บทที่ 257 ทหารผ่านศึกไปเสียเที่ยว (1)

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 257 ทหารผ่านศึกไปเสียเที่ยว (1)

บทที่ 257 ทหารผ่านศึกไปเสียเที่ยว (1)

เฉินจื่ออันเป็นคนมีฝีมือดีคนหนึ่ง แถมยังแบกปืนไม้ไปด้วย

ตอนมาถึงหงซินก็ตะโกนเรียกทุกคนให้ไปล่าเนื้อด้วยกัน

สองปีมานี้ได้กินเนื้อสัตว์จากเขาที่บ้านพ่อตาส่งมาให้ไม่น้อย กินอิ่มหนำสำราญ

อิ่มจนเฉินจื่ออันมีภาพจำว่า บนภูเขาของหงซินเต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย

เฉินจื่ออันลืมไปเลยว่า ความเป็นจริงไม่อาจเป็นเช่นนั้น

ไม่งั้นถ้าอาศัยแค่เนื้อสัตว์บนภูเขา ชีวิตของผู้คนในหงซินก็คงจะไม่ลำบากยากเข็ญ

คราวนี้เขามานอนที่หงซินหลายวันเลย และคิดว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องแสดงความสามารถแล้ว

คุณย่าซูได้ยินก็รีบห้ามทันที

“ขึ้นไปทำอะไรบนเขาน่ะ หนาวขนาดนี้ ปีนี้บ้านเรามีเนื้อเยอะแล้วนะ มีให้พอกินแล้ว”

เฉินจื่ออันที่เต็มไปด้วยด้วยความตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อ

ผ่านมาตั้งหลายปีไม่เคยมีโอกาสออกล่าสัตว์เลย

“ป้า ผมทำงานมาตั้งหนึ่งปีเลยอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปขึ้นเขาบ้าง จะได้เอาแกะกลับมาด้วย อากาศแบบนี้ดื่มซุปแกะดีที่สุดนะครับ”

บ้านเรามีเนื้อเยอะก็จริง แต่ไม่มีเนื้อแกะ

ช่างเถอะ จื่ออันโตแล้ว อยากไปก็ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก!

คุณย่าซูปล่อยวางเรื่องนี้ทันที!

เสี่ยวจิ่วมองอาเขยใหญ่ ก่อนจะรีบถามว่า “อาเขย อาจะพาเสี่ยวเถียนไปด้วยไหมครับ?”

เฉินจื่ออันไม่รู้ว่าทำไมหลานชายถามแบบนั้น จึงรีบตอบ “เสี่ยวเถียนยังเด็กอยู่เลย เป็นเด็กผู้หญิงด้วย”

เขามองไปที่ท่าทางแปลก ๆ ของเสี่ยวจิ่ว และคิดว่าเด็ก ๆ คงอยากตามขึ้นเขาไปด้วย

แต่ในความคิดของเขาคือ บนภูเขานั้นอันตรายเกินไป ต้องพาเด็กเล็กแบบนี้ไปด้วยคงจะแย่เอาถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“เสี่ยวจิ่วอยากขึ้นเขาหรือ? แต่เธอยังเด็กอยู่เลยนะ รออีกสักสองปีค่อยพาเธอไปด้วยแล้วกัน”

เสี่ยวจิ่วไม่ได้เสียใจกับคำพูดนั้น กลับกันแค่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน

เด็กคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจที่อาเขยไม่พาเสี่ยวเถียนขึ้นเขาไม่ล่าสัตว์เหมือนกัน

ไม่พาเสี่ยวเถียนขึ้นเขาไปวิ่งเล่นหน่อยหรือ?

ไม่งั้นเขาน่าจะเจอแค่กิ่งไม้แห้ง ๆ เท่านั้นนะ

แต่เพราะคิดว่าเฉินจื่ออันเป็นคนที่มีความสามารถ จึงไม่พูดอะไร

หลังอาหารเย็น ทุกคนนั่งคุยกันสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

วันที่สอง เฉินจื่ออันพาพวกพี่ใหญ่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ก่อนจากไปเขาพูดอย่างมั่นใจว่าจะมีซุปเนื้อแกะสำหรับมื้อค่ำวันนี้

เสี่ยวจิ่วมองเขาด้วยสายตาที่แปลกมาก ๆ แต่เฉินจื่ออันไม่ได้ใส่ใจอะไร

เขาแตะหน้าผากหลานชายก่อนจะเอ่ยว่า “ไอ้หนู อีกไม่กี่ปีค่อยขึ้นเขาแล้วกันนะ!”

เสี่ยวเถียนได้ฟังก็คิดว่า อีกสองปีเกรงว่าคงไม่อาจล่าเนื้อได้อีกแล้ว

พอถึงตอนนั้นจะมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าออกมา การล่าสัตว์ถือเป็นความผิด

แต่ตอนนี้อย่าพูดออกไปให้คนเขาไม่สบายใจเลย

เสี่ยวเถียนวางแผนจะแสดงพลังในการทำแป้งทอดวันนี้อย่างกระตือรือร้น

ตอนที่เห็นพวกเขาจากไป คุณย่าซูที่กำลังจุดไฟก็พูดขึ้นทันทีว่า “ย่าว่าวันนี้พวกเขาน่าจะไปเสียเที่ยวนะ”

หม่านซิ่วไม่เข้าใจคำพูดนั้น และคิดแค่ว่าแม่น่าจะกังวลที่จื่ออันไม่คุ้นเคยกับเส้นทางบนภูเขา และน่าจะล่าเนื้อไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขึ้นไปดูสักหน่อย แค่ไปเล่น ๆ กันเอง”

ตอนที่หม่านซิ่วพูด เธอไม่ได้รีบร้อนในการสับเนื้อเลย

“ซิ่วเอ๋อร์เอ้ย ปีนี้แม่ผัดเนื้อสับขลุกขลิกไว้เยอะเลย เดี๋ยวใส่โหลแยกไปให้นะ หลังปีใหม่ก็เอาไปด้วย”

“แม่ ทำไมยังคอยหนุนบ้านฉันอยู่เนี่ย ถ้าพวกพี่สะใภ้รู้เข้า เดี๋ยวพวกเขาจะโกรธเอาได้นะ!”

หวังเซียงฮวาที่เดินเข้ามาบังเอิญได้ยินพอดี ก็พูดอย่างร่าเริงว่า “จะโกรธอะไรกันล่ะ เอาไปเถอะน้องใหญ่”

เธอไม่ได้ค้านอะไร เพราะสะใภ้อีกสองคนก็ไม่ใช่คนจากชุมชน ของที่แจกจ่ายมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย จึงไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว

แน่นอนว่าหม่านซิ่วไม่ใช่คนคิดหยุมหยิม ประโยชน์ที่บ้านเราได้รับ เธอก็จะหาวิธีมาตอบแทนเสมอ

ลูกสะใภ้ทั้งสามยังทนกับหม่านเซียงได้ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ของหม่านซิ่วที่ดีแบบนี้

“น้องใหญ่ ไม่ต้องใส่ใจคำพูดพี่มากก็ได้นะ แต่ปีนี้เธอคอยดูแลเด็ก ๆ บ้านเราให้ แค่เนื้อผัดโหลเล็กโหลเดียวเอง โหลใหญ่กว่านี้ยังสมควรได้รับเลย!”

ฉีเหลียงอิงพูดด้วยความจริงใจ แม้ว่าเธอจะเป็นคนใจแคบ แต่เธอก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรจะคิดหยุมหยิมเกินไป

เพราะบรรยากาศในบ้านเราดีมาก ๆ และทุกคนก็ไม่ใช่คนคิดเยอะอะไรอยู่แล้ว

กับเหลียงซิ่วยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกฝ่ายเป็นคนมีเหตุผล ไม่คิดอะไรเยอะแยะหรอก

“แม่ กินเนื้อก้อน เนื้อก้อน!” เฉินซิ่วหย่วนวิ่งเข้ามาในครัวตอนไหนไม่รู้ ก่อนจะเข้ามากอดขามารดา

“เอ้ย ซิ่วหย่วนน้อยเข้ามาได้ยังไงเนี่ย เสี่ยวจิ่วดูน้องยังไงฮึ รีบพาออกไปเร็วเข้า เดี๋ยวจะโดนลวกเอา!” ฉีเหลียงอิงรีบตะโกนออกไปข้างนอก

เสี่ยวชีวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถมยังหลอกให้สหายตัวน้อยออกไปจากครัวด้วย

เสี่ยวเถียนนั่งอย่างเชื่อฟังที่โต๊ะ เปลี่ยนก้อนแป้งในมือให้เป็นรูปต่าง ๆ

เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ฝีมือดี ทำรูปดอกไม้ได้ ทั้งยังทำรูปเสื้อและสัตว์ตัวอื่น ๆ ได้อีกด้วย

แต่ละตัวเหมือนจริงมาก ขนาดคุณย่าซูยังอุทานที่หลานสาวทำได้ประณีตขนาดนี้

ปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์นัก บ้านเราไม่ได้ทำแค่เนื้อชุบแป้งทอดและเนื้อก้อนทอดเท่านั้น แต่ยังทำแป้งทอดรูปร่างต่าง ๆ ไว้อีกเพียบเลยด้วย

พวกผู้ใหญ่อยากจะทำหมาฮวา*[1] กับแป้งทอด เสี่ยวเถียนจึงปั้นเป็นรูปร่างต่าง ๆ ให้

เถาฮวาที่พาลูกสาวมาช่วยเห็นฉากนี้เข้าพอดี

“เสี่ยวเถียนฝีมือดีจริง ๆ ถึงจะบอกว่าเสี่ยวเหมยเก่ง แต่เทียบกับเสี่ยวเถียนแล้วไม่เท่าไรเลย!” เถาฮวามองและอดไม่ได้ที่จะชม

“เด็กคนนี้ชอบช่วยงานครัวตั้งแต่เด็กเลยน่ะ”

ถึงหญิงชราจะพูดอย่างเกรงใจ แต่น้ำเสียงไม่ได้ซ่อนความภาคภูมิใจเลยสักนิด

โชคดีที่คุ้นเคยกับความรักไม่คิดปิดบังของคุณย่าซูที่มีต่อเสี่ยวเถียน จากนั้นเถาฮวาก็ล้างมือแล้วช่วยนวดแป้ง

เสี่ยวเหมยที่ทำแป้งเป็นรูปร่างต่าง ๆ ด้วยกันกับน้องสาวรู้สึกสนใจมาก

ทั้งครอบครัวต่างยุ่งวุ่นวาย ตอนเที่ยงจึงกินแค่แป้งทอดแผ่นเดียว

ตกบ่าย ฝั่งพวกผู้หญิงเพิ่งจะทำงานเสร็จก็เห็นพวกเฉินจื่ออันกลับมาในสภาพเนือย ๆ

อย่าว่าแต่แกะเลย แม้แต่ไก่ก็ยังจับไม่ได้

หม่านซิ่วมองสามีที่กลับมามือเปล่า ก่อนจะหัวเราะ “ว่าแล้วเชียว เป็นอย่างที่แม่พูดเสียจริง ๆ!”

“ป้าพูดว่าอะไรหรือ?” เฉินจื่ออันถามอย่างสงสัยขณะล้างมือ

“แม่บอกว่าวันนี้คุณจะกลับมามือเปล่า!”

เฉินจื่ออันเองก็สงสัยว่าคนบ้านซูทำอย่างไรถึงได้เนื้อมาเยอะขนาดนั้น ตัวเองขึ้นเขาไปรอบเดียว แต่กลับมามือเปล่าเนี่ยนะ?

หรือทหารที่เคยผ่านศึกจะสู้เด็ก ๆ ไม่ได้?

“คุณป้ารู้ได้ยังไงว่าวันนี้ฉันจะกลับมามือเปล่าน่ะ?” เฉินจื่ออันอดถามอย่างสงสัยไม่ได้

หม่านซิ่วส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ!”

เสี่ยวจิ่วที่อยู่ข้าง ๆ บังเอิญได้ยินพอดี จึงพูดอย่างคร่งขรึม “นั่นเป็นเพราะอาเขยไม่ได้พาเสี่ยวเถียนไปด้วยครับ”

[1]* แป้งทอดเป็นเกลียว ๆ คล้ายกับปาท่องโก๋ ทอดจนกรอบ