ตอนที่ 416 หากสามารถรักษาได้ จะพยายามสุดความสามารถ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 416 หากสามารถรักษาได้ จะพยายามสุดความสามารถ

ฉินหลิวซีต้องการแปดอักษรเวลาตกฟากของบุตรสาวของตน เติ้งฟู่ไฉมองไปที่เหล่าหลัวก่อนครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า จึงได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา

ฉินหลิวซีหยิกนิ้วมือคำนวณอย่างละเอียด ไม่นานก็ได้ผลการคำนวณ เอ่ยขึ้น “อายุยืนยาว”

“หรือว่าโชคชะตาไม่ดี” เติ้งฟู่ไฉค่อนข้างรีบร้อน

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “เป็นตระกูลที่มีสั่งสมความดี ก็จะต้องมีความดีอยู่แล้ว ผู้ที่กลับชาติมาเกิดเช่นนี้ เพราะบุญกุศลที่ได้สั่งสมเมื่อชาติที่แล้วก็เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าโชคชะตาไม่ดี แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไร้อุปสรรค สันดานนิสัยใจคอเข้มแข็งอดทนฉลาดปราดเปรียว เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งมีน้ำใจ เป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์เชิดชูให้สามีรุ่งเรือง เพียงแค่เมื่อถึงช่วงที่รุ่งเรืองของชีวิตนั้น ความรู้สึกของสามีภรรยาอาจจะซับซ้อนเปลี่ยนไป แต่ถ้าหากนางสามารถสั่งสมบุญกุศลไว้ได้ อารมณ์ก็จะเบาลงเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หญิงผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร

“ชื่อว่าสุ่ยหลาน”

“ชื่อก็ดี ในศาสตร์การทำนายโชคชะตาถือเป็นการเพิ่มน้ำที่ขาดพอดี”

เติ้งฟู่ไฉได้ยินว่าทุกอย่างล้วนดีไปเสียหมด จึงค่อนข้างไม่ค่อยเข้าใจ “เช่นนั้นเรื่องที่ลูกสาวของข้านอนหลับ แสดงว่าไม่เกี่ยวอะไรกับโชคชะตาใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซียกยิ้ม “ไม่เกี่ยวกับโชคชะตา แต่การนอนหลับของนางนั้น เกี่ยวข้องกับของแปลกปลอม เจ้าลองคิดดู ก่อนที่นางจะไม่มีชีวิตชีวา นางพบเจอกับเรื่องอะไรมา และเอาของสกปรกอะไรเข้ามาในบ้าน เพราะว่าแม้แต่บนร่างของเจ้าก็ยังมีพลังงานชั่วร้ายปนอยู่ด้วย เกรงว่าอาจจะเกิดจากของแปลกปลอม”

“นี่…” เติ้งฟู่ไฉคิ้วขมวด เอ่ยขึ้น “เพราะว่าครอบครัวพวกเราทั้งหมดล้วนอยู่ที่เรือนของตัวเอง ถึงแม้ว่าทางบ้านจะไม่ถือว่าร่ำรวยมาก แต่ว่าบุตรสาวคนนี้พวกเราก็ไม่ได้บังคับนาง นางก็เที่ยววิ่งเล่นไปรอบหมู่บ้าน หยิบของอะไรกลับมาบ้าง พวกเราก็ยังไม่รู้จริงๆ”

พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ จึงเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ พวกเราล้วนเป็นคนนอก ไม่รู้ว่าท่านจะสามารถไปช่วยดูที่เรือนได้หรือไม่ ต้องการค่าตอบแทนกี่ตำลึงเงิน พวกเราก็จ่าย”

หมู่บ้านเจ่าจือจะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ นั่งรถม้าก็ใช้เวลาในการเดินทางครึ่งค่อนวัน แต่ฉินหลิวซีกลับไม่ปฏิเสธ และเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นวันมะรืนข้าจะไป”

“วันมะรืนหรือ” เติ้งฟู่ไฉเอ่ย “พรุ่งนี้ไม่ได้หรือ”

ฉินหลิวซีหยิบยันต์ป้องกันตนออกมาจากแขนเสื้อของนาง และยื่นไปให้ “กลับไปท่านเอายันต์นี้ไปวางไว้บนตัวของลูกท่าน จะทำให้นางปลอดภัย”

เติ้งฟู่ไฉรับมันมาด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เหล่าหลัวที่เห็นเหตุการณ์ เอ่ยขึ้น “ยังไม่ขอบคุณนักพรตน้อยอีก ในเมื่อเขาเอ่ยขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกับลูกสาวเจ้า เจ้าก็แค่รออย่างสบายใจ”

เติ้งฟู่ไฉเอ่ยขอบคุณไป

ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก่อนจะหยิบแขนขาเทียมกลับไปพร้อมกับตงหยางโหว

เติ้งฟู่ไฉที่เห็นอีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว ถึงได้เอ่ยขึ้นกับเหล่าหลัว “ไม่ใช่สิ เหล่าหลัว นี่มันจริงหรือไม่”

“เจ้าคิดว่านักพรตน้อยอายุเท่าไร”

“น้อยกว่าลูกคนที่สามของข้าด้วยซ้ำ” สิบกว่าปีเอง

“เจ้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แค่เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับลูกสาวเจ้า แม่มดแม่ชีที่เจ้าเชิญมานั่นมีความสามารถเช่นนี้หรือไม่ เขายังบอกอีกว่าตระกูลเติ้งของเจ้าเป็นตระกูลที่สั่งสมบุญกุศล ซึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรผิดไป”

“เอ่อ…” เติ้งฟู่ไฉลูบจมูกไปมา ผิดหรือไม่ แน่นอนว่าก็ไม่ผิด

เหล่าหลัวชำเลืองมองเขา และเอ่ยขึ้น “แม้แต่คำเดียวข้าก็ไม่เคยหลุดปากบอกนาง นางใช้ความสามารถในการดูโหงวเฮ้งจริงๆ เจ้าวางใจเถิด”

เติ้งฟู่ไฉถึงได้วางใจลง และซ่อนยันต์แคล้วคลาดไว้ในอก เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะกลับเอายันต์นี้ไว้ใกล้ๆ กายของลูกสาวข้า และรออย่างสบายใจ ข้าไปขอตัวก่อน”

เหล่าหลัวโบกมือไปมา

อีกด้านหนึ่ง ตงหยางโหวที่อยู่ในรถเอ่ยขึ้นกับฉินหลิวซี “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนผู้นั้น เกิดเรื่องขึ้นกับลูกสาวบ้านเขาจริงหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ย “กลัวว่าจะดึงดูดของสกปรกอะไรไปและกำลังถูกผีสิงอยู่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังถูกพลังงานชั่วร้ายรุมล้อม”

“แต่ว่าข้าเห็นว่าเขาหน้าตายังดูดีมีราศี อ้วนท้วนสมบูรณ์ ดูไม่เหมือนว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”

“เป็นเพราะว่าเขามีบุญบารมีคุ้มครองอยู่” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เขาคงจะสร้างกุศลเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มีบรรพบุรุษคุ้มครอง และตัวเขาเองก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ สร้างกุศลด้วยความตั้งใจจริง ดังนั้นจึงมีบุญบารมี คนดีเช่นนี้ ต่อให้มีพลังงานชั่วร้ายมาปะปนก็จะไม่มีเหตุรุนแรงต่อเนื่องอะไร ไม่เกิดปัญหาอะไรหรอก”

“แล้วหากมันรุนแรงแล้วล่ะ”

“เมื่อพลังงานชั่วร้ายเกาะกุม หากไม่สามารถหลุดพ้นได้ ดวงชะตาก็จะตกต่ำลง หากโชคร้าย ก็อาจจะร้ายแรงถึงชีวิต”

ตงหยางโหว “ดูเหมือนว่าการสะสมบุญกุศลถือเป็นเรื่องที่ดี”

“ดังกล่าวที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องมาถึง เวรกรรมมีอยู่เสมอ”

ตงหยางโหวยิ้มหยัน “อายุยังน้อย แต่ดูมากด้วยประสบการณ์เช่นนี้ หลานชายหัวโบราณของข้าเทียบไม่ติดเลย”

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นนักพรต แน่นอนว่าต้องดึงดูดให้ผู้คนมุ่งทำความดี และไม่ทำความชั่ว”

ตงหยางโหวอ้าปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่แขนขาปลอมที่อยู่ข้างๆ นาง เอ่ยขึ้น “ทักษะทางการแพทย์ของท่านก็ดี และยังทำแขนขาเทียมได้อีก ถ้าหากว่ามีคนคนหนึ่งเป็นอัมพาต ท่านจะสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่”

ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่มองเขาด้วยความหมายลึกซึ้ง

สายตาของนางคล้ายกับว่าจะมองทะลุออกทุกอย่าง ตงหยางโหวกลั้นใบหน้าที่เย็นชาเคร่งขรึมเอาไว้ไม่อยู่ จึงได้ถอนหายใจออกมา “ท่านสามารถดูโหงวเฮ้งได้ ก่อนหน้านี้ ท่านเคยบอกว่า ข้าจะสูญเสียลูกหลาน อันที่จริงท่านก็พูดถูก ข้ามีหลานอยู่หนึ่งคน ปีนี้ยี่สิบสามปี ปีที่แล้วช่วงเทศกาลแข่งเรือมังกรระหว่างที่ทำสงครามทางน้ำกับโจรสลัด แต่โชคไม่ดีถูกดักซุ่มโจมตี ถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะมาอย่างหวุดหวิด แต่เขากลับได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายส่วนล่างเป็นอัมพาตไร้ความรู้สึก ตอนนี้ทำได้แค่ไปไหนมาไหนด้วยรถเข็นเท่านั้น”

“หากแค่บาดเจ็บภายใน ไม่ถึงขนาดทำให้ร่างกายส่วนล่างเป็นอัมพาตได้ เป็นเพราะเขาบาดเจ็บภายนอกและรามไปบาดเจ็บภายใน ครั้นแล้วเป็นอัมพาต ถ้าให้ข้าเดา เขาคงได้รับบาดเจ็บที่บริเวณกระดูกสันหลังใช่หรือไม่”

ตงหยางโหวค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น เอ่ยขึ้น “เช่นนี้นี่เอง หรือว่าก็มีกรณีของโรคในทำนองเดียวกันหรือ”

“หากเป็นอัมพาตส่วนล่างแล้วล่ะก็ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการบาดเจ็บภายนอกแล้วนำไปสู่ เส้นประสาทสันหลังได้รับความเสียหาย หรือว่าไขกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บจึงเป็นอัมพาต เช่นการถูกเหยียบ ถูกย่ำ การกระแทก หรือการทุบตีอย่างรุนแรง”

“อย่างนั้นท่านสามารถรักษาได้หรือไม่”

“มันอยากที่จะบอก” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “หากเส้นประสาทได้รับความเสียหายแล้วล่ะก็ ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา หรือว่าการฝังเข็ม นี่ระยะเวลาก็ผ่านมาแล้วไม่น้อย เบื้องต้นก็ต้องครึ่งปีหรือปีหนึ่งขึ้นไป ถึงจะเห็นว่าดีขึ้น ถือว่าเป็นการมองโลกในแง่ดี ถ้าหากไขกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก อาศัยทักษะการแพทย์ที่มีอยู่ตอนนี้ ข้าก็ไม่มีวิธีการเช่นกัน ฉะนั้นหากไม่ได้เจอคนเป็นๆ ไม่ได้ดู ไม่ฟัง และไม่ได้ถาม ข้าก็ยากที่จะตัดสินชี้ขาด ถึงทักษะการแพทย์ของข้าจะปราดเปรื่องขึ้นกว่านี้ ข้าก็ยังเป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า”

นัยน์ตาของตงหยางโหวพลันมืดลง เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปคุยกับเขา”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “หากสามารถรักษาได้ ข้าเองก็จะพยายามสุดความสามารถ ชาวบ้านต้องการผู้อุปถัมภ์ค้ำชูเช่นพวกท่าน ช่วยหนึ่งคน ก็ราวกับได้ช่วยอีกหมื่นคน”

หัวคิ้วของตงหยางโหวคลายลง สายตามีความอบอุ่นอยู่เล็กน้อย

ฉินหลิวซีมองออกไปนอกหน้าต่าง จึงได้หยิบแขนขาเทียมขึ้นมา นางเอ่ยขึ้น “ข้าของลงรถตรงนี้และจะเดินกลับ ท่านแม่ทัพอาวุโสไม่ต้องไปส่งแล้ว เช้าวันมะรืนท่านค่อยกลับมาฝังเข็ม”

บ่าวรับใช้รีบเคาะที่ผนังของตัวรถ รถก็หยุดลงช้าๆ ฉินหลิวซีก็รีบเปิดประตูกระโดดลงไป นางเดินไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา

“ท่านโหวอาวุโส ท่านอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป เจ้าอาวาสน้อยก็ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่า ถ้าเส้นประสาทอะไรนั่นได้รับความเสียหายสามารถรักษาให้หายได้ ไม่แน่ว่านายน้อยอาจจะเป็นเช่นนี้ก็ได้” บ่าวรับใช้เฒ่าเอ่ยขึ้นปลอบใจ

ตงหยางโหวเม้มริมฝีปาก สีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เพียงแค่มีเพียงความหวังเดียวข้าก็ต้องลองดู จะนั่งรอความตายอย่างเดียว ถ้าหาขาของข้าหายดี ไม่จำเป็นต้องรอให้เริ่มฤดูใบไม้ผลิ ผ่านไปปีหนึ่ง เจ้าก็พาเขามาเลย”

บ่าวรับใช้เฒ่าตอบรับ แอบคิดในใจ หรือว่าต้องไปบริจาคน้ำมันหอมที่อารามชิงผิงเพื่อขอพรให้จู่ซือเหยียคุ้มครองเสียแล้ว