บทที่ 230.1 สะท้านสังเวียน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 230 สะท้านสังเวียน (1)
ขันทีหนุ่มยกกล่องฉินกลับไปยังตำหนักรุ่ยอ๋อง

รุ่ยอ๋องเฟยกำลังนั่งหาวหวอดอยู่ในศาลา

“อ๋องเฟยจะดูของข้างในไหมขอรับ” ขันทีเอ่ยถาม

ของที่ได้จากกู้เจียว แน่นอนว่ารุ่ยอ๋องเฟยนั้นวางใจเต็มร้อย เลยโบกมือปัด พลางเอ่ยกับขันที “เอาไปเก็บได้เลย”

“ขอรับ!” ขันทีจึงหิ้วกล่องฉินไปเก็บไว้ในห้องของนาง

ในห้องของรุ่ยอ๋องเฟย นางข้าหลวงสวี่กำลังยืนชี้นิ้วสั่งให้บ่าวช่วยกันจัดระเบียบห้อง สักพักขันทีเดินเข้ามาด้านใน พลางเอ่ยถามกับนางข้าหลวงสวี่ “ท่านพี่สวี่ อ๋องเฟยทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยนำฉินนี้มาเก็บไว้ที่ห้อง ไม่แน่ใจว่าข้าน้อยควรวางไว้ตรงไหนดีขอรับ”

นางข้าหลวงสวี่ชี้ไปทางลิ้นชักที่ใช้งานบ่อยๆ แล้วบอกกับขันทีหนุ่ม “วางไว้ตรงนั้นแล้วกัน อีกไม่กี่วันคงได้ใช้”

อีกไม่กี่วัน จะมีทูตจากแคว้นเหลียงมาเยือน ดังนั้นไท่จื่อเฟยจึงมีรับสั่งและคาดหวังว่ารุ่ยอ๋องเฟยจะบรรเลงเพลงฉินที่งานต้อนรับ

จริงๆ เลย นี่ไท่จื่อเฟยไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่ารุ่ยอ๋องเฟยกำลังตั้งครรภ์อยู่

เมื่อปีก่อนก็เพิ่งจะเข้ารับการผ่าตัดไปหยกๆ ร่างกายยังไม่ทันฟื้นตัวดีก็ดันตั้งครรภ์เสียก่อน หมอหลวงกำชับไว้อย่างหนักแน่นว่าควรนอนพักฟื้นร่างกายให้มาก

นางข้าหลวงสวี่ได้แต่บ่นในใจ เพราะพูดออกมาไม่ได้ ก่อนจะปิดลิ้นชักลงด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง

ในเดือนสาม ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเติบโต นกกระจิบบินว่อน บรรยากาศในเมืองหลวงเปี่ยมไปด้วยความสดใส

ผู้คนต่างพากันเดินพลุกพล่านเบียดเสียดกันไปมาบนถนน

ถนนสายหลักของเมืองหลวงกว้างขวางมากและสามารถรองรับรถม้าได้อย่างน้อยสี่ตู้พร้อมกัน และยิ่งเป็นถนนที่กว้างกว่าอย่างถนนจูเชวี่ยที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณพระราชวังนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่ารถม้าสิบคันวิ่งพร้อมกันได้สบายๆ

เสี่ยวซานจื่อจอดรถม้าบริเวณที่กู้เจียวได้บอกเขาไว้

เขามองขึ้นไปข้างบน มีป้ายเขียนไว้ว่าโรงประลองไท่เหอ เขาเอ่ยถามกู้เจียวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “แม่นางกู้ เราไม่ได้มาผิดที่ใช่ไหม”

เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย สักพักก็เลี้ยวขวา แล้วก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเขาไม่แน่ใจว่าเขาเลี้ยวผิดหรือไม่

กู้เจียวเปิดม่านรถ พลางเอ่ย “ไม่ผิดหรอก ที่นี่แหละถูกแล้ว”

“เดี๋ยวสิ แม่นางกู้ แล้วท่านมาที่นี่เพื่อ…ออกตรวจนอกสถานที่รึ”

แต่ว่าถ้านางตรวจนอกสถานที่จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนชุดเลย หรือว่าที่นี่ไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าไปตรวจกันนะ

ในหัวของเสี่ยวซานจื่อมีแต่ความสงสัย

กู้เจียวไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินลงจากรถม้า “เจ้าเอารถม้าไปจอดในตรอก แล้วรอข้า”

“ขอรับ” ด้วยความที่เสี่ยวซานจื่อไม่ใช่คนช่างพูด กู้เจียวเลยยินดีให้เขามาเป็นสารถีให้

เขานำรถไปจอดในตรอกที่อยู่ข้างๆ ส่วนกู้เจียวเดินเข้าไปในโรงประลอง

ไท่เหอเป็นหนึ่งในโรงประลองที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ตัวอาคารมีทั้งหมดสามชั้น ทางเข้าเป็นห้องโถง บนผนังที่หันไปทางประตูมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนคำว่าการต่อสู้ มีอาวุธต่างๆ จัดแสดงอยู่บนผนังทั้งสองด้าน บริเวณห้องโถงเต็มไปด้วยลูกศิษย์หลายคนที่กำลังโบกมือให้กันราวกับกำลังคุยกันว่าจะเรียนรู้กันและกันอย่างไร

พวกเขาไม่มีท่าทีแปลกใจที่เห็นคนหน้าใหม่เดินเข้ามา อาจเป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว

และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใด

ศิลปะการต่อสู้ในแคว้นเจาไม่ได้เป็นที่นิยมนัก พวกเขาให้ความสำคัญแค่ด้านวิชาความรู้เท่านั้น ทุกๆ สามปีแคว้นเจาจะมีการสอบแข่งขันเพื่อเป็นจองหงวน ซึ่งแตกต่างจากแคว้นเหลียงและแคว้นเยี่ยนที่จะมีการแข่งขันคัดเลือกผู้ที่เก่งด้านศิลปะการต่อสู้

แต่กระนั้น ความต้องการคนเก่งด้านศิลปะการต่อสู้ก็ยังคงจำเป็นสำหรับแคว้นเจา บางคนก็เข้าไปรับใช้ในกรมทหาร ยกตัวอย่างเช่นกู้ฉังชิง แต่มีคนที่ไม่เต็มใจรับใช้ในราชสำนัก และหวังเพียงว่าจะใช้ศิลปะการป้องกันตัวเพื่อหาทางออกให้ตัวเอง

โรงประลองจึงบังเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้

แม้ว่าการเรียนหนังสือจะเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียน พวกเขาอยากเรียนศิลปะการป้องกันตัว หลังจากเรียนศิลปะการป้องกันตัวแล้ว พวกเขาสามารถประกอบอาชีพเป็นปรมาจารย์ หรือไม่ก็องครักษ์ในครอบครัวใหญ่ๆ ได้… อย่างน้อยก็พอเลี้ยงดูตัวเองได้

ดังนั้น โรงประลองจึงยังคงเป็นที่นิยมอย่างมากในแคว้นเจา

แน่นอนว่า โรงประลองมีหลายรูปแบบ โดยหลักคือแบ่งออกเป็นสองประเภท คือฝ่ายขาวกับฝ่ายมืด ฝ่ายขาวจะรับเฉพาะสาวกเท่านั้นและพวกเขาสอนศิลปะการต่อสู้จริงๆ ในขณะที่ฝ่ายมืดนั้นซับซ้อนกว่ามาก พวกเขามีการค้าอื่นแอบแฝงเอาไว้อีกมากมาย

และโรงประลองไท่เหอก็ถูกจัดอยู่ในประเภทฝ่ายมืด

ที่กู้เจียวรู้จักที่นี่ได้ก็เป็นเพราะกู้เฉิงเฟิง ด้วยความที่กู้เจียวมักจะเล่นงานเขาอยู่บ่อยๆ แรกๆ ฝีมือของพวกเขายังพอสูสีกันอยู่ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ากู้เฉิงเฟิงดันถูกกู้เจียวเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่ากู้เฉิงเฟิงรับไม่ไหวที่โดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว!

อาชีพของเขาคือขโมยของ ไม่ใช่มาเป็นกระสอบทรายให้ใคร!

กู้เจียวอยากจะฟื้นฟูวิชาการต่อสู้ของตัวเอง จึงต้องค้นหากระสอบทรายที่เก่งกว่าเขา

กู้เจียวคว้าหน้ากากขึ้นมาสวม

หน้ากากนี้นางก็ไปปล้นมาจากกู้เฉิงเฟิงอีกที ไม่เสียเงินเลยสักแดง

กู้เจียวเดินเข้าไปข้างในอย่างคนช่ำชอง จากนั้นเดินผ่านประตูไปยังห้องน้ำชาที่ดูว่างเปล่าไร้คน ก่อนจะลงมือหมุนตะเกียงน้ำมันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะน้ำชาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงที่ดังก้องกังวาน และผนังห้องก็ถูกเปิดออก

เป็นเสียงของความโกลาหลดังขึ้นจากข้างใน

กู้เจียวเดินหน้านิ่งเข้าไปข้างใน และจากนั้นผนังด้านหลังก็ถูกปิดลง

พอผนังถูกปิดลง ยิ่งทำให้เสียงนั้นดังก้องขึ้น

สุดทางเดินเป็นลานประลองศิลปะการต่อสู้ขนาดใหญ่ รอบๆ เป็นอาคารไม้สามชั้น บริเวณชั้นสองจะเป็นที่นั่งชมการต่อสู้ ส่วนบริเวณชั้นหนึ่งมีเวทีประลองตั้งอยู่ด้วยกันสี่เวที โดยในตอนนั้นมีอยู่สามเวทีที่กำลังอยู่ในการแข่งขัน

กู้เจียวเดินมาตรงหน้าบริเวณจุดสอบถาม

คนที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ดูแลของทีนี้เอ่ยกับกู้เจียวด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย “จะประลองหรือจะพนันกันล่ะ อย่างแรกสิบอีแปะ อย่างหลังร้อยอีแปะ หากจองห้องต้องเพิ่มอีกสองร้อย…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ หยกกระดูกปลาก็ถูกวางตรงหน้าเขา

เจ้าของร้านชำเลืองมองดูหยกกระดูปลาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก จากที่ง่วงอยู่ก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

เขารีบยืนขึ้น ก่อนจะทำหน้ายิ้มแย้มทักทาย “ท่านชายหลี่มาได้อย่างไรขอรับ วันก่อนก็เพิ่งจะมาเองมิใช่หรือ”

กู้เจียวไม่พูดอะไร เพียงแค่ทำท่ากวาดสายตาไปทางสมุดบันทึกของเขา

ผู้ดูแลทำหน้าเข้าใจ ก่อนจะกระซิบ “ไปที่เวทีฝั่งตะวันออกเลยขอรับ”

กู้เจียวจึงมุ่งหน้าไปยังเวทีที่เขาบอก

พวกคนที่รอเข้าแถวต่างไม่พอใจ หนึ่งในนั้นตะโกน “อะไรกัน พวกเราเข้าแถวกันมาเป็นเวลานานแล้วนะ ยังไม่ได้เข้าไปสักที แล้วทำไมเขาถึงได้เข้าไปก่อนล่ะ”

ผู้ดูแลมองพวกหน้าใหม่ด้วยท่าทีเหยียดหยาม ก่อนคว้าหยกกระดูกปลาให้พวกเขาได้ยลโฉม “รู้ไหมว่านี่คืออะไร”

พวกเขาพากันส่ายหัว

ผู้ดูแลเลิกคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยตอบอย่างเย่อหยิ่ง “นี่เป็นตราของปรมาจารย์ด้านต่อสู้อย่างไรเล่า”

“ปะ ปรมาจารย์ อย่างนั้นหรือ”

พวกคนที่เมื่อครู่บ่นถึงกู้เจียวตอนนี้เริ่มเงียบเสียงลง

เจ้าร่างเล็กนั่นเป็นถึงปรมาจารย์เลยหรือ

ในโรงประลอง อาจารย์ที่สอนศิลปะการต่อสู้จะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ แต่ในเวทีศิลปะการต่อสู้ มีเพียงคนที่ชนะร้อยครั้งเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้

“เขา เขาชนะมาห้าสิบกว่าครั้งแล้วหรือ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกตะลึง

โดยทั่วไป เฉพาะผู้ที่ชนะห้าสิบเกมเท่านั้นที่สามารถถูกขนานนามได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการต่อสู้

ผู้ดูแลได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสบถออกมา “เพ้อเจ้ออะไรกัน เขาน่ะ ชนะแค่ครั้งเดียวต่างหาก!”

แค่ครั้งเดียว ก็สามารถเอาชนะคนที่เป็นถึงปรมาจารย์การต่อสู้ได้

ซึ่งนั่นหมายถึงการท้าทายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า กฎของโรงประลองในเมืองหลวงมีอยู่ว่า หากฝ่ายที่มีตำแหน่งสูงกว่าได้แพ้ลง ผู้ชนะก็จะมีสิทธิ์ยึดตำแหน่งของผู้แพ้มาได้

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าได้ คนที่ประสงค์จะลงแข่งไม่เพียงจะต้องลงนามในใบมรณะบัตรเท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายเงินมัดจำจำนวนมหาศาลอีกด้วย เมื่อแพ้แล้ว ผู้ท้าชิงจะเป็นเจ้าของเงินฝากทั้งหมด

เมื่อชายหนุ่มมาถึงครั้งแรก ก็เอาแต่พูดว่าจะแข่งขันกับปรมาจารย์ที่มีแกร่งที่สุด

ตามกฎแล้ว หน้าใหม่สามารถท้าทายคนที่เหนือกว่าได้สูงสุดสองระดับเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มกลับเดิมพันด้วยเงินหนึ่งพันตำลึง ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล เขาก็เลยได้เป็นกรณียกเว้น และสามารถท้าทายปรมาจารย์ที่อยู่เหนือเขากว่าได้ถึงสามระดับ

คนที่จะมาต่อสู้กับเขาลังเลใจที่จะยอมรับการแข่งขันนี้ในตอนแรก แต่ทางโรงประลองกลับเกลี้ยกล่อมอะไรบางอย่างได้ และขอให้ชายหนุ่มหน้าใหม่ช่วยเพิ่มเงินให้อีกห้าร้อยตำลึง

การต่อสู้แบบข้ามรุ่น จะรอดชีวิตได้หรือไม่นั้น ต้องรับผลกรรมเอาเอง

ไม่มีใครเชื่อว่าเด็กหน้าใหม่จะชนะได้ เลยไม่มีใครลงเงินให้เขา กลายเป็นว่ามีคนไม่น้อยเลยที่แพ้พนันเงินก้อนใหญ่

ชายหนุ่มถือดาบเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม: “ชิ ชนะแค่ครั้งเดียวทำเป็นอวดเบ่งไปได้ วันนี้ข้าได้ยินมาว่ามีระดับเซียนตั้งหลายคนมาที่นี่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมันจะโชคดีไปตลอดน่ะ!”

ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วย นั่นสินะ ดูเจ้านั่นสิ ร่างเล็กซูบผอมขนาดนั้น จะเอาชนะท่านปรมาจารย์ได้อย่างไร ที่ครั้งก่อนชนะมาได้คงเป็นเพราะโชคช่วยแหงๆ !

กู้เจียวไม่รู้ว่าคนรอบตัวกำลังนินทาถึงตนอยู่ แต่ต่อให้รู้ นางก็ไม่คิดจะใส่ใจอยู่ดี

เวทีต่อสู้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่เวทีตามแต่ละทิศ ผู้ดูแลชี้ไปทางทิศตะวันออก เดาว่าน่าจะเป็นเวทีที่โหดที่สุดในสนามนี้

“ท่านเยี่ยนสามดาบเป็นผู้ชนะในครั้งนี้! มีปรมาจารย์ท่านใดอยากขึ้นมาท้าทายท่านเยี่ยนสามดาบผู้นี้อีกหรือไม่”

เป็นเสียงตะโกนของบ่าวที่สวมชุดเครื่องแบบของโรงประลอง ในมือของเขาถือฆ้องและตะลุมพุก

ท่านเยี่ยนสามดาบนี้ครองชนะมาตลอดช่วงเช้า ไม่รู้ว่าเขาชนะปรมาจารย์ไปแล้วกี่คน ที่แน่ๆ คือไม่มีใครกล้าสู้กับเขา

“ถ้าไม่มีผู้ท้าชิงละก็ เช่นนั้น ท่านเยี่ยนจะได้เป็น…” ขณะที่บ่าวกำลังจะประกาศปิดการประลอง จู่ๆ ร่างเล็กก็ไปปรากฏอยู่บนสังเวียน