บทที่ 229.2 พี่สาวน้องชาย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 229 พี่สาวน้องชาย (2)
กู้เจียวพยักหน้าให้หมอซ่ง

หมอซ่งพลิกดูบันทึกเมื่อเจ็ดวันก่อน ก็เจอเข้ากับบันทึกกรณีคนไข้ตั้งครรภ์ “คนไข้มีอาการแพ้ท้อง เห็นว่าอาการไม่หนักมาก เลยสั่งยาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น”

กู้เจียว “ยาตำรับนี้โรงหมอของพวกเราชั่งตวงวัดเองใช่หรือไม่”

หมอซ่งพยักหน้า “ใช่แล้ว บนใบสั่งยามีลายมือของผู้ช่วยด้วย”

พอทราบความแล้ว กู้เจียวก็เดินมาที่ศพที่ถูกคลุมผ้าอยู่

“เจ้าจะทำอะไร” ชายคนนั้นพยายามห้ามกู้เจียว

“ข้าจะชันสูตรศพน่ะสิ” กู้เจียวตอบ

ชายคนนั้นสติแตก “เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าอย่ามาแตะต้องภรรยาของข้า!”

กู้เจียวไม่สนใจเขา ก่อนจะย่อตัวลง แล้วเปิดผ้าคลุมออก

ในนั้นเป็นสตรีอายุราวๆ สามสิบ

กู้เจียวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปจ้องชายคนนั้น แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “แจ้งทางการด้วย”

แน่นอนว่ากู้เจียวเอ่ยกับผู้ดูแลหวัง

ชายคนนั้นทำหน้าตกใจ “เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่า แจ้งทางการอย่างไรเล่า” กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว

“ได้เลย!” ผู้ดูแลหวังเชื่อกู้เจียว ไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วเดินออกไปข้างนอก

“รั้งเขาเอาไว้!” ชายผู้นั้นออกคำสั่ง พรรคพวกของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางผู้ดูแลหวัง จากนั้น ชายคนนั้นชี้นิ้วมาทางกู้เจียวพลางเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงต้องแจ้งทางการด้วย พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับพวกทางการสินะ อยากแก้เผ็ดพวกเราสินะ! ข้าเห็นกลอุบายของเจ้าแล้ว พวกโรงหมอใจดำ! ชีวิตของพวกข้ามันไร้ค่านักใช่ไหม! พวกเจ้าจงใจฆ่าพวกเราชัดๆ !”

พอพูดจบ จู่ๆ ชายคนนั้นก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย

เหล่าชาวบ้านต่างพากันชี้ๆ บ่นๆ ด่าๆ พวกเขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างชายคนนั้น

กู้เจียวไม่ได้มีท่าทีร้อนรนใดๆ พลางเอ่ย “หึ ในเมื่อเจ้าบอกว่านางเป็นคนไข้ของที่นี่ ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่านางชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ใครพานางมาหาหมอ”

ชายคนนั้นทำท่าไม่สบอารมณ์ “นางคือภรรยาข้า! อายุเท่าไหร่เจ้าดูไม่ออกหรือไง”

กู้เจียวเอ่ยถามต่ออย่างไม่สนใจใยดี “ภรรยาเจ้านามว่าอะไร มาจากตระกูลใด”

ชายผู้นี้ดูเหมือนจะหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตะคอกใส่กู้เจียว “นางมาจากตระกูลอู๋ มีนามว่าอู๋จินฮวา!”

กู้เจียวหยิบบันทึกขึ้นมาดูพลางเอ่ย “แต่รายชื่อบนนี้เขียนชัดเจนว่าคนไข้อายุยี่สิบเอ็ดปี ตระกูลหยาง แต่ผู้ตายดูแล้ว…อย่างน้อยก็อายุราวๆ สามสิบกว่าปีไหม”

ชายคนนั้นพูดไม่ออก

พวกชาวบ้านที่มามุงดูก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะหักมุมเช่นนี้ พลางจับจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยแววตาสงสัย

ชายหนุ่มพยายามต่อล้อต่อเถียง “พวกเจ้าจะเอาสมุดอะไรขึ้นมาอ้างก็ได้แล้วบอกว่าเป็นบันทึกของวันนั้น ใครจะไปรู้ละว่าบางทีพวกเจ้าอาจจะเพิ่งเขียนมันขึ้นมาก็ได้”

หมอซ่งรีบแย้ง “พวกเราเขียนสมุดบันทึกวันต่อวัน พอเต็มแล้วค่อยขึ้นหน้าใหม่ ต่อให้ข้าจงใจจะเขียนขึ้นมาใหม่ แต่ดูสิ มีที่ตรงไหนให้เขียนกัน มิหนำซ้ำข้าเพิ่งจะเข้ามาหยกๆ เอาเวลาไหนมาเขียนมันขึ้นมาใหม่”

จากนั้นหมอซ่งก็เอาสมุดบันทึกยื่นให้ชาวบ้านได้ดู

ในบันทึกมีรายละเอียดเช่น ชื่อ อายุ อาการ เวลาที่ให้คำปรึกษา การวินิจฉัย และใบสั่งยาของผู้ป่วยอย่างละเอียด หนึ่งหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยคำ ซึ่งไม่สามารถเขียนได้ในพริบตา

ต่อให้เพิ่งเขียนขึ้นใหม่จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องรอให้หมึกแห้งเสียก่อน

ชายคนนั้นยังคงเอ่ยเสียงแข็ง “เช่นนั้นพวกเจ้าก็อาจบันทึกผิดก็ได้!”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าถึงได้เรียกทางการมาช่วยตรวจสอบอย่างไรเล่า เพื่อยืนยันว่าเมี่ยวโส่วถังของพวกเรานั้นไร้มลทินจริงๆ ”

สิ้นประโยคเมื่อครู่ คราวนี้เห็นได้ชัดว่าใครกันแน่เป็นคนโกหก

พวกชาวบ้านที่มามุงดูพากันทำหน้าผิดหวัง มายืนดูตั้งนาน นึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเสียอีก สุดท้ายไม่เห็นจะมีอะไรเลย!

ชายคนนั้นพอเห็นว่าตัวเองแพ้แล้วแน่ๆ ก็ทำท่าจะวิ่งหนี

แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ให้โอกาสเขาวิ่งหนี ก่อนจะลงหมัดจนชายคนนั้นกองไปอยู่บนพื้น ส่วนพวกที่เหลือก็ถูกจับไว้ได้เช่นกัน

กู้เจียวหันไปมองศพที่นอนอยู่บนพื้น “ยังไม่รีบลุกอีก จะรอให้คนเอาไปฝังรึไง”

จู่ๆ ร่างศพก็กระเด้งตัวขึ้นในทันใด!

แม่เจ้าโว้ย!

ทุกพากันสะดุ้งโหยง

ไม่ได้ตายจริงนี่นา!

ขณะที่ทุกคนตื่นตระหนก จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็เดินออกจากฝูงชนไปอย่างเงียบๆ แล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอก ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังถนนฉางอานซึ่งอยู่ไม่ไกล

“เจ้าว่าอย่างไรนะ ขนาดเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ใช้เวลาแค่ไม่นานก็แก้ปัญหาได้แล้วรึ”

ณ โรงหมอหุยชุนถัง บุรุษคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตกใจพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้

บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือผู้ดูแลเหอ ผู้ที่เคยไปตรวจอาการให้กู้เหยี่ยนที่หมู่บ้านเวินเฉวียน

เขาคือน้องชายต่างแม่ของเถ้าแก่รอง ผู้ที่คอยดูแลหุยชุนถังมาโดยตลอด

“นั่นสิขอรับ ข้าน้อยเองก็แปลกใจเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนพวกนั้นแน่นอนว่าอยากมาปล้นเงินจากโรงหมอ ทางโรงหมอเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ คนส่วนมากจะเลือกทำเพื่อชื่อเสียง แต่พวกเขากลับแสดงหลักฐานอย่างชัดเจน … ”

จากนั้นบ่าวก็เล่าเหตุการณ์ที่กู้เจียวเข้ามาพลิกสถานการณ์ทุกอย่างให้แก่ผู้ดูแลเหอได้ฟัง

ผู้ดูแลเหอฟังจบก็ถึงกับอ้าปากค้าง “พวกเขาคิดวิธีลงบันทึกคนไข้ไว้ได้อย่างไรกัน”

ปกติถ้าเป็นโรงหมออื่นๆ หมอมีหน้าที่แค่รักษาคนไข้แล้วก็ปล่อยไป ไม่เห็นต้องมานั่งทำเรื่องยิบย่อยเช่นนี้

แม้จะเป็นเรื่องยิบย่อย อย่างไรก็ตาม มันกลับเป็นหลักฐานที่ชัดเจน

ที่จริง ตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น ผู้ดูแลเหอก็เริ่มสังเกตเห็นว่าโรงหมอเมี่ยวโส่วถังมีวิธีการที่แตกต่างจากโรงหมออื่นๆ เขาจึงวานให้คนไปคอยสังเกตการณ์ที่เมี่ยวโส่วถัง

แม้ว่าเขาจะลังเลเสมอที่จะยอมรับว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหูที่ถูกไล่ออกจากบ้านจะมีอนาคตที่สดใส แต่ต้องยอมรับว่าเมี่ยวโส่วถังมีอะไรมากมายให้พวกเขาเรียนรู้

ผู้ดูแลเหอครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจที่จะทำตามแนวทางปฏิบัติของเมี่ยวโส่วถังตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป

เรื่องที่เกิดขึ้นในเมี่ยวโส่วถังได้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของเมี่ยวโส่วถังไม่ได้เสียหายเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ชื่อเสียงของพวกเขาดีขึ้นในชั่วข้ามคืน และวิธีการทำงานของพวกเขาได้ขึ้นแท่นเป็นโรงหมอชั้นนำที่ควรน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ส่วนพวกที่เข้ามาป่วน กู้เจียวไม่ได้ไปยุ่งอะไรต่อ ปล่อยให้ผู้ดูแลหวังเป็นคนจัดการ

“แม่นางกู้วางใจได้เลย ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” ผู้ดูแลหวังเป็นคนที่เถ้าแก่รองไว้ใจ และอยากให้มาทำงานด้วยกันที่เมืองหลวงอย่างไม่ลังเล เพราะผู้ดูแลหวังคือคนที่มีความสามารถจริงๆ

กู้เจียวไว้ใจให้ผู้ดูแลหวังทำงาน

ตกบ่าย กู้เจียวแต่งตัวเป็นบุรุษ เพื่อที่จะออกไปจัดการธุระส่วนตัว

“มะ แม่…แม่นางกู้ ไฉนถึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า” เสี่ยวซานจื่อถึงกับทำหน้าเหวอ

กู้เจียวขึ้นนั่งบนรถม้า ยืดแขนไปมาก่อนเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก พาไปที่ถนนเฉาหยางที”

“ถนนเฉาหยางหรือขอรับ แต่มันไกลมากเลยนะขอรับ! ซ้ำที่นั่นยัง…ไม่ใช่ที่ที่ควรไปเท่าใด…” เสียงของเสี่ยวซานจื่อค่อยๆ อ่อนลงเพราะถูกกู้เจียวมองแรงด้วยสายตาเย็นชา จนเสี่ยวซานจื่อขนหัวลุกซู่ไปหมด

“ก็ได้ขอรับ ไปก็ได้” เสี่ยวซานจื่อดึงเชือกม้าขึ้น แล้วรถม้าก็ได้เคลื่อนตัวออกไป

กู้เจียวดึงม่านรถลง

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าโรงหมอ

ผู้ที่เดินออกมาจากรถม้าคันนั้น เป็นกงกงหนุ่มหน้านวลท่านหนึ่ง “แม่นางกู้อยู่ที่นี่หรือไม่”

“ใครมาหาข้ารึ” กู้เจียวเอ่ยขึ้น

แม้จะไม่เห็นคน แต่กงกงหนุ่มคนนั้นรู้ว่าเสียงมาจากทางไหน จึงหันไปทางรถม้าของกู้เจียว พลางยื่นมือคำนับ “รุ่ยอ๋องเฟยลืมฉินไว้ที่นี่ จึงรับสั่งให้กระหม่อมนำฉินกลับไปขอรับ”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “ท่านไปหาเด็กสาวที่ชื่อเจียงหลี แล้วให้นางหยิบให้ท่าน ฉินนั้นอยู่ในห้องหนังสือของข้า ตั้งอยู่ข้างๆ โต๊ะที่อยู่ฝั่งขวา”

“ขอรับ!” กงกงหนุ่มขานรับ ก่อนจะเดินเข้าไปทางด้านหลังโรงหมอ

เจียงหลีน้อยพอรู้ว่ามีคนจะมาเอาฉินไป จึงช่วยตามหา “เอ่อ…โต๊ะที่อยู่ฝั่งขา…อ๋อ นี่ไง!”

เจียงหลีอุ้มฉินออกมาแล้วยื่นให้กงกงหนุ่ม

“ขอบใจเจ้ามากเลยแม่สาวน้อย” กงกงหนุ่มเดินถือฉินออกไป

ระหว่างที่เจียงหลีกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดนึกอะไรขึ้นได้ พลางขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ให้ฉินไปผิดหรอกกระมัง…”

กู้เจียวอนุญาตให้เจียงหลีเล่นฉินได้ แต่เจียงหลีจำได้ว่าฉินของกู้เจียวมีอยู่สองเครื่อง

มีอยู่เครื่องหนึ่งที่สภาพชำรุดราวกับโดนไฟไหม้

แต่เจียงหลีไม่แน่ใจว่าตอนที่ตัวเองเอาฉินออกมาเล่นนั้น ตอนเล่นเสร็จได้ใส่กลับเข้าไปถูกกล่องหรือไม่

“ช่างเถอะ ไม่ว่าจะอันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ เป็นของท่านพี่เจียวเจียวเหมือนกัน!”