ้างว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นางนั่งรถม้าจะไปไหว้พระ กินเมล็ดทานตะวันอยู่ดีๆ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงที่นี่!