บทที่ 230 สะท้านสังเวียน (2)
ท่านเหล่าโหวถูกลงโทษให้คัดหนังสือทหารเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน และในที่สุดเขาก็คัดมันจนเสร็จ
เขาเหนื่อยล้าเสียจนหัวมึนตาพร่ามัว แขนขาอ่อนเปลี้ย ราวกับร่างทั้งร่างกำลังแหลกสลาย
ก็ใช่น่ะสิ ร่างของเขาได้แหลกสลายไปแล้วเนี่ย!
ส่วนเซวียนผิงโหวที่แอบออกไป จนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าไปมุดหัวทำอะไรอยู่ที่ไหน
ท่านเหล่าโหวไม่สนใจเขา เอามือยันโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน เท้าของเขารู้สึกชาเสียจนแทบจะล้มลงไปกองที่พื้น ให้ตายสิ นับวันยิ่งเหมือนตาแก่เข้าไปทุกที
ท่านเหล่าโหวค่อยๆ พาร่างอันเหนื่อยล้าพร้อมกับหนังสือที่คัดเสร็จแล้วไปยังห้องทรงงานของฮ่องเต้
พอเข้าไป ก็เห็นว่าที่บนศีรษะของฮ่องเต้มีผ้าพันแผลและตาข่ายผ้าพันไว้ เป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย ให้ตายสิ เซวียนผิงโหว เจ้าคนหน้าด้านเอ๋ย
“ฝ่าบาท กระหม่อมคัดเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเหล่าโหวหยุดยืนที่หน้าห้องทรงงาน
“ไปเอามา” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เว่ยกงกงเดินไปรับหนังสือที่คัดเสร็จแล้วของท่านเหล่าโหว ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ท่านกลับไปเถิด”
ท่านเหล่าโหวหันไปทางด้านในห้องทรงงาน แล้วโน้มตัวถวายบังคม “กระหม่อม…ขอลา!”
เอ่ยจบก็เดินกะย่องกะแย่งออกจากวัง
แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้า
สารถีเอ่ยถาม “นายท่านไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ จะกลับที่จวนก่อนหรือจะไปที่โรงหมอดีขอรับ สีหน้าของท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย”
ก็เล่นให้เขานั่งคัดหนังสือทั้งวันทั้งคืนแบบนั้นคงยิ้มออกหรอก ลองให้พวกขุนนางมาฝึกวิทยายุทธ์หนึ่งวันหนึ่งคืนบ้างสิ สภาพก็คงไม่ต่างกับเขาในตอนนี้หรอก
อย่างไรก็ตาม การคัดลอกหนังสือทำให้เขาอึดอัด และเขาไม่ต้องการกลับไปที่จวนเพื่อตอบคำถามกับฮูหยินใหญ่กู้
เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ไปโรงประลอง”
ท่านเหล่าโหวเป็นแขกประจำของโรงประลอง ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขา รู้แค่ว่าเขาเป็นนายท่านคนหนึ่งมาจากตระกูลกู้
ที่ท่านเหล่าโหวชอบมาที่โรงประลองบ่อยๆ ก็เป็นเพราะเขารักดูการแข่งขัน อีกเหตุผลก็คือเขาสามารถเลือกคนไปปั้นต่อได้
แน่นอนว่าท่านเหล่าโหวเป็นคนตาถึงมาก หลายปีที่ผ่านมานี้ คนที่เขาเลือกไปนั้นมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ
แถมในสิบคนที่ว่า คนที่ทนการฝึกฝนและอยู่ต่อกับเขาได้จริงๆ ก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ถูกตัดหางปล่อยวัดไป
โหวเหย่จองห้องบริเวณชั้นสอง
พอบ่าวถามเขาว่าต้องการจะลงพนันหรือไม่ ท่านเหล่าโหวโยนเงินลงบนโต๊ะพลางเอ่ย “ไม่ลง”
ถ้าเขาไม่ลงเงิน ก็แปลว่าเงินนั้นเป็นเงินแถมไปโดยปริยาย
บ่าวทำหน้ายิ้มเบิกบาน ก่อนจะคว้าเงินเก็บเข้าอก “ข้าน้อยจะไปรินชามาให้นะขอรับ! ท่านอยากดื่มชาอะไรดีขอครับ หลงจิ่งหรือว่าเถี่ยกวนอิมดีขอรับ”
“หลงจิ่ง” ท่านเหล่าโหวเอ่ยตอบ
“ได้เลยขอรับ!” บ่าวขานรับเสร็จก็รีบจัดแจงชาร้อนๆ และของว่างอีกสองสามอย่างให้ท่านเหล่าโหว “ดื่มให้อร่อยนะขอรับ มีอะไรก็เรียกข้าน้อยได้เลยนะขอรับ”
ท่านเหล่าโหวโบกมือปัดให้เขา
บ่าวรู้งาน ค่อยๆ เดินถอยออกไป
ท่านเหล่าโหวจิบช้าร้อนๆ พลางชมการแข่งขัน
ห้องที่เขานั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับเวทีตะวันตก ซึ่งเป็นห้องที่เห็นได้กว้างมากที่สุด แต่ไม่รู้เพราะอะไร การประลองเวทีฝั่งตะวันออกนั้นช่างดึงดูดสายตาเขายิ่งนัก
บนเวทีฝั่งตะวันออก เป็นชายร่างกำยำสูงใหญ่ มีขวานคู่ ดูๆ แล้วอย่างไรเสีย ทั้งกำลังวังชาภายนอกและภายใน ยากที่จะหาคู่แข่งทัดเทียม อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ของชายร่างใหญ่คนนั้นกลับเป็นหนุ่มร่างเล็กในชุดเรียบๆ ไม่สะดุดตา
ยิ่งไปกว่านั้น หนุ่มร่างเล็กไม่มีอาวุธติดมือมาด้วยเลย ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีอาวุธในมือก็ไม่น่าจะสู้ไหว
“น่าสนใจ”
หลังจากผ่านไปประมาณเจ็ดหรือแปดกระบวนท่า ชายที่แข็งแกร่งที่มีสองขวานก็ถูกเตะออกจากเวทีการแข่งขันโดยเด็กหนุ่มร่างเล็ก
ไม่นาน คู่ต่อสู้คนใหม่ก็ขึ้นบนเวที คราวนี้เป็นเซียนที่มาพร้อมกับหอกไฟ
ด้วยความที่ท่านเหล่าโหวเป็นคนมีวิทยายุทธ์ และเขาสามารถเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าศิลปะการต่อสู้ของชายผู้นี้เหนือกว่าคนก่อนมาก พ่อหนุ่มร่างเล็กคนนั้นดูท่าจะแย่เสียแล้ว
และอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจของเขาเริ่มเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกแล้ว
เด็กหนุ่มเริ่มโจมตีก่อน แต่เซียนหอกไฟผู้นั้นกลับหลบได้อย่างสบายๆ ก่อนจะโจมตีกลับด้วยการพุ่งหอกไฟใส่อีกฝ่าย
และแล้ว หอกนั่นก็ปักเข้าไปตรงกลางอกของชายหนุ่มร่างเล็ก!
ตายแน่!
ท่านเหล่าโหวถึงกับลุกขึ้นยืน!
ทำไมถึงเล่นกันแรงขนาดนั้น หรือว่า นี่จะเป็นการประลองแบบข้ามรุ่นกันนะ
แย่แล้ว เจ้าเด็กนั่นตายแน่
ไม่ใช่แค่ท่านเหล่าโหวคนเดียวที่คิดแบบนั้น คนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามเองก็คิดเหมือนกันกับเขา
หอกนั้นทิ่มทะลุเสื้อของชายหนุ่ม จากนั้นชายหนุ่มจึงใช้มือขวาคว้าเข้าไปที่ด้ามหอก ก่อนจะออกแรงกระโดดและพุ่งเท้าเตะเข้าไปที่กลางอกคู่ต่อสู้ จนหอกนั้นกระเด็นออกจากมือ!
ทุกท่วงท่าลื่นไหลดั่งสายน้ำ!
เด็กหนุ่มไม่รอช้า โจมตีต่อด้วยการกวาดขาเป็นวงกว้างเพื่อให้คู่ต่อสู้เสียหลักล้มลงไปที่พื้น
จากนั้นเขาคว้าหอกไฟขึ้นมา ทำท่าจะแทงเข้าไปที่คนตรงหน้า แต่จู่ๆ ก็นิ่งไป แล้วจัดการหักหอกนั้นด้วยมือเปล่า แล้วต้อนให้อีกฝ่ายลงจากเวที
ท่านเหล่าโหวตื่นเต้นจนเหงื่อไหลท่วมตัว
ทั้งเสียว ทั้งตื่นเต้น การประลองครั้งนี้ช่างดุเดือด ดุเดือนเกินไปแล้ว!
แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะสวมหน้ากากอยู่ แต่ดูจากภายนอกน่าจะอายุราวๆ สิบกว่าปีเท่านั้น ด้วยอายุและฝีมือทำให้เขานึกถึงคำที่โบราณว่าไว้ บุรุษมักเกิดกับคนหนุ่มสาว!
แน่นอนว่า ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้โหวเหย่ประทับใจในตัวเขานอกจากฝีมือการต่อสู้
นั่นก็คือตอนที่เขาหักหอกทิ้งแล้วต้อนคู่ต่อสู้ลงจากเวที เป็นอะไรที่ตราตรึงใจท่านเหล่าโหวอย่างมาก
ความเหนื่อยล้าจากการคัดหนังสือได้หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ท่านเหล่าโหวรู้สึกหายใจโล่งแล้ว
ไม่มีใครกล้าขึ้นเวทีประลองกับเด็กหนุ่มคนนั้นอีก
เขาจึงลงเวทีไปด้วยความเสียดาย
“รู้เช่นนี้ยอมเล่นแพ้ไปเสียตั้งแต่แรกยังจะดีกว่า”
กู้เจียวบิดข้อมือ พลางเดินออกจากสนาม
“ช้าก่อนพ่อหนุ่ม!”
จู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ฝีเท้ากู้เจียวหยุดนิ่งไป ก่อนจะหันไปทางต้นเสียงด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
ด้วยความที่สวมหน้ากากและเปลี่ยนการแต่งตัว ท่านเหล่าโหวเลยไม่รู้ว่าเป็นกู้เจียว แต่กู้เจียวรู้ว่าเขาคือใคร
กู้เจียวได้แต่ขมวดคิ้ว พลางนึก นี่นางไปทำเวรทำกรรมอะไรมานะ ถึงได้ตามมาราวีถึงที่นี่ได้
ท่านเหล่าโหวประสานมือคำนับให้เขา “พ่อหนุ่มน้อย ข้าขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม”
กู้เจียวไม่ตอบ
อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่านางคือใคร
ท่านเหล่าโหวพอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เลยคิดว่าพ่อหนุ่มเป็นคนขี้ระแวงคนแปลกหน้า เลยพยายามตีสีหน้ายิ้มแย้ม “พ่อหนุ่มอย่าได้คิดมากเลย ข้าไม่ได้มาร้าย ข้าแค่เห็นว่าพ่อหนุ่มฝีมือดีมาก เลยอยากถามว่าพ่อหนุ่มสนใจจะเข้ากรมหรือไม่”
ไม่สน
นางจะกลับเรือนไปทำกับข้าว
พอเห็นว่าเขายังไม่ตอบ ท่านเหล่าโหวจึงมองไปที่ลำคอของเขา พลางเอ่ยถาม “เอ่อ พ่อหนุ่ม หรือว่า…จะเป็นใบ้รึ”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะพยักหน้า
ตอนที่กู้เจียวยังอยู่ในองค์กร จะมีการฝึกให้ดัดแปลงเสียง โดยผู้หญิงสามารถเลียนแบบเสียงผู้ชาย และผู้ชายสามารถเลียนแบบเสียงของผู้หญิงได้ แต่ด้วยความที่กู้เจียวไม่ใช่คนช่างพูด พอถึงเวลาทดสอบ กู้เจียวทำคะแนนได้ดีในด้านอื่นๆ แต่กลับได้ที่โหล่ในวิชาดัดแปลงเสียง
สำหรับที่โรงประลองแห่งนี้ นางจึงต้องทำตัวเป็นคนใบ้จำเป็น
ท่านเหล่าโหวพอรู้ดังนั้นก็ได้แต่นึกสงสาร แม้จะพิการแต่ก็เป็นเพชรเม็ดงาม!
ในเมื่อพูดไม่ได้ พอถึงเวลาต่อสู้ในสงครามจริงๆ อาจลำบาก
ท่านเหล่าโหวจึงพับโครงการจะพากู้เจียวเข้ากรมทหารลงไปก่อน “พ่อหนุ่ม เรามาเป็นเพื่อนกันไหม”
แม้อายุจะต่างกันมากไปหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนต่างวัยกันได้นี่นา
ท่านเหล่าโหวเป็นคนหลงใหลการฝึกวิทยายุทธ์มาแต่ไหนแต่ไร หลายคนมองว่าเขาเป็นนักต่อสู้ที่ดี แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เขาเป็นคนมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งก็จริง เพียงแต่สองอย่างนี้หลายๆ ครั้งก็มักจะเชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กู้เจียวไม่อยากมีเพื่อนต่างวัย
เลยส่ายหัวปฏิเสธ
ท่านเหล่าโหวถอนหายใจผิดหวัง
ขณะที่กู้เจียวเดินออกไป ทันใดนั้น หวงจงก็ปรากฏตัวขึ้น เขารีบวิ่งหน้าตื่นเข้าไปหาท่านเหล่าโหว “นายท่าน! อยู่ที่นี่เองหรือ กะแล้วเชียวว่าท่านต้องมาที่นี่!”
นายท่านรึ
กู้เจียวมองไปที่หวงจง สลับกับมองไปทางท่านเหล่าโหว
หวงจงคือคนสนิทของกู้โหวเหย่ เป็นทหารประจำจวนติ้งกัน หวงจงเรียกตาแก่นี่ว่านายท่าน…
หรือว่า ตาแก่นี่จะเป็นบิดาของกู้โหวเหย่
“มีอะไรรึ” ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้ว
หวงจงชำเลืองไปที่กู้เจียว พลางนึกในใจ ไฉนเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยชอบกลนะ แต่นึกไม่ออกวว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน ซ้ำยังมีเรื่องด่วนกว่าที่ต้องจัดการ ก็เลยไม่ได้นึกต่อ
“คนของตระกูลหลิงมาแล้วขอรับ ชื่อจื่อไม่อยู่ที่จวน ฮูหยินเลยวานให้มาตามนายท่านกลับไปที่จวนขอรับ”
ตระกูลหลิง ชื่อจื่อ
เอาละ กู้เจียวมั่นใจแล้วว่าเขาคือใคร
กู้เจียวที่เดินออกไปในตอกแรก จู่ๆ ก็กลับหลังหัน ก่อนจะหยิบกระดาษและพู่กันออกมา แล้วเขียนลงไปว่า ‘ไม่ ผูก มิตร แต่ เป็น พี่ น้อง ร่วม สา บาน ได้ ไหม’
โหวเหย่ทำหน้าตะลึง
กู้เจียวยังคงเขียนต่อ ‘พอ สา บาน แล้ว ลูก ชาย ของ เจ้า ก็ คือ ลูก ชาย ของ ข้า!’
“ไม่ใช่หลานหรอกรึ” โหวเหย่ถูกทำให้สับสนจนได้
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะเขียนต่อ ‘ไม่ ได้ ต้อง ให้ เขา เรียก ข้า ว่า พ่อ!’