ในขณะที่เขากำลังคุยกับจ้าวกงหมิง หลี่ฉางโซ่ว ได้แยกแยะความคิดของเขาอย่างชัดเจนแล้ว
แนวทางการปรับเปลี่ยนฉุกเฉินไม่เพียงแค่พิจารณาจากผลกระทบเฉียบพลันเท่านั้น
แม้จะถูกกดดันเรื่องเวลา แต่เขาต้องคิดถึงเกี่ยวกับวิถีทางการพัฒนาของการปรับเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลังและเฟ้นหาสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเขาน้อยที่สุด
นอกจากนั้น ยังมีหลักการสองสามข้อที่สำคัญอย่างยิ่ง
เขาต้องยึดมั่นสถานะของเขาในฐานะศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า และยืนหยัดเคียงข้างบรรพชนและสามปรมาจารย์สูงสุดแห่งเต๋าอย่างมั่นคง
เขาต้องยึดมั่นหลักการของสามสำนักบำเพ็ญใหญ่ กลายเป็นหนึ่งตระกูลและหนึ่งคำสอนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า
เขาต้องยึดมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เขาต้องดูแลเกียรติยศศักดิ์ศรีของจอมปราชญ์เทพหรือปรมาจารย์ระดับสูง และไม่สร้างปัญหาให้ตัวเอง
นอกเหนือจาก ‘ต้องยึดมั่น’ ทั้งสามประการแล้ว ยังมีต้องมี ‘การเตรียมการที่จำเป็น’ ห้าครั้งและ ‘แผนปฏิบัติการเก้าแผน’
สุดท้าย และที่สำคัญที่สุดคือ…อย่าอวด
การอวดถือเป็นการกระทำต้องห้ามในเต๋า
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของหลี่ฉางโซ่ว ความทรงจำที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของหยางซิ่วที่ถูกฆ่าตาย เขาตายเพราะการอวดของเขา
หลังจากมาถึงโลกบรรพกาล นิทานบรรพกาลที่มีผลกระทบมากที่สุดกับเขาคือเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับเต่าเสวียนอู่ที่ถูกตัดร่างกาย
เต่าไม่มีความผิด มันตัวใหญ่เกินไป ดังนั้นขาของมันจึงถูกตัดออกเพื่อค้ำจุนสวรรค์
นั่นคือคำอธิบายที่ดีที่สุดของการอวด!
หากเต่าเสวียนอู่ซ่อนตัวตามปกติหรือไปที่ทะเลโกลาหลก่อนจะซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า จอมปราชญ์เทพ คงจะใช้กองกำลังของสำนักอื่นเพื่อสร้างเสาสวรรค์โดยไม่ต้องสังหารเต่า
ดังนั้น…เขาย่อมไม่เปิดเผยตัวเองหากทำได้
หากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องเขา เขาจะไม่ให้เบาะแสเกี่ยวกับตัวเขาอย่างแน่นอน! ในช่วงระยะเริ่มต้นของการป้องกันตัว ข้าต้องค้นหาผู้สนับสนุนที่ไว้ใจได้และไม่เปิดเผยร่องรอยใดๆ และเป็นการดีที่สุดหากชื่อของข้าไม่เป็นที่รู้จักในทั่วทั้งสามอาณาจักร
ความสามารถป้องกันตัวในระยะกลางของข้าจะเป็นการผสมผสานระหว่างร่างทองแห่งบุญ การสนับสนุน และการไม่เป็นที่รู้จักในทั่วทั้งสามอาณาจักร…
มิฉะนั้น จะไม่เท่ากับข้าละทิ้งความพยายามของจอมปราชญ์เทพ ที่ยอมช่วยปกปิดความลับเพื่อข้าหรือ
ในอนาคต นอกเหนือจากนามแฝงของนักพรตเต๋าฉางเกิงแล้ว หลี่ฉางโซ่วตัดสินใจใช้ชื่อ ‘ปรมาจารย์เต๋าเสวียนตู’ และ ‘คุณชายเสวียนตู’ เพื่อหลีกเลี่ยงกรรม และแน่นอนว่าเรื่องเหล่านั้นต้องได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ
ในเวลานี้ ข้าต้องแก้ไขวิกฤตนี้…
จ้าวกงหมิงเอาชนะศิษย์ของจอมปราชญ์เทพแห่งสำนักบำเพ็ญประจิม สำนักเทพทะเลมีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าเกรงว่าพวกเขาจะชำระบัญชีแค้นในภายหลัง ซึ่งจะมีปัญหาสามประการในเรื่องนี้
เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะแก้แค้นเทพแห่งท้องทะเลทักษิณในอนาคต และใช้ศักดิ์ศรีของจอมปราชญ์เทพเป็นข้อแก้ตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับจ้าวกงหมิง เขาไม่รู้ถึงลักษณะนิสัยเฉพาะของบุคลิกภาพของเขา เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะสับสนมากขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เขายังต้องสนใจศักดิ์ศรีของทั้งสองฝ่าย…
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงเลือกวิธีแก้ปัญหาที่น่าเชื่อถือที่สุดโดยพิจารณาจากหลักการ ความพากเพียร การเตรียมการ และแผนปฏิบัติการของเขาเอง จากนั้น เขาจึงแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปเพื่อส่งพลังปราณส่งเสียงไปยังจ้าวกงหมิง…และเช่นนั้น เช่นนั้น เช่นนั้น
จ้าวกงหมิงขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน
อย่างไรก็ตาม คำพูดอันชาญฉลาดของหลี่ฉางโซ่วได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและความตายของพี่น้องในสำนัก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จ้าวกงหมิงห่วงใยมากที่สุด จ้าวกงหมิงจึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลี่ฉางโซ่วล่าวจบ จ้าวกงหมิงก็รู้สึกว่าคงจะลำบากที่จะจัดการกับเขาในลักษณะนี้ และมันก็ดูมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย…
แต่เขารู้สึกว่าหากเขาสามารถบรรลุผลตามที่เทพแห่งท้องทะเลกล่าวถึงได้จริง นั่นย่อมเป็นการดีกว่าการฆ่าเขาโดยตรงอย่างแน่นอน!
จ้าวกงหมิงคิดในใจว่า ดูเหมือนจะเทพแห่งท้องทะเลทักษิณนี้เป็นศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินl …
ช่างน่าเสียดาย หากเขาสามารถกลับมาที่สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้ เขาก็จะมีบุญและมีความสามารถมากพอที่จะคิดการณ์ต่างๆ ได้
เขามีความน่าเชื่อถือมากกว่าสิบจักรพรรดิสวรรค์
ดังนั้นในวิหารเทพทะเล ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว จึงซ่อนอยู่ลึกลงไปใต้ดิน เขาพร้อมที่จะ ‘กระจายตัว’ ได้ทุกเมื่อ
เขาใช้เจตจำนงวิญญาณของเขาเพื่อสังเกตปรมาจารย์สองคนในลานบ้าน จากนั้นเขาก็สื่อสารกับ อ๋าวอี่ซึ่งเฝ้าดูจากด้านข้างและเตือนเขาสองสามร้อยครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่ฉางโซ่วจึงแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปและกล่าวว่า “ข้าพร้อมแล้ว ต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ในลานวิหาร…จ้าวกงหมิงพยักหน้าแล้วโบกสะบัดแขนเสื้อของเขา เขาเก็บไข่มุกเทพทะเลยี่สิบสี่เม็ดออกแล้วมองลงไปที่นักพรตเต๋าหลังค่อมก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า
“ลุกขึ้นและไปที่ภูเขาหลิงซานกับข้า!”
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมที่อยู่บนพื้นขมวดคิ้วและจ้องไปที่ จ้าวกงหมิงพลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “กล้าดีอย่างไรที่สั่งให้ข้าตามไปภูเขาหลิงซานกับท่าน!!”
“เหตุใดจึงไม่กล้า”
จ้าวกงหมิงพลันตวาดว่า “วันนี้เจ้าทำร้าย สำนักบำเพ็ญเต๋าของข้า ข้าอยากขอคำอธิบายจากอาจารย์ลุงทั้งสองของเจ้า!”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าอารมณ์ของปรมาจารย์จ้าวยังคงไม่ค่อยดีนัก เขาน่าจะเสียใจเล็กน้อย
นั่นเป็นก้าวแรกที่บีบให้เรื่องนี้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง สำนักบำเพ็ญเต๋าและสำนักบำเพ็ญประจิม
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมกระโดดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถือไม้เท้าค้ำยันเอาไว้ในมือและดูเหมือนว่ากำลังจะอยากจะตีคน…
จ้าวกงหมิงก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าว พร้อมด้วยดวงตาฉายแววคุกคาม ในขณะที่เคราของเขาปลิวสะบัดไปมา
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมสั่นสะท้านทันทีพลางขยับถอยหลังไปสองสามก้าว ในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สถานที่นี้ยังคงถูกจ้าวกงหมิงผนึกเอาไว้ นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมเพิ่งได้สัมผัสกับพลังของศิษย์นอกสำนักของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย เขารู้ว่าเขาไม่อาจหลบหนีได้ ชายชราหลังค่อมสาปแช่ง “วันนี้ เป็นสำนักของเจ้าที่หาเรื่องข้า! แล้วกล่าวโทษข้าได้อย่างไร!! ดูสิว่าข้าน่าอนาถเพียงใด! ข้าจะไปร้องเรียนที่วังปี้โหยว!”
“น่าอนาถ?”
จ้าวกงหมิงเยาะเย้ย เขานึกถึงวิธีการที่เทพแห่งท้องทะเลเพิ่งใช้พลังปราณส่งเสียงมาจากทะเลทักษิณก่อนหน้านี้ และนึกสนใจขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น จ้าวกงหมิงก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากทันที ในขณะที่เขาจับหน้าอกของเขาพลางไอออกมาอย่างรุนแรง…
ในเวลาเดียวกันนั้น ลมปราณของจ้าวกงหมิงก็อ่อนกำลังลงและอักขระเต๋าของเขาก็กระจัดกระจาย ในขณะที่ลมปราณต้นกำเนิดของเขาหายไปทันทีราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
จ้าวกงหมิงกัดฟันและพูดว่า “เห็นได้ชัดว่าข้าได้รับบาดเจ็บจากสมบัติวิญญาณของเจ้า เมื่อตอนที่เราต่อสู้กัน ตอนนี้เจ้าทำให้ฐานเต๋าของข้าได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ภายในเวลาหมื่นปี! ตามข้าไปที่ภูเขาหลิงซาน ไม่เช่นนั้น วันนี้เราย่อมไม่อาจจบเรื่องนี้!”
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมเบิกตากว้าง แม้เขาจะวางแผนจัดการกับผู้คน แต่ก็ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้
หลี่ฉางโซ่ว กำลังสังเกตรูปปั้นของเขาอยู่พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่นเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด
เขาต้องยอมรับว่าปฏิกิริยาของปรมาจารย์จ้าวนั้นค่อนข้างโดดเด่น ดังที่คาดหมายได้จากจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่โลกบรรพกาลเริ่มต้นจนถึงยามนี้…
ขั้นตอนที่สองคือ ‘เปลี่ยนแนวคิดอย่างลับๆ เล่นอุบายโดยการทำร้ายตัวเองเพื่อยึดเหตุผลอันสูงส่ง’
ขั้นตอนที่สามแบ่งออกเป็นหกสถานการณ์ที่แตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับหกมาตรการตามแต่ละสถานการณ์
จ้าวกงหมิงปาดเลือดออกจากปากของเขาแล้วก่นด่าว่า “ผู้ใดจะแย่ไปกว่าสหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเล ร่างจำแลงของเขาถูกเจ้าบังคับให้ตาย! มันไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะฝึกฝนร่างจำแลง เขาต้องสูญเสียฐานเต๋า และทักษะเต๋าไปมากเพียงใด จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีเล่า!!”
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมตวาดกลับ “เจ้าไร้เหตุผล! ใส่ร้ายข้า!
จ้าวกงหมิงก่นด่า “ข้ามีอาการบาดเจ็บเป็นหลักฐาน เจ้าคือคนร้าย! จงตามข้าไปรับโทษที่ภูเขาหลิงซาน!”
“เจ้า จ้าวกงหมิง! เจ้ายังมีความละอายอยู่หรือไม่!”
นักพรตเต๋าเฒ่าหลังค่อมตะโกนสาปแช่งทันทีและทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ก่อนจะหยิบไม้เท้าขึ้นมาทุบลงบนไหล่ของเขาเองอย่างแรง
แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานไปไกลกว่าร้อยลี้