บทที่ 304 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (2)
บทที่ 304 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (2)

ชายหนุ่มพูดจบก็ทำให้เหลียนซือร่างแข็งค้างไปทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าว่าอะไรนะ?”

เด็กสาวที่เขารักและหวงแหนเพียงนั้น กลับอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มด้วยเสน่หา ตัวเขากลับไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่ฝืนทนเงียบงันไปเท่านั้น

แล้วตอนนี้ชายหนุ่ม ที่ในสายตาของเขามองว่ามักทำตัวล้ำลึกเกินหยั่งอยู่เสมอ กลับทำท่าราวกับตนไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ มาบอกเขาว่าตนไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อเด็กสาวอย่างห้วน ๆ เช่นนี้

มีบุรุษใดจะน่าชังไปกว่านี้อีกหรือไม่?

หากแต่ไร้รอยความเสียใจบนใบหน้าชายหนุ่มยามจ้องหน้าเหลียนซือ “ข้าบอก ว่าข้าไม่ได้ชอบนาง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องระแวงข้า หรือรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อข้า ข้าไม่มีทางลงเอยกับนางหรือยอมรับนางแน่”

“เจ้าหมายความว่าอะไร?”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเหลียนซือที่กำลังมีโทสะแล้ว ชายหนุ่มดูสงบนิ่งนัก เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีม่วงราวกับจะกระเพื่อม ราวกับมีน้ำวนอยู่ในนั้นอย่างน่าประหลาด ทั้งดึงดูดและน่าค้นหา

สุดท้ายแล้ว ต่อหน้าสีหน้าตกตะลึงของเหลียนซือ ชายหนุ่มก็เอ่ยช้า ๆ ขึ้นมา “เพราะข้าเป็นเผ่าปีศาจ ส่วนนาง….. เป็นเทพธิดา”

พริบตานั้น ราวกับเขาได้เข้าใจบางอย่างขึ้นมา

นับล้านปีที่ผ่านมา ปีศาจและเทพเจ้าต่อสู้ใช้เล่ห์ใส่กันเพื่อชิงเอาอำนาจครองใต้หล้ามาโดยตลอด ชีวิตนับไม่ถ้วนสูญเสีย และดูท่าทั้งสองฝ่ายจะไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้

แม้ว่าเขาเคยสงสัยเรื่องตัวตนชายหนุ่ม แต่ได้ยินจากปากเจ้าตัวตรง ๆ เช่นนี้ก็ทำให้ตกใจไม่น้อย

หากแต่คำต่อมาของอีกฝ่ายทำให้เขาเบิกตากว้าง กำมือแน่นจนกลายเป็นหมัด ทั่วร่างสั่นน้อย ๆ จากความประหลาดใจ

“รู้หรือไม่นางเป็นใคร? นางเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดบัลลังก์ของทวยเทพ คนที่จะถือครองแสงสว่างทั้งหมด ที่นางออกเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อหาความดีความชอบ ใช้เป็นจุดแข็งในการต่อสู้ชิงบัลลังก์ในกาลต่อไป”

“เจ้าคิดว่านางเรียบง่ายดั่งที่เห็นภายนอกงั้นหรือ? กระทั่งเจ้า….. ก็ยังเป็นเพียงหมากบนกระดานของนางเลย”

“เจ้าโกหก”

เขาไม่รู้ว่าในตอนนั้นตนเองมีความรู้สึกใดอยู่ แต่ในจิตใจลึก ๆ ของเขา เขาเพียงไม่อยากยอมรับความจริงอันโหดร้ายเท่านั้น

เห็นใบหน้าปฏิเสธความจริงของเหลียนซือแล้ว ชายหนุ่มเพียงแต่ยกยิ้ม “เจ้าเป็นแค่มนุษย์อ่อนแอไร้พลังคนหนึ่ง ไม่ควรถูกดึงเข้ามาพัวพัน คนผู้นั้น….. ก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้”

“ทำไมข้าต้องเชื่อคำเจ้า?” เหลียนซือเอ่ยเสียงเย็น

“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ นี่เป็นเพียงคำเตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น เพราะข้าไม่อยากเห็นเจ้าถูกหลอกใช้อย่างโง่งม และไม่อยากถูกปฏิบัติราวกับเป็นคู่แข่งความรักในจินตนาการเจ้าเช่นนี้” ชายหนุ่มพูดเสียงไร้อารมณ์จบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป

คืนนั้นเขายืนอยู่หน้าห้องตลอดคืน จนกระทั่งขอบฟ้าเริ่มสว่างขึ้นช้า ๆ เขาถึงได้พาร่างแข็งทื่อชาหนึบของตนกลับเข้าห้องไปได้

คืนนั้นหลังจากบอกความจริงกับเหลียนซือ สองสามวันต่อมาชายหนุ่มก็บอกลา และบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ จำต้องกลับบ้านแล้ว

ยามจาก เด็กสาวลังเลไม่อยากให้ชายหนุ่มจากไป เอาแต่ถามซ้ำ ๆ ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่?

ชายหนุ่มเพียงส่งสายตามีความนัย มาทางเหลียนซือที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล เอยเสียงเบาขึ้นว่า “ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบกันอีก”

ภายหลังจึงได้รู้ว่าที่ชายหนุ่มจากไปกะทันหันเช่นนั้น เป็นเพราะการต่อสู้ระหว่างเผ่าเทพและเผ่าปีศาจที่มีมานับล้านปี สุดท้ายก็ก่อเกิดเป็นสงคราม ซึ่งการต่อสู้กำลังเคร่งเครียดเป็นยิ่งนัก

ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไป เห็นศพทั้งเผ่าเทพและเผ่าปีศาจเกลื่อนไปทั่วทุกที่ ทิวทัศน์ที่เคยงามงดกลับถูกทำลายย่อยยับ แม้กระทั่งมนุษย์เองก็ยังได้รับผลกระทบ เผชิญภัยพิบัติจากการต่อสู้ของทั้งสองเผ่ามิหยุดยั้ง มองไปทางใดก็มีแต่การทำลายล้างและซากปรักหักพัง เป็นภาพที่หนาวเหน็บอ้างว้างนัก

ในตอนหลังเด็กสาวจึงเอ่ยกับเข้าขึ้นวันหนึ่ง เอ่ยเรื่องตัวตนที่แท้จริงของนาง

เป็นไปอย่างที่ชายหนุ่มเคยบอกเขาไว้

นางบอกเขาว่าที่นางออกเดินทางในครั้งนี้ก็เพื่อหาผู้สืบทอดเผ่าปีศาจ ทำให้อีกฝ่ายไว้วางใจ ก่อนจะควักเอาดวงใจปีศาจของเขาออกมา ทำเช่นนั้นแล้วเผ่าปีศาจก็จะพ่ายแพ้ไปโดยที่ไม่ต้องต่อสู้

เพราะปีศาจผู้สืบทอดนั้นมีพลังหาใครเปรียบได้ในเผ่าปีศาจ เป็นเสาหลักในด้านกำลังและความศรัทธาของคนในเผ่า หากถูกทำลายสิ้นแล้ว เผ่าปีศาจก็จะไม่เป็นภัยมากมายอีกต่อไป

และหากนางทำสำเร็จ นางก็จะได้กลายเป็นผู้ครองเผ่าเทพอย่างไร้ข้อถกเถียง ไม่มีใครกล้าต่อต้านนาง

นางถามเขาว่า “เจ้าเต็มใจอยู่ข้างกายข้า คอยช่วยเหลือข้าหรือไม่?”

สุดท้ายนางก็บอกความจริงกับเขา ทุกอย่างเป็นดั่งคำที่ชายหนุ่มเคยว่าไว้

เขาจึงรู้ว่าที่นางมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอาจเพราะในตัวเขามีบางสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์ต่อนางก็เป็นได้

ไม่แน่เขาอาจเป็นคนโง่งมโดยเนื้อแท้ แม้จะรู้ว่านางหลอกใช้เขา แต่ก็ยังไม่อาจปฏิเสธนางได้

สงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่าปีศาจปะทุอยู่สามเดือนเต็มก่อนจะสงบลง

ในสงครามนี้ เผ่าเทพพ่ายแพ้ไป เป็นเพราะทายาทสืบราชบัลลังก์ถูกจับตัวไปโดยเผ่าปีศาจ เผ่าเทพจึงเสียเปรียบทันที เพราะนั่นเป็นเจ้าเหนือหัวคนต่อไปของพวกเขาจึงไม่กล้าเสี่ยง

และเผ่าปีศาจก็ไม่ฉวยโอกาสระรานใด ๆ เพียงแต่สั่งให้อีกฝ่ายถอยไปเท่านั้น ไม่ให้ย่างกรายเข้าแดนเผ่าปีศาจอีก หากต่อไปเห็นคนจากเผ่าปีศาจก็ต้องเว้นระยะ ไม่เผชิญหน้ากัน ไม่เช่นนั้นก็จะส่งศีรษะทายาทสืบราชบัลลังก์กลับไปให้

ในตอนที่ทุกคนในเผ่าเทพกำลังขุ่นเคืองและเกือบจะยอมทำตามคำอยู่นั่นเอง ก็พลันมีข่าวจากเบื้องบนลงมา ข่าวนั่นไม่เพียงทำให้คนเผ่าเทพตกตะลึง คนเผ่าปีศาจยังแทบไม่อยากเชื่อ

คำกล่าวเดิมในสารนั้นกล่าวว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล เพราะผู้สืบบัลลังก์เผ่าเทพไม่ได้มีคนเดียว หากคนนี้ถูกสังหารไปก็ช่าง แต่หน้าตาของเผ่าเทพนั้นไม่อาจให้ใครมาย่ำยีดูหมิ่นได้

การกระทำใจจืดใจดำเช่นนั้น ปกติมักเป็นพวกเผ่ามารที่ลงมือ ไม่มีใครคิดว่าคนจากเผ่าเทพอันสูงส่งและน่าเคารพนับถือจะไร้ใจเช่นนี้ได้

รักแต่หน้าตา กล้าทอดทิ้งทายาทสืบบัลลังก์ที่เลี้ยงดูฟูมฟักมาเป็นอย่างดีได้

ราวกับคำกล่าวหนึ่ง เสือร้ายไม่กินลูกตนเอง แต่ผู้ครองเผ่าเทพคนนี้ จิตใจของเขา….. คงจะแข็งและเย็นยะเยือกยิ่งกว่าหินเป็นแน่!

“ได้ยินหรือไม่? เจ้าถูกทิ้งแล้ว ใจดำจริง ๆ …..”

ไม่มีใครคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้เมื่อได้เห็นชายผู้นี้อีกครั้งหนึ่ง

ชายหนุ่มมองพวกเขาลงมาจากบันลังก์สูง นัยน์ตาสีม่วงเข้มและน่าหลงใหลของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ราวกับมองคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อน

ชายหนุ่มบอกว่าตนมาจากเผ่าปีศาจ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดเผ่าที่ทรงพลังและลึกลับคนนั้นได้

สีหน้าหญิงสาวยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอด นางมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง นัยน์ตาสีเงินแต้มแววขันน้อย ๆ “สุดท้ายเราก็ยังได้พบกัน”

“ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้ตัวตนข้าแต่แรกอยู่แล้วหรือ?” ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกแล้วกระมัง?”

“เสแสร้ง?” รอยยิ้มในตาของนางดูหม่นลงเล็กน้อย “ในสายตาเจ้า ที่เราได้ใช้เวลาร่วมกันตลอดทั้งเดือนเช่นนั้นเป็นเพียงแค่การเสแสร้งงั้นหรือ?”

“หึ”

ร่างสูงของชายหนุ่มพลันลุกขึ้นจากบัลลังก์ช้า ๆ ก่อนจะเดินลงมาหานางทีละก้าว จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงเล็กน้อย ใช้หางตาปรายมองนางพลางเอ่ยคำ “เจ้าจะบอกว่าเจ้าตกหลุมรักข้าจริง ๆ งั้นหรือ?”

“แล้วเจ้าจะเชื่อหรือไม่?” หญิงสาวคลี่ยิ้ม นัยน์ตานางราวกับมีเงาหมอกเต้นระริก “ทำไมกัน? ทำไมเจ้า….. ต้องเป็นผู้สืบทอดเผ่าปีศาจด้วย?”

“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงต้องเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เผ่าเทพด้วยเล่า?”

ชายหนุ่มราวกับขบขันเพราะคำนาง นิ้วเรียวยาวเชยคางนางขึ้นเบา ๆ แล้วโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้

น้ำเสียงราวกับยั่วเสน่ห์ เอ่ยเสียงขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อเจ้ารักข้า เหตุใด ….. เจ้าจึงไม่ยอมละจากเผ่าเทพเพื่อข้าเล่า? พอถึงวันแต่งงาน ข้าย่อมเชิญท่านพ่อของเจ้ามางานแต่งเพื่อแสดงความจริงใจ เผ่าเทพและเผ่าปีศาจก็จะสานสัมพันธ์กับแนบแน่นกว่าเก่า เจ้าคิดอย่างไร? เป็นความคิดที่ดีใช่หรือไม่?”

“เจ้าอยากแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรือคิดจะใช้ข้าทำให้เผ่าเทพอับอายกันแน่?” สีหน้าหญิงสาวที่ถูกเชยขึ้นให้มองหน้าเขาแต้มไปด้วยแววเจ็บปวดและเศร้าโศก

หากแต่สีหน้านั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้เขาเผยสีหน้ารังเกียจก่อนผลักไสนางออกห่าง “เจ้าจะทำหน้าตาน่าสงสารไปเพื่ออะไร? ทำราวกับข้าเล่นกับความรู้สึกเจ้าแล้วก็ทิ้งขว้างเจ้าเสียอย่างนั้น หึ! สตรีเจ้าเล่ห์จิตใจคดเคี้ยวเช่นเจ้า ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากเจ้าหรอก”

ตลอดเหตุการณ์นั้น เขาเป็นราวกับคนนอกที่ไร้ความเกี่ยวข้องใด ๆ มองทั้งความรักและเกลียดชัง ทั้งพัฒนาและปะทุออกมาจากคนทั้งสอง

เขาเห็นว่าแววในนัยน์ตาลึก ๆ ของนางในตอนแรกค่อย ๆ มอดแสงลง กลายเป็นสีเทา จนกระทั่งไม่เหลือประกายแสงใดอีก

ชายหนุ่มอาจผิดไปเรื่องหนึ่ง แม้นางอยากใกล้ชิดกับชายหนุ่มและเขาด้วยใจไม่บริสุทธิ์ในตอนแรก แต่สิ่งที่แม้แต่เขายังคาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นในท้ายที่สุด

และนั่นก็คือนางตกหลุมรักชายหนุ่มเข้าจริง ๆ ตกหลุมรักศัตรูที่เผ่าเทพต้องการกำจัดและสังหารทิ้งมากที่สุด

สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้คือที่นางถูกจับตัวมาได้ และถูกเผ่าเทพทอดทิ้ง ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเขา

เพราะนางรู้ตัวตนของชายหนุ่มเข้า หลังจากต่อสู้กับตนเองอย่างหนัก นางก็เลือกเขา ทั้งยังพยายามโน้มน้าวบิดาตนเอง ผู้ครองสูงสุดแห่งเผ่าเทพ ให้ยุติสงครามและคืนความสงบสุขแก่ผืนแผ่นดินทั้งหลาย

ที่ผ่านมานางเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย น่ารักอ่อนหวานที่สุด เป็นที่โปรดปรานที่สุดอีกด้วย การกระทำผิดปกติของนางในครั้งนี้จึงทำให้บิดานางรู้สึกผิดปกติได้แทบจะในทันที

สุดท้ายนางก็บอกเล่าไปตามตรง ว่านางตกหลุมรักคนจากเผ่าปีศาจ

แน่นอนว่าบิดาของนางโกรธจัดเป็นยิ่งนัก ดุด่าว่านางต้องล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ไม่เช่นนั้นไม่เพียงนางจะถูกตัดสิทธิ์สืบบัลลังก์ แต่ยังจะถูกคนทั้งเผ่าดูถูกและรังแกนางอีกด้วย

ในตอนนั้น นางต่อต้านบิดาตนเองเป็นครั้งแรก และเป็นไปตามคาด นางถูกเขาไล่ออกมา

ขณะที่นางรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง จิตใจกระวนกระวาย สุดท้ายก็ถูกเผ่าปีศาจลอบโจมตีและจับตัวไว้ได้ หลังจากที่ผ่านอะไรมามากมาย ได้พบหน้าเขาอีกครั้ง แต่กลับถูกเขาปฏิบัติเช่นนี้ใส่

ถูกเอ่ยกระทบ ถูกเขาสงสัย ถูกเขารังเกียจ …..

ฮ่า ๆ….. นางนี่มันน่าขันเสียจริง…..