บทที่ 303 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (1)
บทที่ 303 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (1)

คำที่ออกมาดูเปล่าเปลี่ยว ทั้งยังหนักหน่วงไปด้วยแววเศร้าโศก แตกต่างจากท่าทีสบาย ๆ ที่เขามักแสดงต่อหน้าทุกคนอย่างสิ้นเชิง

เขาหมุนร่างไปด้านข้างเล็กน้อย ชิงอวี่ จึงไม่เห็นสีหน้าเขายามที่เขาจ้องตรงไปยังหน้าจอนั่น สักพักใหญ่ ๆ เขาก็หัวเราะหยันออกมาเบา ๆ แล้วหันมาด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า

จังหวะที่เขาหันกลับมานั้นทำให้ชิงอวี่เบิกตามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

ตาของเขา….. ตอนนั้นกลายเป็นสีม่วงอ่อน ๆ สวยงามจับตานัก ใสกระจ่างราวกับอัญมณีที่ไร้ตำหนิชั้นดีก็มิปาน

เห็นนางมีสีหน้าตกตะลึงเช่นนั้น เหลียนซือก็ยกมุมปาก ยกนิ้วขึ้นลูบคิ้วตนเบา ๆ “อะไรหรือ? ประหลาดใจหรือไร? เจ้าว่าดวงตาคู่นี้ของข้าดูคุ้นตาบ้างหรือไม่?”

ตาคู่นั้น….. เหมือนกับของโหลวจวินเหยาไม่มีผิด หากแต่สีไม่เข้มกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง

เขาเคยบอกนางอยู่ครั้งหนึ่งว่าตาสีม่วงคู่นี้มาจากสายเลือดอันเป็นเอกลักษณ์ หมายความว่าหากจะมีใครมีดวงตาสีนี้เหมือนกันได้ ก็แสดงว่าจะต้องมีสายเลือดเดียวกัน

“ท่าน….. เป็นใครกันแน่…..” ชิงอวี่ใช้สายตาสับสนมองเขา ไม่อาจสงบใจลงได้

“ตาสีม่วงคู่นี้….. เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่ามารทมิฬ” เหลียนซือเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา “คนคนนั้นคงเคยเล่าให้เจ้าฟังแล้ว!”

ทว่าชิงอวี่กลับส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ เขาไม่เคยบอก”

ระหว่างโหลวจวินเหยากับนางมีความเชื่อใจกันสูง เขาไม่เคยคิดผิดบังนาง และหากเป็นเรื่องที่นางอยากรู้ เขาก็จะบอกนางทุกอย่าง

แต่เรื่องชาติกำเนิดของเขา เหมือนว่าเขาไม่เต็มใจจะเอ่ยถึงมันนัก นางเองก็ไม่เคยถาม เพราะรู้ว่าหากวันใดเขาอยากบอก เขาก็จะพูดขึ้นมาเอง

แต่เขาก็ไม่บอก นั่นหมายความว่า….. อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องอดีต ด้วยมันอาจเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดสำหรับเขา

หากเขาไม่อยากพูด ชิงอวี่ย่อมไม่ถามและกระทั่งไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุย

ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโหลวจวินเหยาจากปากคนอื่น

เห็นสีหน้าเด็กสาวยังดูฉงนอยู่บ้าง เหลียนซือจึงเดาได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคงไม่คิดอยากเผยตัวตนที่แท้จริงเป็นแน่!

อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอยู่แล้ว หากคนรู้เข้าก็อาจตื่นตระหนกด้วยซ้ำ

เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “เผ่ามารทมิฬ ชนเผ่าโบราณที่มีสายเลือดแกร่งที่สุดในด้านการบำเพ็ญเพียร ว่ากันว่าเป็นเพราะลูกหลานได้รับนิสัยชั่วร้ายมาจากบรรพบุรุษผ่านทางสายเลือดจึงเกิดมามีนิสัยชั่วร้ายกระหายเลือด ถูกใต้หล้าทอดทิ้ง ใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงในความมืดเท่านั้น”

“ใต้หล้านี้มีปีศาจอยูจริง ๆ หรือไร?” ชิงอวี่อดถามขึ้นเสียงเบาไม่ได้

เหลียนซือมองนางแล้วหัวเราะ ภายในตาสีม่วงคู่นั้นราวกับมีแววยิ้มอยู่

“มีสิ นับล้านปีก่อน ไม่เพียงแต่มีปีศาจ ยังมีพระเจ้าและนางฟ้า ภูต สัตว์ประหลาดทั้งหลายมากมาย โกลาหลมากทีเดียว ในตอนนั้น พระเจ้าไม่ใช่เพียงคนคนเดียวที่ถือครองอำนาจเหนือใครทั้งปวง ทั้งปีศาจและมนุษย์ไม่อยากรั้งท้าย แม้สุดท้ายจะทำไม่สำเร็จก็ตามที”

ชิงอวี่ตั้งใจฟัง เงยหน้ามองท่าทีสงบของเขา จากนั้นเอ่ยขึ้น “ดูท่านรู้อะไรมากมายเหลือเกิน”

“หึ” เหลียนซือโค้งริมฝีปากหัวเราะหยันออกมา จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “หากข้าเล่าเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ข้าเป็นคนที่มีชีวิตรอดมานับตั้งแต่โบราณกาลมานานแล้ว”

สิ้นคำเขา ชิงอวี่ก็เลิกคิ้วมองประเมินเขาก่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ “ท่านจะบอกว่าตอนนี้ท่านอายุเป็นหมื่นปีแล้วรึ?”

นางได้ยินจากโหลวจวินเหยามาก่อนว่าคนที่มีอายุยืนยาวที่สุดบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น และเมื่อบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งแล้ว หน้าตาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกตลอดกาล แต่อายุยามบำเพ็ญถึงขั้นจะถูกแช่แข็งเอาไว้

และเจ้าคนคนนี้ อายุเพิ่งดูจะสามสิบกว่า ๆ เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วกลับมาอายุมากถึงเพียงนั้น…..

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ

คิด ๆ ดูแล้วชิงอวี่จึงถามอีก “ท่านเองก็เป็นคนเผ่ามารทมิฬหรือ?”

หากเขามาจากเผ่าปีศาจ เช่นนั้นก็ต้องมีอายุขัยยืนยาวกว่า ดังนั้นหากเขาจะรอดมาจนถึงตอนนี้ก็อาจไม่แปลกมากมาย

แต่เขากลับส่ายหัวน้อย ๆ “เปล่า”

“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่มีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น”

“มนุษย์หรือ?” ชิงอวี่มีสีหน้าประหลาดใจ “เช่นนั้นทำไมตาของท่าน…..” ดูไม่มีเหตุผลเลย

เหลียนซือค่อย ๆ คลี่ยิ้มบางออกมา “เอาเป็นว่าข้าจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ฟังหากเจ้าต้องการ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชิงอวี่พยักหน้ารับ

เหลียนซือจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

ใช่แล้ว เป็นเรื่องราวของเขา

นานมาแล้ว มีคนผู้หนึ่ง เขามีความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ นั่นคือการไล่ไขว่คว้าความลับการเป็นอมตะ

แม้โลกที่เขาใช้ชีวิตอยู่จะธรรมดาสามัญนัก เขาก็ยังเชื่อว่าเรื่องเหนือจริงทั้งหลายในตำนานนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

นับแต่แรกเกิด เขาก็ถูกทำนายว่าเป็นเด็กอัปมงคลแล้ว

มารดาเขาอุ้มท้องนานถึงสิบเดือนเต็ม หลังจากอุตส่าห์คลอดเขาออกมาได้แล้วก็มีพวกหัวขโมยงัดเข้ามาชิงเอาของในบ้าน บิดาเขาเพียงแต่จะเอ่ยคำอธิบายสถานการณ์ของครอบครัว หากแต่กลับถูกสังหารทิ้งตรงนั้น

ส่วนมารดาของเขาเพิ่งคลอดเขามาก็อ่อนแรงนัก ลงจากเตียงยังทำได้ยาก แต่อาจเป็นเพราะแรงผลักดันภายในของคนเป็นแม่ที่อยากปกป้องลูกของตนเอง ไม่ว่านางจะอ่อนแอตัวเล็กเพียงไหนก็กลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาได้

นางอุ้มเขาใส่ไว้ในถังไม้ จากนั้นเอาฝาที่มีสองรูน้อย ๆ ครอบไว้ จากนั้นก็ซ่อนเขาไว้ในโอ่งน้ำขนาดใหญ่

ไม่รู้วาเขาต้องตกอยู่ในความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนั่นนานเท่าไหร่ ก่อนที่จะได้เห็นแสงสว่างส่องลงมาอีกครา เป็นชายชราที่ดูปราดเปรื่องคนหนึ่งช่วยเขาไว้ คำแรกที่เอ่ยกับทารกน้อยคือ “ช่างเป็นเด็กที่หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย แต่กลับต้องพบชะตายากลำบากนัก ไม่อาจได้เห็นหน้าบิดามารดาสักครั้งพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว”

ภายหลังเขาจึงรู้ว่าทั้งบิดาและมารดาของเขาตายในวันที่เขาเกิดนั่นเอง และเขาอยู่ในโอ่งนั่นนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็ม

เขาไม่รู้ว่าตนเองรอดมาได้อย่างไร เป็นเด็กที่เพิ่งเกิด สิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ที่อ่อนแอเปราะบางเช่นนั้น ไม่ได้กินไม่ได้ดื่มสิ่งใด ซ่อนอยู่ในถังไม้เล็ก ๆ เหลือเชื่อนักที่เขายังรอดมาได้

บางคนอาจมองว่าเหลือเชื่อ ทว่านับแต่ลืมตาดูโลกเขาก็รู้ความแล้ว สามารถจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้

เขาจึงเติบโตมาอย่างปลอดภัยด้วยการดูแลของชายชราผู้นั้น ในปีที่อายุได้สิบสอง ชายชราก็จากไปด้วยอาการเจ็บป่วย เขาจึงตัวคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง

เขาเกลียดความรู้สึกเช่นนั้นมาก การที่คนใกล้ชิดต้องจากไปทีละคน ๆ แต่เขากลับไร้อำนาจใด จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

หลังจากนั้น ในจดหมายที่ชายชราทิ้งไว้ให้ เขาพบว่ามุมมองทางโลกของเขาช่างคับแคบนัก ใต้หล้าไม่ใช่เพียงสิ่งที่ตาเขาเห็น ยังมีสิ่งวิเศษมากมายรอให้เขาไปค้นหาและค้นพบอยู่

เขาจึงเริ่มออกตามหาความลับแห่งการเป็นอมตะ หากในชีวิตเขามีคนสำคัญปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ปล่อยให้ตนเองได้แต่ยืนมองพวกเขาจากไปอีกแล้ว เขาไม่อยากรู้สึกอ่อนแอไร้หนทางเช่นนั้นอีกต่อไป

ไม่รู้ว่าเขาได้เดินทางไปสถานที่ใดบ้าง ได้พบเจอภาพทิวทัศน์มากมายเพียงไหนบ้าง เขาค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่กลับไม่อาจพบใครที่ทำให้เขาหายเปล่าเปลี่ยวได้เลย

มันเป็นวันหนึ่งที่เขาจำไม่ได้ วันที่คนผู้นั้นพลันปรากฏขึ้นในโลกของเขา เด็กผู้หญิงคนนั้นสุกใสบริสุทธิ์ราวหิมะ เขาไม่เคยเจอใครเช่นนี้มาก่อน คนที่เป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ที่เผลอร่วงลงมายังแดนมนุษย์

ทุกหัวคิ้วที่มุ่นติดกัน ทุกรอยยิ้มของนาง ต่างทำให้เขาประหม่านัก นางมักหัวเราะและหยอกเขาตลอดว่าเขาเป็นเด็กโง่งมคนหนึ่งที่เห็นใต้หล้าไม่มากมายนัก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ในใจลึก ๆ เขาก็มีความสุข

ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ดูเหมือนจะค่อย ๆ จากเขาไปแล้ว

หลังจากนั้นทั้งสองก็จับมือพากันท่องใต้หล้า ระหว่างทางก็พูดคุยกันมากมาย จึงไม่แปลกที่จะสนิทสนมกัน เขาได้ฟังจากปากนางว่านางได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเส้นทางของตนเอง นางอยากฝึกปรือให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นอีก

เขาเองก็แบ่งปันความคิดตนเองให้นางได้รับรู้ เป็นไปดังคาด นางเพียงแต่หัวเราะเขา บอกว่าเขาอ่านหนังสือไร้สาระมากเกินไป สุดท้ายเลยมีความคิดไร้เหตุผลเกินจริงเช่นนี้

แน่นอนว่าเขาไม่คิดโกรธสักนิด เพราะตราบใดที่เขามีนางข้างกาย ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญหรอก จากนั้นเขาจึงคิดว่า….. ตนเองอาจจะตกหลุมรักนางเข้าแล้ว

แม้จะไม่รู้ว่าควรเอาชนะใจนางอย่างไร แต่อาจเพราะเขาจริงใจและซื่อตรงนัก นางจึงมีจุดอ่อนกับเขา แต่นางคิดกับเขาอย่างไรนั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้

สุดท้าย ระหว่างที่ทั้งคู่ออกเดินทาง ก็พลันมีคนที่สามเข้ามา

บุรุษผู้หนึ่งที่โดดเด่นกว่าเขานักไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตาหรือพลังบำเพ็ญ แต่ตั้งแต่แรกพบสบตา เด็กสาวก็ไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้เลย

แต่ชายหนุ่มผู้นั้นเงียบงันกล่าวคำน้อยนัก ไม่เคยแม้แต่พูดคุยกับทั้งสองคน ทว่าเหลียนซือได้พบว่าเด็กสาวนิ่ง ๆ เช่นนางจะเป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชายหนุ่มก่อน และมีอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ นางก็เหมือนสนุกที่ได้ทำเช่นนั้นต่อไป

เขาจึงคิดว่า….. สตรีทั้งหลายชอบบุรุษเช่นนี้เป็นแน่ ทั้งหล่อเหลา มีพลังลึกล้ำ แม้นิสัยจะเย็นชาเหินห่างไปสักหน่อย แต่ก็ไม่อาจทำให้พวกนางเลิกชอบได้

หรือพวกนางอาจเห็นว่าเขาดูลึกลับ ยิ่งทำให้ดูน่าสนใจกว่าเดิม

แต่เขาไม่ชอบอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่เพียงแต่เพราะเรื่องที่เด็กสาวพยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะบุรุษผู้นั้นมีดวงตาสีม่วงอันน่าประหลาดและเป็นเอกลักษณ์นัก

เป็นดวงตาที่ไม่เหมือนกับของมนุษย์ธรรมดา เหมือนเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ทำให้เขาไม่ชอบมันโดยไม่รู้ตัว

ทั้งสามอยู่ด้วยกันราวหนึ่งเดือน เมื่อชายหนุ่มเหมือนจะเริ่มชินชา ไม่ได้เย็นชาดังแต่ก่อน เอ่ยคำกับพวกเขาในบางโอกาส ความเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เด็กสาวดีใจนัก จากนั้นมาก็ยิ่งทำตัวติดกับชายหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม

เห็นดังนั้น ในใจเหลียนซือก็รู้สึกหดหู่ทรมานใจนัก แต่เขาก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะเอ่ยคำได้ ดังนั้นจึงได้แต่หลบเลี่ยงคนทั้งสอง กลายเป็นมีนิสัยเงียบขรึมไป

คืนหนึ่งเขานอนไม่หลับ จึงคิดออกมาเดินเล่น เมื่อกลับมาก็เห็นชายหนุ่มยืนอยู่หน้าห้อง เหลียนซือไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแต่ตะกลับไปนอนเท่านั้น

แต่ชายหนุ่มกลับขยับร่างมาขวางทางเขาไว้

ในตอนที่เหลียนซือมุ่นคิ้วกำลังจะเอ่ยคำนั่นเอง ชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ข้าไม่ได้ชอบนาง”