วารุณีหันหน้าไปยิ้มให้เขา“เปล่าจ้ะ”
“งั้นทำไมหม่ามี๊กับพ่อไม่คุยกันล่ะคะ?”ไอริณกะพริบตาปริบๆ ถามเช่นกัน
วารุณีมองไปที่นัทธี“หม่ามี๊กับพ่อ กำลังคิดเรื่องหนึ่งอยู่น่ะ”
“แบบนี้นี่เอง”เด็กทั้งสองพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจแล้ว
ตอนนี้ในที่สุดนัทธีก็พูดออกมา“นั่งดีๆ จะขับรถแล้ว”
วารุณีก็รีบกำชับเด็กทั้งสองคน“รีบนั่งให้ดี อย่าขยับมั่วนะ”
“อือๆ”เด็กทั้งสองคนตอบกลับอย่างเชื่อฟัง นั่งตรงที่นั่งเด็กอย่างนิ่งๆ ไม่ขยับ
นัทธีสตาร์ทรถออก ขับไปที่คฤหาสน์
ตอนที่ถึงคฤหาสน์ เด็กทั้งสองคนก็ลงจากรถอย่างดีใจ วิ่งไปที่คฤหาสน์ แป๊บเดียวก็เข้าไปที่ประตู เข้าไปในคฤหาสน์
วารุณีไม่รีบร้อน และยืนรอนัทธีอยู่หน้าประตู อยากรอให้เขาจอดรถเสร็จ เข้าไปด้วยกันกับเขา
ดังนั้นนัทธีจอดรถเสร็จ ก็ออกมาจากโรงจอดรถ ตอนที่เห็นเธอ ก็แปลกใจเล็กน้อย“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”
“รอคุณไง”วารุณีลูบมือที่เย็นเล็กน้อย แล้วเป่าลมออกไปที่ฝ่ามือ
ตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว จังหวัดจันทร์ก็เข้าสู่ต้นฤดูหนาวแล้ว หนาวมาก แค่อยู่ด้านนอกแป๊บเดียว มือและเท้าก็เย็นแล้ว
นัทธีมองร่างของวารุณีที่หดตัวลง แต่กลับรอเขาไม่ยอมเข้าไป คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แล้วดึงมือของเธอไป“รีบเข้าไป”
“อือ”ฟังความกังวลและเป็นห่วงในน้ำเสียงของเขาออก วารุณีรู้ว่าเขาไม่โกรธที่เธอพูดถึงพงศกรแล้ว ในที่สุดก็ยิ้มออกมา แล้วเข้าไปในคฤหาสน์กับเขา
จากนั้นตอนที่เข้าไปในห้องรับแขก วารุณีก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนกำลังพูดอยู่“พวกหนูชื่ออะไรกันเหรอ?”
นวิยา!
เธออยู่ที่นี่!
วารุณีมองไปที่นัทธีทันที อยากรู้ว่าใช่เขาที่เรียกนวิยามาหรือเปล่า
แต่หลังจากเห็นนัทธีขมวดคิ้ว และแววตาปรากฏความแปลกใจเล็กน้อยออกมาแล้ว ก็เข้าใจว่า ที่นวิยามา ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ทำให้ในใจเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น
วารุณีกับนัทธีเดินไปข้างหน้าต่อ ในที่สุดก็เห็นฉากในห้องรับแขก
เห็นแค่นวิยากำลังนั่งอยู่บนโซฟา มองเด็กทั้งสองด้วยใบหน้าที่แสนเอ็นดู ชัดเจนว่าคำพูดเมื่อกี๊ ถามเด็กทั้งสองคน
ส่วนเด็กสองคนนั้นกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ คนหนึ่งดูระวังตัว อีกคนดูแปลกใจ
ที่ดูระวังตัวคืออารัณ ที่แปลกใจคือไอริณ
ไอริณเอียงศีรษะมองดูนวิยา เหมือนแปลกใจว่าเธอเป็นใครกันแน่
ไม่รอให้ไอริณได้ถาม อารัณก็ตาดีมองเห็นวารุณีกับนัทธีเข้ามาแล้ว รีบจูงไอริณกระโดดลงจากโซฟา วิ่งไปหาสองคนนี้“หม่ามี๊ พ่อ!”
นวิยาได้ยินคำว่าพ่อจากเด็กทั้งสอง สายตาก็หม่นลงแป๊บหนึ่ง แต่แป๊บเดียวก็คืนกลับไปเป็นปกติ เร็วจนไม่มีใครเห็น
วารุณีก้มเอว ลูบผมของเด็กสองคน“ช้าหน่อยลูก”
“หม่ามี๊ คุณน้าคนนั้นคือใครเหรอคะ?”ไอริณบิดตัว ชี้ไปที่นวิยาแล้วถาม
วารุณีมองนวิยาแวบหนึ่ง แล้วยิ้ม“โอเค ไม่ต้องถามแล้ว ขึ้นไปข้างบนกับพี่ไป อารัณ พาน้องไปด้วย”
อารัณพยักหน้า“ครับหม่ามี๊”
พูดจบ เขาก็จูงไอริณขึ้นไปข้างบน
นัทธีเดินมานั่งลงตรงหน้าโซฟาที่อยู่ตรงข้ามนวิยา“คุณมาได้ไง?”
“ฉันได้ยินพิชิตบอกว่า คุณวารุณีกับลูกสองคนของเธอย้ายมาอยู่กับคุณที่นี่แล้ว ฉันก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นกับลูกสองคนนี้ของคุณวารุณี ก็เลยมาดูน่ะ”นวิยามองไปที่วารุณี“คุณวารุณี ลูกทั้งสองของคุณหน้าตาน่ารักมาก ชื่ออะไรกันเหรอคะ?”
วารุณีก็เดินไปที่โซฟา แต่ไม่ได้นั่งกับนัทธี เธอเลือกนั่งแยกเองคนเดียว
นัทธีเห็นแบบนี้ สายตาก็หม่นลงไป ไม่ค่อยพอใจหน่อยๆ แต่ไม่พูดอะไร
วารุณีนั่งลงไปแล้ว ก็วางกระเป๋าลง แล้วจึงตอบนวิยาไป“พี่ชายชื่อว่าอารัณ ส่วนน้องสาวชื่อว่าไอริณค่ะ”
“อารัณไอริณ……ชื่อนี้ดีจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารัณ ไม่ใช่แค่ชื่อเพราะนะ หน้าตาก็ยังไม่ธรรมดาด้วย เหมือนกับนัทธีมากๆ ถ้าไม่ใช่ว่ารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันก็คิดจริงๆแล้วว่าอารัณเป็นลูกของนัทธี”นวิยาใช้มือถูไถแก้วน้ำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พูดออกไปด้วยรอยยิ้มที่มีนัยแฝง
นัทธีนั่งไขว่ห้าง“ตอนนี้พวกอารัณเป็นลูกของผม”
“ฉันหมายถึงลูกแท้ๆ”นวิยามองเขาอย่างตำหนิ จากนั้นมองไปที่วารุณีอีกครั้ง“คุณวารุณี อารัณคงไม่ใช่ลูกแท้ๆของนัทธีหรอกนะคะ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ค่ะ!”วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับเต้นตึกตัก ละสายตาลง แล้วปกปิดความตื่นตระหนกในดวงตา
แย่แล้ว นวิยาคงไม่ได้สงสัยความสัมพันธ์ของอารัณกับนัทธีหรอกนะ?
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นนวิยาจะแอบสืบ หรือตรวจดีเอ็นเอไหมนะ?
“คุณวารุณีกำลังคิดอะไรเหรอคะ?”นวิยาดื่มน้ำ แล้วพูดออกมา
วารุณีส่ายหน้า“เปล่าค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง”นวิยาพยักหน้า แล้วทันใดนั้นก็เอนตัวไปข้างหน้า“คุณวารุณี ฉันอยากรู้ว่าพ่อแท้ๆของเด็กคือใคร ทำไมลูกทั้งสองคนของเขา ถึงได้เหมือนกับนัทธีขนาดนี้”
ได้ยินอย่างนั้น นัทธีก็มองไปที่วารุณี
ที่จริงเขาก็อยากรู้มาตลอดว่า เธอเคยคบกับใครมาก่อน ไม่ได้ถือสาอะไร แค่อยากรู้อดีตของเธอ
ทำไมเกี่ยวกับพ่อแท้ๆของเด็กทั้งสองคน เขาถึงสืบไม่ได้เลย
วารุณีรู้สึกถึงสายตาของนัทธี ทันใดนั้นก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหน่อยๆ นวิยาจงใจบังคับให้เธอพูดอย่างชัดเจน
แต่เธอพูดไม่ได้ เพราะว่าเธอไม่คิดว่าจะพูดความจริงออกไปในช่วงนี้
เธอกับนัทธีเพิ่งคบกันไม่นาน ความรู้สึกยังไม่มั่นคง เธอจะพูดไปได้อย่างไร
“ทำไมเหรอ คุณวารุณีลำบากใจเหรอคะ?”นวิยาเห็นวารุณีไม่ยอมพูด แสงแห่งความประหลาดใจก็แวบเข้าผ่านดวงตา
วารุณียืนขึ้นมา ก้มหน้าลง ทำให้คนมองอาการของเธอไม่ออก“ขอโทษค่ะคุณนวิยา เรื่องเกี่ยวกับพ่อแท้ๆของเด็กทั้งสองคน ผมไม่อยากพูดถึงมาก ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบ เธอก็ก้าวเท้าออกไปจากโซฟา ขึ้นไปด้านบน
นัทธีมองร่างของเธอ แล้วก็เม้มริมฝีปากบางๆ สายตาก็ลึกซึ้งเหมือนกับบ่อน้ำโบราณ
นวิยาเห็นเขาใส่ใจวารุณีขนาดนี้ ก็หรี่ตาลง จากนั้นกัดริมฝีปาก ฝืนยิ้มพูดออกไป:“นัทธี ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า พูดอะไรแทงใจคุณวารุณีเหรอ?”
นัทธีละสายตากลับไปที่เธอ“โอเค คุณกลับโรงพยาบาลก่อนดีกว่า”
“แต่ฉันเพิ่งมาไม่นานเอง”นวิยาบ่นพึมพำ ไม่ยอมหน่อยๆ
นัทธียืนขึ้นมา“ตอนนี้คุณยังไม่ถึงเวลาที่จะออกจากโรงพยาบาลเลย ออกมาจากโรงพยาบาลนานไม่มีผลดีต่อคุณ ผมจะส่งคุณกลับไป”
นวิยาก็ยันโซฟาลุกขึ้นมา“นัทธี ฉันใกล้จะออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว พอฉันออกมาจากโรงพยาบาล ฉันมาอยู่บ้านคุณได้ไหม?”
เธอมองไปที่เขาอย่างคาดหวัง
นัทธีขมวดคิ้ว“พักบ้านผมเหรอ?”
“ใช่!”นวิยาพยักหน้า
ริมฝีปากของนัทธีขยับเบาๆ“คฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิ ไม่ใช่ว่าผมโอนกรรมสิทธิ์ให้คุณแล้วหรือไง?”
“ฉันไม่อยากพักอยู่คนเดียว”นวิยาจับแขนของเขาไว้แล้วส่ายไปมา“พ่อแม่ฉันก็ไม่อยู่แล้ว ฉันอยู่คฤหาสน์นั้นคนเดียว ก็จะทำให้เห็นภาพในอดีต นัทธีคุณน่าจะเข้าใจฉันใช่ไหม?”
ได้ยินคำนี้ สายตาของนัทธีก็หม่นลงไป เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วดึงแขนออกมา“เข้าใจแล้ว รอคุณออกจากโรงพยาบาลก่อน ผมจะหาห้องให้คุณ”
“ขอบคุณค่ะนัทธี”นวิยายิ้มอย่างดีใจ
นัทธีประคองเธอ เดินออกไปจากคฤหาสน์
ด้านบน วารุณียืนอยู่ตรงระเบียงแห่งหนึ่ง มองทั้งสองคนออกไป ในใจก็รู้สึกหึงหวงหน่อยๆ
แต่การหึงนี้มาไว ก็ไปไวเช่นกัน
ยังไงเธอก็เข้าใจได้ว่า ร่างกายอย่างนวิยา ถ้านัทธีไม่ไปส่งเองกับตัว ก็ไม่วางใจ
“หม่ามี๊ หม่ามี๊กำลังมองพ่อกับคุณน้านวิยานั่นเหรอ?”ไม่รู้ว่าอารัณออกมาเมื่อไหร่ กำลังยืนอยู่ข้างวารุณี แล้วจู่ๆก็พูดออกมา