บทที่ 274 สอบถามข่าวคราว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีตกใจเล็กน้อย“คุณน้านวิยา?ลูกรัก ลูกรู้จักเธอเหรอ?”

เหมือนว่าเธอ จะไม่เคยแนะนำนวิยาให้เด็กทั้งสองคนนี้นะ

อารัณพยักหน้าเล็กๆนั้นลง“รู้จัก ครั้งนั้นที่ห้องคนไข้ของพ่อบุญธรรม ผมได้ยินเสียงของเธอ”

ที่แท้ก็แบบนี้เอง

วารุณีเงยคางขึ้นมาทันที“ถูกต้อง เธอก็คือคุณน้านวิยาคนนั้น”

“เธอมีความสัมพันธ์อย่างดีกับพ่อเหรอครับ?”อารัณเงยหน้ามองเธอแล้วถามอีกครั้ง

วารุณีลังเลเล็กน้อย แล้วตอบอือ“เป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กน่ะ”

“อ้อ”อารัณกำฝ่ามือเล็กๆนั้นไว้ สื่อว่าเข้าใจ

แต่จากนั้น เขาก็เบะปากเล็กๆลง“ผมไม่ชอบเธอเลย”

“ทำไมล่ะ?”วารุณีมองเขา

ถ้าเธอจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่อารัณบอกว่าไม่ชอบนวิยา

ครั้งแรก ก็ที่ห้องคนไข้ของพงศกร

อารัณมองไปด้านนอก“เธอไม่ใช่คนดี เมื่อกี๊ตอนที่อยู่ข้างล่าง สายตาที่เธอมองผมกับไอริณ เย็นชามาก ดูไม่ชอบ เธอไม่ชอบผมกับไอริณครับ”

วารุณีได้ยินคำนี้ ก็ไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก ได้แต่นั่งย่อตัวลงไป แล้วจับเด็กชายตัวน้อยมาไว้ในอ้อมแขนเบาๆ“ธรรมดามาก เพราะว่าคุณน้าคนนั้นชอบพ่อ ก็เลยไม่ชอบพวกหนูไง”

อารัณเอนไปในอ้อมแขนของเธออย่างเชื่อฟัง“ที่แท้ก็แบบนี้เอง แต่ผมก็ไม่ชอบที่พ่อเดินใกล้ชิดกับเธอ”

วารุณีลูบผมของเขา“เอาน่ะ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ลูกยังเด็ก อย่าห่วงเลย ไปเล่นกับน้องเถอะ เดี๋ยวครูก็มาแล้วนะ”

ครูการสอนชนชั้นนำที่นัทธีหาให้อารัณ หาได้เรียบร้อยแล้วเมื่อวาน

วันนี้จะเริ่มสอนอย่างเป็นทางการ หวังว่าเด็กคนนี้จะยืนหยัดต่อไปได้

อารัณกลับไปแล้ว กลับไปหาไอริณที่ห้อง

วารุณีก็ไม่ได้อยู่ที่ระเบียงนานมากนัก ยังไงก็หนาวเล็กน้อย ดังนั้นยืนอยู่สักพักจึงกลับเข้าห้อง

ตอนนี้เอง ป้าส้มก็เข้ามาเรียกไปทานข้าว

วารุณีพาเด็กทั้งสองคนลงไปกินข้าว ส่วนนัทธียังไม่กลับมา

นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาสามคนแม่ลูกย้ายมาแล้ว ไม่ได้กินข้าวกับนัทธี จึงรู้สึกไม่ชินนัก

ทานข้าวเสร็จ ครูของอารัณก็มา

วารุณีพาไอริณไปฟังที่ห้องอ่านหนังสือด้วยสักพัก ก็พบว่าปวดหัวหน่อยๆ จึงออกไป เตรียมอาบน้ำให้ไอริณและพาเข้านอน

พอเธออาบน้ำให้ไอริณเสร็จแล้วออกมา ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถด้านนอกคฤหาสน์

“หม่ามี๊ พ่อกลับมาแล้วเหรอคะ?”ไอริณที่เพิ่งนอนลงบนเตียงก็ถาม

วารุณีห่มผ้าห่มให้เธอ“น่าจะนะ ลูกนอนเถอะ เดี๋ยวหม่ามี๊ไปดู”

“อือ”ไอริณพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

วารุณีจูบลงไปที่หน้าผากของเธอ ออกไปจากห้องเบาๆ แล้วลงไปชั้นล่าง

เธอลงมาชั้นล่าง ก็เห็นนัทธีเข้าไปในห้องรับแขก ที่ตัวสวมแค่เชิ้ตสีดำตัวหนึ่ง เสื้อสูทที่สวมอยู่นั้น กลับหายไป

เห็นภาพแบบนี้ สายตาวารุณีก็สั่นคลอน เดาว่าที่สูทหายไป น่าจะอยู่ที่นวิยา

ที่แท้ เขาไม่ใช่แค่ให้เสื้อตัวนอกกับเธอ เขายังให้คนอื่นด้วย

“เป็นอะไรเหรอ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำไม?”นัทธีเห็นวารุณียืนเหม่อลอยอยู่ที่ใต้บันได ดึงเนกไทไป ก็ถามไปด้วย

วารุณีส่ายหน้า“ไม่เป็นไร ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ล่ะ?”

“อยู่กับนวิยาที่โรงพยาบาลพักหนึ่งน่ะ ก็เลยดูอาการป่วยของเธอไปด้วยเลย”นัทธีเอาเนกไททิ้งลงไปที่โซฟา นั่งลงไป ก็ขยี้คิ้วแล้วตอบ

วารุณีมองใบหน้าเขาที่ดูอ่อนล้า จึงเดินเข้าไป เดินไปหยุดที่หลังเขา เอื้อมมือออกไปตรงพนักพิงโซฟา นวดขมับให้เขา

นัทธีตะลึงก่อนเล็กน้อย จากนั้นได้สติคืนมา เธอก็นวดให้เขา คิ้วที่ขมวดก็คลายออก หลับตาลงเพลิดเพลินกับมัน

วารุณีก้มหน้าลงมองเขาที่เย็นชา เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง จึงถามอย่างแปลกใจ“อาการป่วยของคุณนวิยาเป็นไงบ้าง?”

“ฟื้นฟูได้ไม่เลว แต่ว่าดวงตา!”นัทธีจึงพูด:“ตาของเธอ มองเห็นต่อไปได้ไม่นานแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้น มือวารุณีที่เคลื่อนไหวอยู่ก็ชะงักไป แต่แป๊บเดียวก็นวดต่อไปอีก

“กระจกตาเหรอ?”เธอถามอีกครั้ง

นัทธีตอบอือ

วารุณีนึกถึงเมื่อก่อนที่พงศกรเคยพูดกับเธอ นวิยาชอบกระจกตาของเธอ แล้วภายในใจก็รู้สึกอึมครึม ลองพูดไปว่า:“งั้นคุณนวิยาจะทำการผ่าตัดเมื่อไหร่เหรอ มีกระจกตาหรือยัง?”

“มี ทำเดือนหน้าแล้ว”นัทธีลืมตาขึ้นมา

วารุณีรู้สึกเกร็ง อ้าปากออกมา“กระจกตาของใครเหรอ?”

“ไม่รู้สิ ไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้บริจาค ผมก็ไม่ได้ถามพิชิต”นัทธีส่ายหน้าเล็กน้อย

วารุณีโล่งอก ไม่ได้ถามอีก

ผ่าตัดเดือนหน้าแล้ว ยังมีผู้บริจาคด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมากไป

แต่ว่าเมื่อก่อนเธอได้ยินพิชิตบอกว่า นวิยาไม่พอใจกระจกตาที่โรงพยาบาลหามาให้ตลอด ตัวเองมีที่ชอบอยู่คู่หนึ่งแล้ว หรือว่าจะเป็นคู่นั้น?

“เหม่ออีกแล้วเหรอ?”นัทธีเห็นวารุณีไม่นวดสักพัก แต่มือยังอยู่ที่ขมับเขา ก็สงสัยหน่อยๆ จึงหันไปมองเธอ เห็นเธอดูเหม่อเลย

นี่เป็น นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอเหม่อลอยในคืนนี้

แววตาของวารุณีสั่นคลอน ความคิดกลับคืนมา“เปล่า น่าจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่”

“ง่วงแล้วเหรอ?”นัทธีเลิกคิ้วขึ้น

วารุณีหาวออกไป“นิดหน่อย”

“งั้นขึ้นไปพักผ่อนเถอะ”

พูดไป เขาก็จับมือของเธอออกจากขมับ จากนั้นลุกขึ้น จูงเธอขึ้นไปข้างบน

และก็เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่ดุเดือด

วันถัดมาวารุณีมาที่สตูดิโอด้วยความปวดไปทั้งตัว และก็ถูกปาจรีย์แซวไปอีกครั้ง

วารุณีตีเธออย่างเซ็งๆ“พอแล้วน่ะ ไม่ต้องหัวเราะแล้ว ไปเถอะ ไปร้านอาหารบลูสกาย ยังต้องไปพบเลขาฯ เสกข์นะ”

“โอเคๆๆ ฉันไม่หัวเราะแล้ว”ถึงปาจรีย์จะพูดแบบนี้ แต่รอยยิ้มในดวงตา กลับปกปิดไว้ไม่อยู่

วารุณีขี้เกียจสนใจเธอ หยิบอัลบั้มออกแบบออกมาแล้วออกไปจากสตูดิโอ

ปาจรีย์ก็รีบตามไป

แป๊บเดียว ก็มาถึงร้านอาหารบลูสกาย

พนักงานเสิร์ฟพาทั้งสองคนมาที่ห้องส่วนตัว“เชิญคุณผู้หญิงทั้งสองด้านใน ตอนนี้คุณเสกข์กำลังพบลูกค้าห้องข้างๆ เดี๋ยวก็มาแล้วครับ”

“ค่ะ”วารุณีพยักหน้า เข้าไปในห้องส่วนตัวกับปาจรีย์

หลังจากพนักงานเสิร์ฟเอาชามาให้ ก็ออกไป

ในห้องส่วนตัวเหลือแค่พวกเธอสองคน

ปาจรีย์หยิบชาแดงขึ้นมาจิบหนึ่งคำ“วารุณี ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”

“เรื่องอะไร?”วารุณีกำลังเปิดดูอัลบั้มออกแบบของตัวเอง ได้ยินคำพูดของเธอ ก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วแป๊บหนึ่งก็ก้มหน้าลง

ปาจรีย์ลังเลเล็กน้อย“ฉันได้ยินมานะ คือฉันได้ยินมาว่า ประเทศของพวกเราจะผลิตเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่เป็นของพวกเราเอง”

“อะไรนะ?”วารุณีตกใจกับข่าวนี้ของเธอ“จริงเหรอ?ข่าวนี้เชื่อได้ไหม?”

“ฉันไม่รู้ ฉันได้ยินมา”ปาจรีย์ส่ายหน้า

วารุณีมองเธอ“เธอได้ยินที่ไหน ทำไมฉันไม่เคยได้ยินล่ะ?”

ปาจรีย์กลอกตาใส่“เธอไม่ได้ไปคุยธุรกิจที่ไหน แล้วเธอจะไปได้ยินมาจากไหนล่ะ?”

“ก็ใช่”มุมปากของวารุณีกระตุก

ปาจรีย์ดื่มชาไปอีกคำ แล้วพูดต่อไปว่า:“เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย หรือว่าเครื่องประดับ หรือว่ารองเท้ากระเป๋าและเครื่องสำอาง แบรนด์หรูระดับต้นๆพวกนี้ โดยทั่วไปแล้วเป็นของต่างชาติ และประเทศของเรากลับมีแค่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปยี่ห้อนี้อย่างเดียว แต่ด้านเครื่องแต่งกายนั้น บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็ยังไม่ไปถึงระดับแบรนด์หรูสายblue blood”(**blue blood จัดเป็น top of luxury brand 6 แบรนด์ คือ Dior, Chanel, LV, Gucci, Prada, CK / red blood ได้แก่ Givency, Armani, Saint Laurent, Valentino, Versace, Hermes, Lanvin, Burberry)

“อันนี้ฉันรู้ แล้วยังไงต่อ?”วารุณีปิดอัลบั้มออกแบบลง

บริษัทเครื่องแต่งกายที่อยู่ภายใต้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป เพิ่งก่อตั้งมาปีกว่า และเป็นเพราะงานแฟชั่นโชว์‘Bath fire rebirth’ในครั้งที่แล้ว ที่ทำให้ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากไม่มีดีไซเนอร์ที่ดีในการดูแล บริษัทเครื่องแต่งกายจะอาศัยแค่ชื่อของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป เพื่อทำให้แบรนด์ก้าวไปสู่ระดับแบรนด์หรูสายred blood แต่ก็ยังอยู่ห่างจากแบรนด์หรูสายblue bloodอีกไกล

มีแค่แบรนด์หรูทั้งหกแบรนด์หรูสายblue bloodเท่านั้น ถึงจะเป็นแบรนด์หรูที่แท้จริง