ตอนที่ 93.2 ชลประทาน

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

เมื่อเห็นหญิงงามเปิดประตูเข้ามาทั่วเป่าหยุจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“แม่นางจือเหลียนได้โปรดเล่นดนตรีให้พวกเราฟังด้วย”

จือเหลียนก้มศีรษะลงและทําตามคําสั่งทันที หญิงสาวเล่นดนตรีพร้อมกับร้องเพลงไปด้วยขณะที่น้ําเสียงของนางนั้นมีความชัดเจนเหมือนสายน้ําที่ไหลเอื่อยผ่านโขดหิน ราวกับเสียงของหยาดฝนที่โปรยปรายลงบนกระเบื้องมุงหลังคา

หรืออีกนัยหนึ่งเสียงของเครื่องดนตรีที่หญิงสาวบรรเลงนั้นมันช่างคล้ายกับเสียงของลูกปัดหยกที่ร่วงหล่นลงบนพื้นแผ่นทองคําภายใต้นิ้วมืออันเรียวงามของนาง

“ฝีมือการดีดพิณของนางนั้นนับว่าหาได้ยากในโลกใบนี้” หลี่เว่ยหยางกล่าวพร้อมกับมีความคิดว่า หากหลี่จางเล่อเห็นว่าภายนอกมีหญิงสาวที่งดงามและมีพรสวรรค์เช่นนี้ความอิจฉาตาร้อนของนางคงจะพุ่งขึ้นจนถึงจุดสูงสุด

“เซียนจู เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่?” หัวเป่าหยูเอ่ยถามขึ้น

หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปยังทิศทางของจือเหลียนและอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า

“องค์ชายเจ็ดช่างรู้วิธีสร้างความสําราญให้กับผู้คน”

“จือเหลียนผู้นี้เป็นสตรีที่มีอายุยี่สิบห้าปีซึ่งไม่เพียงนางจะมีความงามที่อ่อนโยน และมีเสน่ห์เท่านั้น แต่นางยังสามารถเล่นพิณได้อย่างยอดเยี่ยมจนหาที่เปรียบมิได้”

นางมาจากครอบครัวที่ยากจนและเดินทางเข้ามาเมืองหลวงเมื่อสามปีที่แล้ว แต่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้ภายในระยะเวลาไม่นานนักอีกทั้งยังถูกตัดเอาไว้ในอันดับความงามของแคว้นนี้

หลี่เว่ยหยางที่ไม่ค่อยออกมาจากบ้านตระกูลหลี่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลย จึงตั้งใจฟังประวัติของผู้หญิงคนนี้โดยไม่ได้แสดงความเห็นอะไร จากนั้นทั่วเป่าเจิ้นได้กล่าวขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นว่า

“ตั้งแต่นางเริ่มมีชื่อเสียงก็มีผู้ใช้มากมายมาขอนางแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ขุนนางหรือชนชั้นสูง แต่ผู้คนเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธกลับไปอย่างสุภาพ และนางยังคงรักษาชีวิตโสดเอาไว้จนอายุยี่สิบห้าปีซึ่งผู้หญิงธรรมดาที่มีอายุเท่านี้ส่วนใหญ่คงจะแต่งงานจนมีลูกไปหลายคนแล้ว!”

องค์ชายเจ็ดกล่าวพร้อมกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วงราวกับว่าเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งและหลี่เว่ยหยางไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย แต่นางสังเกตเห็นว่าแววตาของหลี่หมิ่นเต่อแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังจื่อเหลียน!

มันทําให้หลี่เว่ยหยางอดคิดไม่ได้ว่ามันไปมาก…เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะรู้จักกัน?

แม้ว่าหลี่หมินเพื่อจะออกไปข้างนอกทุกวัน แต่เขาก็ไม่น่าจะรู้จักกับผู้หญิงประเภทนี้ ทว่าเมื่อเห็นหน้าตาท่าทางของเขาแล้ว ทําให้มั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ใช่คนแปลกหน้าสําหรับเขาเลยแม้แต่น้อย หลี่เว่ยหยางจึงกระซิบองค์ชายเจ็ดว่า

“องค์ชาย…แม่นางจือเหลียนผู้นี้มีพื้นเพมาจากที่ใดหรือ?”

“นางมาจากกวางเจา”

ทุกคนที่ย่างเท้าเข้ามาในภัตตาคารแห่งนี้เขาได้ทําการตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่เหตุใดหลี่เว่ยหยางจึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา?

หลี่เว่ยหยางเหลือบมองหลี่หมินเต่ออีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้ก้มศีรษะลงแล้ว ผู้ใดจะทราบได้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่

ในยามนั้นองค์หญิงเก้ากําลังตั้งใจฟังเพลงที่บรรเลงด้วยความหลงใหล แต่อีกฝ่ายหนึ่งเมื่อหัวเป่าเจิ้นเห็นหลี่เว่ยหยางกับหัวเป่าหยูสนทนากันอย่างสนิทสนมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

“พวกเจ้ากําลังสนทนาเรื่องอันไหนกันอยู่หรือ? คงมิเสียหายกระมังหากข้าต้องการจะทราบบ้าง!”

“สิ่งที่เราสนทนากันมิใช่เรื่องที่น่าสนใจ ดังนั้นเชิญองค์ชายสามสาราญกับบทเพลงต่อไปเถิด!

ทั่วเป่าเจิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองเมื่อได้ยินคํากล่าวนี้จากปากของหญิงสาว เนื่องจากเขามีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าหัวเป่าหยู แม้ภูมิหลังของเขาจะไม่ดีเท่ากับองค์ชายท่านอื่น แต่ในอดีตไม่มีใครกล้าดูถูกเขาต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน

หลีเว่ยหยาง! เจ้ากลมาก! ช่างกล้ําเสียจริงๆ!

หลังจากท่วงทํานองของบทเพลงอันไพเราะสิ้นสุดลง จือเหลียนก็ยืนขึ้นโค้งคํานับ และจากไปอย่างเงียบ ๆ ขณะที่หลี่หมินเตอรีบร้อนลุกขึ้นทันที

“พี่สาม! ข้าลืมเสื้อคลุม ข้าจะออกไปเอามันที่รถม้า”

เหตุใดเขาจึงมีท่าทีรีบร้อนเช่นนี้?

หลี่เว่ยหยางเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องการทราบว่าจื่อเหลียนเป็นใครกันแน่? และเหตุใดนางจึงสามารถดึงดูดความสนใจของหลี่หมินเต๋อได้?

ขณะนี้หญิงสาวไม่ได้เปิดเผยการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต่อหน้าองค์ชายทั้งสองและยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวว่า

“ไปเถิด!”

แต่องค์หญิงเก่าได้เสนอตัวพร้อมกับกระโดดขึ้นจากที่นั่งทันที

“ข้าจะไปกับเจ้ด้วย”

โดยไม่คาดคิด ทันใดนั้นองค์หญิงสาวก็กรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความตกใจในวินาทีต่อมา และหลี่เว่ยหยางได้กล่าวว่าขอโทษอยากรู้สึกผิด

“ข้า…ข้าขอโทษองค์หญิง…ข้ามิได้ตั้งใจ!”

หลี่เว่ยหยางทําถ้วยน้ําชาของตนเองหกใส่กระโปรงที่งดงามขององค์หญิงเก้าท่าให้นางมัยริมฝีปากด้วยอาการบูดบึงและกล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า

“เจ้ามันซุ่มซ่าม…งี่เง่ามาก!”

องค์หญิงเก่าไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วหลี่เว่ยหยางทําเช่นนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสาวติดตามหลี่หมิ่นเต่อไป ตอนนี้องค์หญิงเก้าจึงจําเป็นต้องเดินออกไปจากห้องพร้อมกับสาวใช้คนสนิทเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่

ดังนั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงสามคนซึ่งมองหน้ากันไปมาด้วยความกระอักกระอ่วน จากนั้นหัวเป่าเจิ้นได้ทําลายความเงียบสงบโดยการหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนก่อนที่จะกล่าวว่า
“ดูเหมือนว่าพวกเราสามคนจะมีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ”

แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สายสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดทว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสาป

เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่เว่ยหยางจึงหัวเราะอย่างเย็นชาและหันไปมองแม่น้ําพร้อมกับเอ่ยถาม

“นั่นอะไร?”

หัวเป่าหูเดินไปตามทิศทางที่หญิงสาวจ้องมองทันที

“โอ้! นั่นคือเจดีย์ที่มียอดที่ทําจากหยกโดยมันถูกสร้างขึ้นบนเกาะที่อยู่ใจกลางแม่น้ําและมันมีความงดงามมากเป็นพิเศษในเวลากลางคืนหากเจ้าต้องการไปเยี่ยมชมคราวหน้าข้าจะพาไป”

หลี่เว่ยหยางรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏให้เห็นบนริมฝีปากและพิมพ์ออกมาว่า

“นับว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก”

และค่ากล่าวของหญิงสาวประโยคนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ในนั้น ขณะที่ดวงตาของทัวเป่าเจิ้นเป็นประกายแวววาว แต่เขาก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจและถามด้วยน้ําเสียงเรียบเฉยว่า

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

หญิงสาวจ้องมองไปที่เขาพร้อมกับตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ข้าหมายถึงภูมิประเทศของมันดีมาก เนื่องจากแม่น้ําสายนี้เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของธารน้ําจากภูเขากับทะเลสาบหูไป ดังนั้นหากผู้ใดสามารถสร้างคลองเพื่อแยกแม่น้ํานี้ออกเป็นสองสายได้ ก็จะสามารถควบคุมการเดินเรือและการชลประทาน เพื่อพืชผลได้อย่างง่ายดาย…ท่านเห็นหรือยังว่ามันเป็นสถานที่ที่ดีมาก!”

ด้วยค่าอธิบายนี้ในทันใดสิหน้าของหัวเป่าเจิ้นก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที โดยที่เขาไม่ทราบว่าหลี่เว่นหยางเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?

อันที่จริงแล้วสิ่งนี้คือแผนการที่เขาเคยคิดอยู่ในใจ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทํามันให้สําเร็จเป็นรูปธรรม

และถ้าเขาดําเนินการตามแผนการนี้ เขาจะสามารถควบคุมการขนส่งของแม่น้ําทั้งสองสายได้อย่างสมบูรณ์ ทําให้ความมั่นคั่งของเขาสามารถเพิ่มพูนได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะส่งผลให้ทรัพย์สินของเขามีมากกว่าหัวเป่าหยุและองค์ชายอื่น ๆ หลายร้อยพันเท่า

อย่างไรก็ตามเขายังไม่สามารถหาวิธีครอบครองดินแดนในแถบนี้ได้สําเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่สามารถดําเนินการตามแผนนี้ และด้วยความตกใจเขาจึงรีบตอบโต้ทันที่ว่า

“หากมันเป็นเรื่องที่ดีจริง แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้จึงมิมีผู้ใดริเริ่มที่จะทํามัน! เซียน มิควรคิดนอกกรอบเนื่องจากมันเป็นเพียงค่ากล่าวที่เลื่อนลอย!”

“องค์ชายสามน่าจะรู้ดีที่สุดในเรื่องนี้ ในอดีตท่านเซียนหยวนหยานที่มีชื่อเสียงเคยแบ่งแม่น้ําออกเป็นสองสาย เพื่อควบคุมการไหลของน้ําและสําหรับแม่น้ําสายนั้นมีเพียงแต่จะสามารถป้องกันน้ําท่วมได้ มันยังทําให้เกิดการค้ากับการชลประทานอีกด้วย”

หญิงสาวยิ้มเยาะก่อนที่จะกล่าวอีกว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือมนุษย์แล้ว เหตุใดสถานที่แห่งนี้จะทํามิได้

ขณะนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของหัวเป่าเจิ้นได้มลายหายไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่เขาเกิดความรู้สึกชาไปทั้งร่างกาย ประดุจเขาถูกจับแช่ในธารน้ําแข็งและหลี่เว่ยหยางสบตา เขาราวกับว่านางสามารถเข้าใจในสิ่งที่เขากําลังคิด ซึ่งดูเหมือนว่านางล่วงรู้ถึงขั้นตอนต่อไปนี้ในแผนการของเขา