ตอนที่ 415 ช่างตีเหล็กมีเรื่องที่จะขอร้อง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 415 ช่างตีเหล็กมีเรื่องที่จะขอร้อง

เหล่าหลัวที่เห็นว่าฉินหลิวซีไม่ได้มาที่นี่ลำพัง ข้างๆ กันนั้นยังมีชายชราคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าชายชราผู้นั้นจะมีคนคอยพยุงอยู่ แต่ดูท่าทีแล้วน่าเกรงขามและไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะดวงตาที่คมกริบทั้งสองข้าง ซึ่งเขากำลังจ้องมองมาที่ตน ทำให้เหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตนเล็กน้อย

แขนขาปลอมนั่น คงไม่ใช่ให้ชายชรานี่ใช้หรอกใช่หรือไม่

เหล่าหลัวมองไปยังมือของชายชราโดยจิตใต้สำนึก ทว่าแขนขวาทั้งสี่ของเขาก็ยังครบถ้วนทุกอย่าง

ฉินหลิวซีและเขาที่ทักทายทำความเคารพกันแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าแขนขาปลอมนั่นทำเสร็จแล้ว”

“ใช่ๆ ท่านรีบเข้ามาเร็ว” เหล่าหลัวหลีกทางให้นางเข้ามาในห้อง

ฉินหลิวซีเดินเข้าไป เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีแดงเข้มยืนอยู่ภายในห้อง และมองไปอีกครั้ง หางคิ้วของนางเลิกขึ้นเบาๆ

“นักพรตน้อยท่านรอสักครู่ ข้าจะเอาเขาออกไปเดี๋ยวนี้” เหล่าหลัวเข้าไปด้านในห้องโถง

ตงหยางโหวที่มองเห็นร้านตีเหล็กเล็กๆ ร้านนี้ และมองไปบนผนังที่มีดาบแขวนอยู่ ให้คนหยิบมันลงมาดูอย่างละเอียด เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ และเอ่ยขึ้นกับฉินหลิวซี “ฝีมือของร้านตีเหล็กร้านนี้ไม่เลวเลย”

“ตระกูลของพวกเขามีชื่อเสียงมาร้อยปีแล้ว สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แล้วก็เป็นทายาทห่างๆ ของหลู่ปาน[1]รู้ทักษะของหลู่ปานเพียงเล็กน้อย”

ตงหยางโหวอุทานด้วยความประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง “เมืองหลีแห่งนี้มีเสือซุ่มมังกรซ่อนอยู่จริงๆ”

ฉินหลิวซีหัวเราะตาหยีพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ฮวงจุ้ยดี”

ตงหยางโหวหัวเราะหึ และหยิบกริชหนึ่งเล่มขึ้นมาอีกครั้ง วางลงบนมือและพลิกดูอย่างละเอียด และตวัดบนอากาศไปมาไม่กี่ครั้ง

เมื่อเหล่าหลัวออกมา ก็เห็นตงหยางโหวถือกริชต่อสู้ทะยานไปข้างหน้าดั่งพยัคฆ์ แทงขวางเสียบเอียง กระบวนยุทธ์ที่เพียงดูแล้วเหมือนกับคนที่ถือดาบมาตลอดทั้งปี

“ท่านผู้อาวุโสใช้กริชได้คล่องแคล่วมาก”

“เจ้าตีมันออกมาได้ไม่เลวเลย คมมีดยังไม่ทันได้เปิดออก แต่ว่าดูแล้วช่างคมกริบ ระดับความแข็งก็พอดี ข้าเห็นว่าเจ้ายังได้สลักแซ่ของตนเองลงไป” ตงหยางโหวเอ่ยชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

เหล่าหลัวเอ่ยขึ้น “ของพวกนี้หากสลักเครื่องหมาย ก็ง่ายต่อการที่ขุนนางจะตรวจสอบ”

เขายื่นแขนขาเทียมที่ห่อด้วยผ้าส่งให้กับหลิวซี เอ่ยขึ้น “ท่านดูสิ”

ฉินหลิวซีเปิดมันออก แขนขาเทียมข้างหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่หนัก บริเวณแขนได้ติดตัวดึงเพื่อนฝังอยู่ในแขนที่หัก บริเวณข้อศอกได้มีการเพิ่มกลไกสำคัญ ทำให้แขนสามารถขยับและงอได้ และข้อมือเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ติดตั้งกลไกสำคัญแบบเดียวกัน ตรงฝ่ามือเองก็พัฒนาได้อย่างประณีต

“ทำออกมาได้เร็วเพียงนี้ ท่านทำมันทั้งวันทั้งคืนเลยหรือ” ฉินหลิวซีมองไปที่เหล่าหลัว

เหล่าหลัวยิ้มอย่างไร้เดียงสาจริงๆ “ในร้านไม่ได้รับรายการสั่งซื้ออื่นเลย และเพราะว่าเป็นของของท่าน แน่นอนว่าต้องทำให้ก่อน”

ฉินหลิวซียอมรับอย่างช่วยไม่ได้

“ข้าขอดู” ตงหยางโหวที่รอไม่ไหว ก้าวเข้าไปไกลอย่างตื่นเต้น รับแขนเทียมนั้นมาและใช้มือชั่งน้ำหนักก่อน และอุทานจิ๊ๆ “ทำได้ดีเลยจริงๆ แล้วกลไกสำคัญนี้มีประโยชน์อย่างไร”

“เพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหว” เหล่าหลัวรับมาแล้วทำการสาธิตให้ดู พร้อมกับเอ่ย “อย่างไรก็ตามหากต้องการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ต้องฝึกฝนให้มาก พอฝึกฝนเสร็จแล้ว ใส่เสื้อผ้าปกปิด ใส่ถุงมือ คาดว่าดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่ามันเป็นของปลอม และนักพรตน้อยยังสามารถตกแต่งมันได้อีกด้วย”

“อันนี้สามารถตกแต่งได้ด้วยหรือ”

“คิดเอาไว้ว่าจะติดด้วยหนังคนไปหนึ่งชั้น ให้สมจริงยิ่งขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ตงหยางโหว “หนังคนหรือ”

“วัสดุหน้ากากหนังคนที่ใช้กันทั่วไปในยุทธภพ”

ตงหยางโหวที่ได้พบกับคนที่มีอุปสรรคมากมาย ได้ยินดังนี้ก็พูดไม่ออกอย่างห้ามไม่ได้ เอ่ยขึ้น “อันนี้มันดีพอแล้ว หากดีขึ้นกว่านี้ สิ่งที่ท่านทำนั้นก็จะดูประณีตเกินไป”

“ไม่เคยทำมาก่อนน่ะ เพียงลองคิดว่าจะทำออกมาอย่างไรก็เท่านั้น” ฉินหลิวซียักไหล่

สายตาของตงหยางโหวเผยความอิจฉาออกมา “คนผู้นั้นช่างมีบุญวาสนาจริงๆ”

ฉินหลิวซีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยขึ้น “ท่านอย่าแสดงสายตาอิจฉาออกมาเลย แขนขาดมือขาดมีอะไรให้โชคดี ของปลอมก็คือของปลอม ถึงจะทำให้เหมือนจริงอย่างไรก็เป็นของปลอมอยู่ดี”

ตงหยางโหวยิ้มมุมปาก

ฉินหลิวซีนำแขนขาเทียมมาห่อไว้เหมือนเดิม เอ่ยขึ้นกับเหล่าหลัว “ด้วยเวลาแค่นี้แต่ทำได้อย่างประณีต ต้องใช้หัวใจทำ กลับไปข้าจะให้เฉินผีส่งตำลึงเงินมาให้”

“ไม่ต้อง ท่านอย่ามองว่าข้าเป็นคนนอก” เหล่าหลัวรีบโบกไม้โบกมือ

ฉินหลิวซีแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึม “คุ้นเคยก็ส่วนคุ้นเคย เรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง บุตรชายคนโตของท่านก็ใกล้จะสมรสเร็วๆ นี้ สินสอดของหมั้นไม่ต้องรวบรวมให้เยอะหรือ เอ้อร์ต้านก็โตแล้ว ถ้าท่านไม่รับ เช่นนั้นข้าก็ไม่กล้าที่จะเอาไป”

“ได้ๆๆ ข้ากลัวท่านแล้ว ท่านต้องการให้ก็ให้มาเลย ให้กี่ตำลึงเงินก็ตามแต่ท่านประสงค์ ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้อง” เหล่าหลัวดึงสหายเก่าที่หลบอยู่ตรงมุมหนึ่งออกมา เขาถูมือไปมาแล้วเอ่ยขึ้น “นี่คือสหายเก่าของข้า แซ่เติ้ง นามฟู่ไฉ บ้านอยู่หมู่บ้านเจ่าจือ เป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดิน”

ขณะที่เขาพูดก็ผลักเติ้งฟู่ไฉไปด้านหน้า แล้วจึงเอ่ย “รีบทักทายนักพรตน้อยเร็วเข้า ข้าเรียกว่านักพรตน้อย ท่านเป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง ชายาเต๋าปู้ฉิว”

“ทำความเคารพ ท่านอา อาจารย์” เติ้งฟู่ไฉคารวะประสานมือยกขึ้นระดับอก และชำเลืองมองตงหยางโหวครู่หนึ่ง

ฉินหลิวซีรู้สึกผิดปกติ ลักษณะอันน่าเกรงขามของชายชราผู้นั้นมีมากกว่า กลัวว่าจะไม่ใช่แค่ขุนนางระดับสูง แค่สายตาก็ทำให้คนตกใจกลัวมากแล้ว

ตงหยางโหวทำเหมือนว่ามองไม่เห็นสายตาที่หวาดกลัวของเติ้งฟู่ไฉ และให้บ่าวรับใช้หยิบธนูขึ้นมาดูคล้ายไม่สนใจ เพียงเงี่ยหูฟัง

ฉินหลิวซีมองไปที่เติ้งฟู่ไฉ และเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ถึงจะไม่ร่ำรวยมากแต่ก็มีความสุข ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองและชีวิตมีความสุขราบรื่น ตระกูลเติ้งเป็นผู้ใจบุญสะสมความดีมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งดีมากๆ”

ร่างของชายผู้นี้มีแสงสีทองของบุญกุศลรวมอยู่ในกาย ทำให้ทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทอง เห็นได้ว่าเป็นคนดี แต่นอกจากแสงสีทองนี้ บนร่างของเขากลับมีพลังสีดำก่อกวนอยู่

นี่เป็นพลังงานชั่วร้าย

เพราะมีบุญกุศลคุ้มครองตนอยู่ พลังงานความชั่วร้ายนี้ทำร้ายเขาไม่ได้ แต่ว่าหากทิ้งไว้นานก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

และโหงวเฮ้งเขาผู้นี้ เป็นโหงวเฮ้งใต้ตาที่กว้างและเปล่งปลั่ง แสดงถึงการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แต่ตาด้านขวากลับมืดมน กล้ามเนื้อแห้งเหี่ยว ซ้ายเป็นบุรุษขวาเป็นสตรี ซึ่งก็คือบุตรีของตระกูลนี้กำลังเกิดเรื่อง

“เกิดอะไรขึ้นกับสตรีในตระกูลของเจ้า” ฉินหลิวซีถามออกมาตรงๆ

ทันใดนั้นเติ้งฟู่ไฉก็ตื่นตกใจใหญ่ และดีใจจนแทบบ้า เขายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ดูออกเลยว่าเกิดเรื่องขึ้นกับบุตรีของตน

“ท่านอาจารย์ เกิดเรื่องขึ้นกับบุตรีของข้าจริงๆ เจ้าเด็กนั่นครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ๆ ก็ขี้เกียจและชอบนอนหลับ ข้าและภรรยานึกว่าเป็นเพราะเข้าสู่ฤดูหนาว เจ้าเด็กนี่ถึงได้เกียจคร้าน แต่ก็ไม่ได้สนใจ ทว่าเวลาที่นางนอนหลับนั้นยิ่งยาวนานขึ้นเรื่อยๆ คนก็ยิ่งผอมลงไปเรื่อยๆ สารจิง พลังชี่ และจิตวิญญาณ หัวใจหลักพื้นฐานของชีวิตก็ไม่มีเลยสักนิด พวกเราเชิญหมอมาดูอาการแล้ว ก็ไม่ดูไม่ออกว่ามีปัญหาอะไร แม่มดก็เคยเชิญมาแล้ว น้ำมนต์ก็ดื่มมาแล้ว เจ้าเด็กนี่ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นเลย”

ขณะที่เติ้งฟู่ไฉกำลังพูดอยู่ ขอบตาของเขาก็เริ่มแดง เอ่ยขึ้น “ไม่กี่วันผ่านมานี้ ลูกสาวของข้านอนหลับทั้งวัน ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะนางยังหายใจอยู่ พวกเราก็คงคิดว่านางตายไปแล้ว”

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว

“แม่มดผู้นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรเลยหรือ”

“บอกแค่ว่าดวงตก แต่ว่าร่างทรงก็เคยมาทำพิธีแล้ว และรินน้ำมนต์ก็ทำแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น”

ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไร “เช่นนั้นทำไมถึงไม่เปลี่ยนหมอ หรือไม่ก็เชิญนักพรต พระสงฆ์มาดู”

เติ้งฟู่ไฉเอ่ยขึ้นด้วยความเหนียมอาย “ที่ข้าเข้าเมืองมาครั้งนี้ ก็วางแผนเอาไว้ว่าจะไปเชิญหมอจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะไปดูอาการสักหน่อย หมู่บ้านเจ่าจือของพวกเราอยู่ใกล้กับเมืองหลิงเซี่ยน ภรรยาข้าก็จะไปขอพรเทพเจ้าที่สำนักแม่ชีฉือเมืองหลิงเซี่ยน”

เหล่าหลัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน “ในเมื่อมันไม่ทุเลาลง ก็ควรจะไปอารามเต๋ากับวัด ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหลีของพวกเรา ไม่ใช่วัดอู๋เซียงกับอารามชิงผิงหรือ เจ้าจะปล่อยให้ลูกของเจ้ากลายเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ”

เติ้งฟู่ไฉรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ว่าจะปล่อยไปเช่นนี้หรอก ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมอยู่ ท่านอาจารย์ ท่านบอกมาเถิดว่าลูกสาวของข้าเป็นอะไรกันแน่ ข้าให้กำเนิดลูกมาเป็นกอง แต่ว่าบุตรสาวมีเพียงคนเดียว ไม่สามารถเป็นอะไรไปได้”

ฉินหลิวซีลังเล “สะดวกที่จะบอกแปดอักษรเวลาตกฟากของลูกสาวท่านหรือไม่”

[1]หลู่ปาน เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งช่างไม้ของจีน และเรียกได้ว่าเป็นสถาปนิกคนแรก