บทที่ 305 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (3)
บทที่ 305 ต้นกำเนิดของเหลียนซือ (3)

ใช่แล้ว ตั้งแต่ต้นก็เป็นความรู้สึกของนางเพียงฝั่งเดียวอยู่แล้ว

เขาไม่เคยเผยอารมณ์ใดให้นางมาก่อนกระมัง?

บางทีเขาอาจรักนางได้ แต่ด้วยตัวตนของทั้งสองที่ลิขิตไว้ว่าทั้งคู่เป็นได้เพียงแค่ศัตรูต่อกันเท่านั้น

นางคิดอยากช่วยเขา แต่แม้จะสละตนเองเช่นนี้ ไม่เพียงยังไม่ช่วย แต่เขากลับชังนางมากกว่าเก่า

แต่ที่นางไม่อยากเชื่อมากที่สุดคือบิดาตนเอง นางคิดว่าคำพูดของเขาในวันนั้นเป็นคำที่โพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธเท่านั้น นางยังเป็นลูกคนที่เขารักที่สุด เขาคงไม่ใจจืดใจดำกับนางนัก

แต่แท้จริงแล้วนางกลับประเมินตนเองสูงค่าเกินไป ประเมินความใจดำของบิดาตนเองต่ำเกินไป

นางคิดว่าการที่ถูกรับเลือกให้เป็นทายาทสืบบัลลังก์เป็นเพียงแค่พิธีที่ทำให้คนภายนอกดูเท่านั้น

อย่างไรในหมู่ลูก ๆ ของท่านพ่อแล้ว ก็ไม่มีใครเทียบเคียงนางได้อีก ไม่ว่าจะเป็นพลังบำเพ็ญ กลอุบาย หรือมันสมอง มีหรือท่านพ่อจะทอดทิ้งผู้มีสิทธิสืบบัลลังก์ที่โดดเด่นเช่นนี้ลง ไปเลือกฟูมฟักเลี้ยงดูเจ้าพวกไร้ค่าพวกนั้นได้?

แต่….. นางก็โง่เขลาเกินไป

แม้ท่านพ่อจะชื่นชอบนางมาก ยอมรับให้นางเป็นผู้สืบบัลลังก์ในอนาคต แต่ศักดิ์และศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์นั้นสูงค่ากว่าสิ่งอื่นใดในหัวใจของเขาไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงบิดา แต่ยังเป็นผู้นำของทั้งเผ่าเทพด้วย

หากทั้งเผ่าต้องถูกเผ่าปีศาจทำให้อับอายเพราะนาง หลังจากนั้นทั้งเผ่าก็จะถูกมองว่าต่ำต้อยกว่าเผ่าปีศาจ แม้คนจะไม่พูดออกมาโดยตรง แต่ก็จะแอบโทษตัวเขาที่ไม่มองสถานการณ์ในภาพรวม ทำให้เผ่าเทพทั้งหมดต้องอับอาย

ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะลังเลเจ็บปวดสักแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจยอมก้มหัว แสดงความอ่อนแอต่อหน้าเผ่าปีศาจได้

หากจะบอกว่านางไม่ผิดหวังกับการตัดสินใจของเขาก็คงโกหก แต่นางก็ไม่เก็บมาคิดให้หมองใจ เพราะนางรู้ดีว่าเขาไร้ทางเลือก ในใจนางคิดจนกระจ่างแล้ว นางจึงได้มองเห็นมันจากอีกมุมหนึ่ง มันจึงไม่ใช่เรื่องกวนใจนางอีกต่อไป

ภายในตำหนักอันกว้างใหญ่ของเผ่าปีศาจ ให้ความรู้สึกน่ากลัววังเวงนัก ศิษย์เผ่ามารที่พาหญิงสาวเข้ามาออกจากตำหนักไปนานแล้ว เหลือเพียงคนสามคนเท่านั้น เหมือนกับคราแรกที่ทั้งสามได้พบกัน

ด้วยนัยน์ตาสีม่วงที่มีมนต์เสน่ห์อย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นนั้นดูเย็นชาสันโดษเช่นแต่ก่อน ยืนสองมือไพล่หลังไม่พูดสักคำ ในดวงตาคือความอึมครึมหนาทึบปกคลุม

ทั้งสามไม่มีใครเอ่ยคำพูดสักนิด บรรยากาศทั้งหนักทั้งหน่วง เงียบสงัดนัก

เวลาหมุนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่น้ำเสียงเบาของหญิงสาวที่แหบน้อย ๆ ก็ดังก้องขึ้นในห้องโถงกว้าง ส่งผลให้สีหน้าชายทั้งสอง ณ ที่นั้นเปลี่ยนไป

“ฆ่าข้าเถอะ…..”

น้ำเสียงหญิงสาวสงบราบเรียบ ไร้โทนเสียงใด ราวกับเอ่ยสิ่งธรรมดาสามัญที่สุดออกมา

“เจ้าว่าอะไรนะ?” นัยน์ตาสีม่วงของชายหนุ่มจ้องมองนางอย่างร้ายกาจ อ่านอารมณ์ไม่ออกด้วยมันลึกล้ำซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้

“ฆ่าข้าไปเลย!”

หญิงสาวจ้องตาชายหนุ่มแล้วเอ่ยย้ำคำ นัยน์ตาสีเงินงดงามของนางเปียกชื้นไปด้วยม่านหมอกดูบีบใจนัก

ริมฝีปากซีดยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “สังหารผู้สืบบัลลังก์ที่ได้รับเลือกต่อหน้าคนจากเผ่าเทพย่อมทำให้พวกเขาเสียขวัญอย่างหนักหน่วง แม้พวกเขาจะทิ้งข้าแล้วก็ตามที…..”

“อยากให้ข้าใช้เจ้าปราบเหล่าทวยเทพงั้นหรือ?” ชายหนุ่มหรี่ตาลงราวกับกำลังดูความจริงใจในคำพูดของนาง

“เผ่าเทพทอดทิ้งข้าไปแล้ว เจ้าก็ไม่เชื่อใจข้าใช่ไหมเล่า? เช่นนั้นจะเก็บข้าไว้เพื่ออะไร? ข้าเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์แล้ว อย่างน้อยก่อนตายก็ให้ข้าได้ทำประโยชน์…..”

สีหน้าชายหนุ่มยิ่งทะมึน “คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเจ้ารึ?”

หญิงสาวราวกับคุ้นเคยแล้วที่ต้องเผชิญหน้ากับสีหน้าเย้ยหยันเย็นชาของเขา นางเพียงยิ้มบางตอบ “คำของคนใกล้ตายนั้นส่งมาจากใจ….. ข้ายอมรับว่าเริ่มแรกข้าปิดบังตัวตน แต่ว่า…..”

ถึงจุดนี้นางก็หยุดไปเล็กน้อย ก่อนจ้องลึกไปยังนัยน์ตาสีม่วงของเขา “ข้ารักเจ้า เรื่องนี้คือเรื่องจริง”

“รักข้า?” รอยยิ้มบนหน้าชายหนุ่มกลายเป็นรอยขัน “คนจากเผ่าเทพตกหลุมรักกับคนฝั่งศัตรูคู่อาฆาตหรือ? แม้เจ้าจะไม่รู้ตัวตนข้าว่าเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจ แต่ตกหลุมรักปีศาจเช่นนี้ เป็นเพราะเบื่อพวกเทพที่รายล้อมแล้วก็เลยสนใจอยากลองมาใช้ชีวิตในเผ่าปีศาจสักหน่อยกระมัง!?”

หญิงสาวยิ่งหน้าซีด ริมฝีปากนางขยับเคลื่อนราวกับอยากเอยคำ แต่กลับถูกชายหนุ่มขัดอย่างไร้ใจ

“เจ้าอย่าเปลืองลมหายใจเลย ไม่เมื่ออยากมีประโยชน์ต่อข้าก่อนตาย ข้าก็จะให้เจ้าสมหวัง” ว่าจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนักไป

ประตูหนาและหนักถูกดึงเปิดออก จากนั้นกระแทกปิดเสียงดังปึง ลมเย็นหอบหนึ่งที่พัดเข้ามาส่งผลให้บรรยากาศในห้องกลายเป็นหนาวเหน็บ

หญิงสาวยืนเงยหน้าขึ้น มองหน้าต่างเล็ก ๆ ด้านบนที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา นางไม่ขยับอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่บ้าง แผนหลังของร่างผอมดูเปราะบางของนางดูโดดเดี่ยวน่าสงสารเหลือเกิน

ส่วนเขาก้มหน้านิ่งอยู่นาน ลังเลไม่กล่าวคำ สุดท้ายก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นช้า ๆ “ทำไมเจ้า….. ไม่บอกเขาไป?”

ได้ยินเขาว่ามา หญิงสาวก็สะดุ้งน้อย ๆ “บอกเรื่องอะไร?”

“เรื่องที่เจ้ายอมละทิ้งตำแหน่งไปก็เพราะเขา บอกเขาไปว่าจะทำกับเจ้าเช่นนี้ไม่ได้”

มือที่อยู่ข้างลำตัวนางพลันกำแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

“บอกไปแล้วได้อะไร?” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เหมือนมันจะแหบน้อย ๆ จากความสิ้นหวัง “เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้วนี่? ข้าพูดอะไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อ อาจเป็นชะตาลิขิตมาแล้วว่าคนจากเผ่าเทพและเผ่าปีศาจ….. คงไม่อาจอยู่ครองคู่กันได้!”

วันต่อมาก็เป็นดั่งที่ชายหนุ่มว่า เขาส่งศิษย์เผ่าปีศาจมานำตัวหญิงสาวไปอยู่ต่อหน้าผู้คน

คนจากเผ่าเทพคอยจ้องมองทุกย่างก้าว ดังนั้นจึงไม่พลาดการกระทำเช่นนี้ แต่เบื้องบนสั่งมาแล้วว่าให้ละทิ้งนางเสีย แล้วพวกเผ่าปีศาจมีแผนอะไรอีก? หรือยังคิดจะใช้หมากไร้ค่านี่ข่มขู่พวกเขางั้นหรือ?

“ได้ยินว่าเผ่าเทพเตรียมตัวละทิ้งผู้สืบบัลลังก์ ไม่สนใจว่าสตรีผู้นี้จะอยู่หรือตาย” นัยน์ตาสีม่วงของชายหนุ่มระบายไปด้วยแววขบขันที่ไม่อาจอ่านออก ค่อย ๆ เดินเข้ามาใช้มือจับคางนางไว้ช้า ๆ บีบให้นางต้องเงยหน้าขึ้น

แม้ใบหน้าซีดขาวซูบซีดของนางจะดูโทรมไปสักหน่อย แต่แววตายังมีแววดื้อรั้นซ่อนอยู่

เห็นแล้วรอยขันในแววตาชายหนุ่มยิ่งลึกล้ำ “น่าสงสารเสียจริง เจ้าทำทุกอย่างเพื่อเผ่าเทพ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ละทิ้งเจ้าไม่ไยดีอย่างง่ายดาย เจ้าอยากแก้แค้นหรือไม่?”

ไม่รอให้หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพลันหันไปทางคนเผ่าเทพ “เพราะหน้าตาศักดิ์ศรีของพวกเจ้า ถึงกับยอมละทิ้งผู้สืบบัลลังก์ที่โดดเด่นเช่นนี้ได้ลง ขอกล่าวเลยว่าความเลือดเย็นของเผ่าเทพทำให้ข้าได้เห็นอะไรใหม่เลยจริง ๆ เทียบแล้วจิตใจต่ำช้าของพวกเจ้ายังเหนือกว่าพวกข้าเผ่าปีศาจเสียอีก!”

“กล่าววาจาไร้สาระพอแล้ว เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” คนเผ่าเทพคนหนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากถามขึ้น

ชายหนุ่มยิ้มเกียจคร้านตอบ “ก็ไม่มีอะไร แต่ผู้สืบทอดของพวกเจ้านั้นยอมตายดีกว่ายอมร่วมเผ่าปีศาจ เป็นเผ่าเทพที่ซื่อสัตย์ไม่เบา และเพื่อทำให้ความต้องการนางเป็นจริง ข้าจึงตัดสินใจให้นางได้ตายอย่างเหมาะสม พวกเจ้าจากเผ่าเทพจะได้จดจำซาบซึ้งในตัวนาง เก็บนางไว้ในดวงใจชั่วนิรันดร์”

พูดจบ คนเผ่าเทพก็ส่งเสียงอึกทึกครึ่งโครม หญิงสาวที่มีใบหน้าสงบนิ่งมาโดยตลอดพลันสะดุ้ง จ้องมองชายหนุ่มด้านหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับตกตะลึงกับคำกล่าวของเขา

มันต่างจากที่เขาพูดไว้

วันนั้นยังพ่นคำพูดเย็นชาไร้ใจใส่นาง ทำเอาใจนางเย็นยะเยือกไป แต่สุดท้ายเขากลับปกป้องนางต่อหน้าคนเผ่าเทพ พยายามทำให้คนพวกนั้นรู้สึกผิดที่ต้องให้นางยอมสละเพื่อเผ่าเทพ

แต่มีเพียงนางที่รู้ว่าในใจนางเป็นเช่นไร

เขารังเกียจนางไม่ใช่หรือ? แล้วทำไม…..

“ไม่ประหารนางด้วยการเฉือนพันครั้งเล่า? ใช้ดาบคมกริบเฉือนเนื้อทีละชิ้น ๆ มันดูน่าทึ่งมากเลยนี่นา!” ใบหนาหล่อเหลาของชายหนุ่มดูไร้พิษภัย แต่ปากกลับเอ่ยคำโหดร้ายบ้าเลือดออกมา

“ประหารด้วยการเฉือนพันครั้ง รู้หรือไม่ว่ามันเจ็บปวดเหลือแสนเพียงไหน? ทุกการเฉือนเนื้อย่อมทำให้อยากตายเสียตรงนั้น แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมาน น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตาย การที่ให้ค่อย ๆ ความตายอันหวานล้ำจะมาถึงในที่สุดเมื่อเลือดหยาดสุดท้ายหยดออกจากร่าง”

“ว่ากันว่าการประหารชั้นสูงเช่นนี้ มีแต่เพชฌฆาตมือฉมังเท่านั้นจะทำได้ ทรมานเหยื่อให้ดิ้นรนทุกข์ทนจากความเจ็บปวด ไม่ใช่ให้ตายจากการโดนทรมาน บังเอิญว่าเรามีคนที่มีฝีมือเช่นนั้นในเผ่าปีศาจพอดี ไม่ให้คนอื่น ๆ ได้เปิดหูเปิดตาเสียวันนี้เลยเล่า? ทุกคนว่าอย่างไร?”

แค่ได้ยินชายหนุ่มอธิบาย ก็ทำให้นึกถึงความโหดร้ายออกแล้ว ทั้งยังเป็นการทรมานคนเป็น และเป็นสตรีอ่อนแอบอบบางร่างเล็กอีก นางจะทนได้อย่างไร?

“เจ้ามันปีศาจ!”

“คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะตอกหน้าเผ่าเทพได้หรือ? ฝันลม ๆ แล้ง ๆ!”

“เมื่อผู้สืบทอดตายไป เผ่าเทพก็เลี้ยงดูอีกคนขึ้นมาใหม่ได้ แค่ต้องใช้เวลาเล็กน้อยเท่านั้น คิดหรือว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้เผ่าเทพอับอายได้!”

“วางใจขอรับองค์หญิง เราจะให้พวกมันได้ชดใช้กับความเจ็บปวดทั้งหมดที่ท่านต้องทุกข์ทน ดังนั้นท่านไปอย่างสงบเถอะ เผ่าเทพจะจดจำท่านตลอดไป!”

—————————————

นางไม่ได้ยินเสียงรอบกายอีกต่อไป เพราะทั่วร่างนางชาหนึบไปหมด

“เห็นหรือไม่? น่าขันจริง ๆ ที่พวกเขา ไม่มีสักคนที่จริงใจอยากช่วยเจ้า คนเผ่าเทพอ้างว่าตนเองเป็นเทพได้ เพราะเสแสร้งแกล้งทำเก่งกว่าเผ่าปีศาจ ปิดบังเก็บซ่อนจิตใจสกปรกภายใต้เปลือกนอกที่ดูศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้ดีจริงเชียว”

ชายหนุ่มเอยคำเบา ๆ กับหญิงสาวข้างกาย

นางไม่รู้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้กับนางไปทำไม เขาจะฆ่านางไม่ใช่หรือ? เหตุใดยังไม่ลงมืออีก?

ในตอนที่จิตใจกำลังสับสนวุ่นวายนั่นเอง นางก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังน่าเกรงขามที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและไอสังหารเฉียบขาดพุ่งตรงมาหานาง มันดุดันและรวดเร็วมากจนนางไม่อาจหลบทัน

ร่างนางยืนค้างตัวเย็นเฉียบอยู่เช่นนั้น ไม่เหลือเค้าความอบอุ่นใด

เพราะพลังที่นางสัมผัสได้….. คือพลังที่นางคุ้นเคยยิ่งนัก