ขณะที่ทั้งสองกําลังสนทนากันนั้น หัวเป่าหมูสามารถตรวจจับบรรยากาศตึงเครียดระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว และขณะที่เขากําลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ในตอนนั้นเสียงของผู้ใดบางคนที่อยู่ด้านนอกก็กล่าวว่า
“องค์หญิงเก้าตรัสว่าพระองค์ทรงปวดท้องและรีบร้อนวิ่งออกไปด้านนอก!”
เจ้าเด็กจอมซน!
หัวเป่าหยูรีบร้อนลุกขึ้นยืนโดยไม่คํานึงถึงสิ่งใดพร้อมกับกล่าวทันที
“เซียนจูโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่…ข้าจะออกไปตามหานางเอง”
“องค์ชาย! องค์หญิงเก้คงจะตามน้องสามของข้าไปที่รถม้า!” หลี่เว่นหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทั่วเป่าหยูมีอาการลังเลใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าหัวเป่าเจิ้นคงไม่กล้าทําอะไรหลี่เว่ยหยาง เนื่องจากภัตตาคารแห่งนี้เป็นเป็นของเขา แต่ก่อนที่จะจากไปเขาได้กระซิบกับทหารองครักษ์ของตนเองที่อยู่บริเวณด้านหน้าประตูว่า
“จับตาดูความเคลื่อนไหวภายในห้องนี้ด้วย!”
จากนั้นหัวเป่าหยูก็รีบลงไปชั้นล่าง และตอนนี้มีเพียงหลี่เว่ยหยางกับหัวเป่าเจิ้นเท่านั้นที่อยู่ในห้อง ทันใดนั้นหญิงสาวก็ยืนขึ้น เนื่องจากนางไม่ต้องการนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายคนนี้ ขณะที่เขากล่าวขึ้นมาทันทีว่า
“เซียนจู ท่านเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”
หลี่เว่ยหยางหันไปหาเขาพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้น และเห็นว่าหัวเป่าเจิ้นกาลังรินเหล้าใส่ถ้วยและเขาได้กล่าวว่า
“สมัยก่อนในวังหลวงมีผู้ปกครองที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นผู้นําของกองทัพด้วยตัวเองในการต่อสู้ที่ชายแดนทางภาคใต้ แต่น่าเศร้าที่หลังจากการโจมตีซ้ําแล้วซ้ําเล่าก็ยังไม่สามารถเอาชนะข้าศึกได้ ซึ่งเขาทําได้เพียงพยายามรักษาแนวหลังเอาไว้
และบรรดาแม่ทัพต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาถอยทัพ แม้กระนั้นเขาก็ยังยืนยันที่จะสู้วันนั้นหลังจากที่เสด็จลงจากม้าที่หน้ากระโจมที่พักเขาได้เขียนคําสองคําคือ “ไร้ประโยชน์” ลงบนพื้นทราย ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
ยกเว้นทหารหนุ่มผู้ชาญฉลาดคนหนึ่งที่รีบเก็บสัมภาระของตนเองทันที และต้องการจะจากไปโดยเขากล่าวว่า
“ค่าสองค่านั้นหมายถึงพระองค์ทรงยอมแพ้แล้ว แต่ยังไม่ได้ยืนยันการเคลื่อนไหว เนื่องจากจักรพรรดิมีความคิดที่จะล่าถอยอย่างแน่นอน ดังนั้นเราควรเตรียมการเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ
เมื่อทหารคนอื่นตระหนักว่าผู้ชายคนนั้นพูดมีเหตุผล จึงเริ่มเตรียมการเช่นกัน ต่อมาหลังจากจักรพรรดิทราบเรื่องนี้ก็ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก แล้วเจ้าคิดว่าพระองค์จะทาอย่างไรกับบุคคลที่มีความชาญฉลาดผู้นั้น?”
“ข้ามิทราบว่าจักรพรรดิองค์นั้นจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? แต่ข้าทราบว่าหากเป็นองค์ชายสาม…ท่านก็คงจะฆ่าคนผู้นั้นที่สามารถคาดเดาความตั้งใจของท่านได้อย่างแน่นอน”
คราวนี้ทั่วเป่าเจิ้นไม่แม้แต่จะกระพริบตา
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง! ในสนามรบก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะออกค่าสั่ง แต่ผู้ชายคนนี้กลับทําตัวอวดฉลาด ซึ่งส่งผลต่อขวัญและกําลังใจของทหารในกองทัพ
ดังนั้นในฐานะผู้นํา มีเพียงการฆ่าชายพรุ่งนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทําให้ทหารทุกคนเห็นเป็นกรณีตัวอย่างได้ เช่นนั้นเหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือนอุทาหรณ์สอนใจว่า แม้จะมีความเฉลียวฉลาดแต่ก็ไม่จําเป็นต้องโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่น…เพื่อป้องกันมิให้ตนเองถูกฆ่าตาย ซึ่งมันมิคุ้มค่าเลย!”
หลเว่ยหยางตอบกลับอย่างเย็นชาว่า
“ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อฟังนิทานของท่าน”
หัวเป่าเจิ้นยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มด้วยดวงตาที่เย็นชาจนเป็นประกาย
“หลี่เว่ยหยาง! ข้าไม่ได้เล่านิทาน แต่ขากําลังจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มักจะซ้ํารอยเดิมเสมอ! หากเจ้าเป็นคนฉลาดก็ควรรู้ว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?”
ในขณะนี้หลี่เว่ยหยางสามารถมองเห็นเจตนาฆ่าในแววตาของหัวเป่าเจิ้นได้อย่างชัดเจน!
สิ่งนี้น่าจะเป็นเพราะหัวเป่าเจิ้นมีอาการตื่นตระหนกอย่างแน่นอน เพราะทั้งหมดนี้ คือแผนการที่อยู่ในใจของเขาที่ต้องการจะขุดคลองในอนาคต แต่เมื่อองค์ชายเจ็ดได้ทราบเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถดําเนินการได้
หลี่เว่ยหยางทราบดีว่าการเปิดเผยข้อมูลของนางในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อหัวเป่าเจิ้น แต่นางก็คงทํามันอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นนางยังท่าต่อหน้าเขา เพียงเพื่อต้องการให้เขาเกิดความรู้สึกโกรธแค้น
ขณะที่หลี่เว่ยหยางมีความรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ใช้กาปั้นชกเข้าไปที่ใบหน้าของเขาได้สําเร็จ..
ซึ่งมันทําให้นางเกิดความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่อันตรายเมื่อนางตัดสินใจทําเช่นนี้ ซึ่งมันอาจจะทําให้นางไม่มีโอกาสได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยดวงตาระยิบระยับเป็นประกายแห่งไฟอาฆาต และในทันใดนางได้ก้าวไปข้างหน้าแต่มือของนางยังคงยันอยู่ที่โต๊ะ เพื่อเผชิญหน้ากับองค์ชายสามโดยตรง
“องค์ชายสาม! ข้าขอแนะนําว่าได้โปรดอย่าเคลื่อนไหวโดยไม่พิจารณาอย่างรอบคอบเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่านกําลังมีความคิดที่จะฆ่าหรือท่าร้ายหม่อมฉัน และผู้ที่อยู่เคียงข้าง เพราะท่านจะต้องเสียใจกับการกระทําเช่นนั้นอย่างแน่นอน!”
ค่ากล่าวเช่นนี้ทําให้น้ําเสียงของหัวเป่าเจิ้นแข็งกร้าวขึ้นราวกับภูเขาน้ําแข็ง
“หลี่เว่ยหยาง! เจ้า…ไม่สนใจผลของการกระทําของตนเองจริง ๆ เหรอ?”
“ผิดไปแล้ว! ข้าสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง ดังนั้นได้โปรดอย่าทําให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวด้วยการข่มขู่ และอย่าได้เสียเวลากับข้าเลย!” หญิงสาวกล่าวจบแล้วจึงหันหน้าเพื่อเดินจากไป
ทั่วเป่าเจิ้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หญิงสาวคนนี้จะสามารถทําอะไรตนเองได้อย่าง ที่นางกล่าวเมื่อครู่นี้ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะเป็นการเอาตัวรอดของนางจาก สถานการณ์ตรงหน้า
ดังนั้นเขาจึงไม่คํานึงถึงภัยคุกคามนั้น และพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อปิดกั้นเส้น ทางออกที่บริเวณประตูพร้อมกับกล่าวว่า
“หลี่เว่ยหยาง! หยุดอยู่ตรงนั้น!”
ทั่วเป่าเจิ้นจ้องมองไปที่หลี่เว่ยหยางอย่างตั้งใจ ซึ่งการจ้องมองนั้นเต็มไปด้วย ความเกลียดชังราวกับว่าการกระทําเช่นนี้สามารถหลอมละลายร่างของนางได้
สําหรับไปจ่อซึ่งยืนอยู่ที่บริเวณประตูรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้น ทว่าตําแหน่งของนางอยู่ห่างจากทั้งสองคนนั้นมากจนไม่สามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากัน
แต่เมื่อสาวใช้เห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติขององค์ชายสาม ความรู้สึกหวาดกลัวที่ท่วมท้นก็ผุดขึ้นในใจของนาง ขณะที่จ้าวหยูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกากระบี่ในมือเขาเอาไว้แน่นในท่าเตรียมพร้อมที่จะจู่โจม
ตอนนั้นหลี่เว่ยหยางมองกลับไปที่องค์ชายสามอย่างเย็นชา ทําให้หัวเป่าเจิ้นเกิดความรู้สึกหายใจติดขัดกับการแสดงออกของนางโดยไม่ทราบสาเหตุ…เขากัดฟันแน่นพร้อมกับกล่าวว่า
“เจ้ากล้าออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เช่นนั้นหรือ?”
หลเว่ยหยางทําเพียงเหยียดนิ้วอันเรียวงามของนางออกและทําท่าปัดฝุ่นที่บริเวณหน้าอกของทั่วเป่าเจิ้น
“องค์ชายสาม เราควรต่างคนต่างเดินและไม่ควรก้าวก่ายซึ่งกันและกัน โดยท่านควรอยู่ให้ห่างข้า…อย่าตามข้าทั้งวันเหมือนลูกหมาหลงทางเช่นนี้ เพราะข้าเกลียดท่านตั้งแต่แรกเห็นแล้ว..จ่าเอาไว้!”
หญิงสาวใช้นิ้วเคาะที่ไหลของเขาอย่างแผ่วเบาและเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งเขาเอาไว้ที่เดิมเหมือนเศษผ้าเหม็นเน่าที่ไม่มีผู้ใดต้องการ และเมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามาภายในห้ององค์ชายสามก็เกิดอาการหนาวสันตั้งแต่หัวจรดเท้าและตอนนี้เขาทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า การจ้องมองของหลี่เว่ยหยางนั้นมีความเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกดํา
นางช่างเหมือนปีศาจร้ายที่หลุดมาจากเพื่อมาเอาชีวิตของเขา!
เมื่อหลี่เว่ยหยางเดินออกมาจากนางห้อง นางไม่ได้เดินลงไปชั้นล่าง แต่กลับเดินไปที่ห้องด้านข้างและผลักประตูเข้าไปพร้อมกับกล่าวว่า
“องค์ชายเจ็ด! ท่านรู้สึกดีหรือไม่ที่ได้แอบฟังผู้อื่นสนทนากัน?”
บุรุษผู้ที่กล่าวว่าจะออกไปตามหาหญิงเก้านั่งอยู่ในห้องนี้ตลอดเวลายิ้มอย่างว่างเปล่าและไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดกําลังยกถ้วยเหล้าขึ้นพร้อมกับค่านับหญิงสาว
“เซียนจมีความกล้ามาก!”
หลี่เว่ยหยางไม่ได้โต้ตอบองค์ชายเจ็ดแต่กลับหันไปสั่งสาวใช้ที่เดินตามหลังมา
“จ้าวหยุ! ระวังข้างนอกด้วย! หากมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายในนี้สามารถฆ่าได้ทันที!”
“รับทราบ!” หลังจากรับคําสั่งแล้วจ้าวหยูกับไปจอก็ก้าวถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ทําให้ตอนนี้มีเพียงองค์ชายเจ็ดและหลี่เว่ยหยางเท่านั้นที่อยู่ในห้อง