ตอนที่ 252 สงบศึกและปรองดอง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 252 สงบศึกและปรองดอง

เจ้าดำหมาป่าตัวน้อยที่ดูท่าทางไม่ได้มีสายเลือดบริสุทธิ์คือสมบัติล้ำค่าของเด็กในหมู่บ้านไปเสียแล้ว ไม่ว่าเจ้าหนูน้อยทำสิ่งใดก็จะพามันไปด้วยทุกครั้ง แม้แต่จะไปเกี่ยวหญ้ากระต่ายบนภูเขาก็อุ้มมันไว้แนบอก มันดึงดูดให้เด็กในหมู่บ้านทยอยเข้าไปหาหญ้ากระต่ายบนภูเขา คราวนี้ไม่ใช่เพื่อของกินแต่คือการได้รับสิทธิ์ในการสัมผัสเจ้าดำ

เจ้าดำเป็นหมาป่าที่ยังไม่หย่านม แรกเริ่มที่ถูกเจ้าเทาคาบมาให้นั้นแค่มองก็รู้ทันทีว่ามันอ่อนแอมาก มันยังไม่ลืมตาเสียด้วยซ้ำ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ 10 วันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น

ขนทั่วตัวของมันเป็นสีดำเงา ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ ดวงตาสีเหลืองอำพันเปล่งประกายแวววาวดุจอัญมณีส่องแสงวิบวับยามต้องแสงอาทิตย์ ใบหูน้อย ๆ ข้างหนึ่งตั้งตรง อีกข้างยังพับครึ่ง ดูน่ารักน่าชังไม่เบา

หลินเว่ยเว่ยไม่อาจต้านทานการดึงดูดของสัตว์ที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ได้ นางต้องลูบมันทุกวัน นับประสาอะไรกับเด็กในหมู่บ้าน ?

หลินเว่ยเว่ยดึงตัวของพี่สาวด้วยมือข้างหนึ่งพลางกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า “ไปสิ ! ไปทำขนมปังกรอบรสผักที่ข้าสอนไว้ ! ”

พี่สาวคนโตไม่ยอมโดนหลอกจึงสะบัดมือของน้องสาว “เจ้าอยากกินแต่ขี้เกียจทำใช่หรือไม่ ? หากขี้เกียจก็ช่างมันเถิด อย่าคิดจะโน้มน้าวให้ข้าทำเสียให้ยาก ! ”

หลินเว่ยเว่ยกระตุกมุมปากเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่รู้จักสำนึกบุณคุณเอาเสียเลย ข้ากำลังช่วยสร้างความประทับใจแรกต่อหน้าพ่อแม่สามีในอนาคตของเจ้าอยู่นะ ! ”

ใบหน้าของบุตรสาวคนโตร้อนผ่าวทันใด “เจ้าพูดเหลวไหลอันใดอีก ! ยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียหน่อย ! ”

“เหตุใดยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวอีก ? เมื่อครู่ข้าเห็นป้าเผิงแสดงท่าทางพึงพอใจเจ้ามาก ! ” หลินเว่ยเว่ยหยุดชะงักทันใด ก่อนจะพูดเอาความดีความชอบเข้าตัว “เจ้าต้องขอบใจข้าที่ช่วยสร้างความประทับใจแรกต่อหน้าพ่อแม่สามีในอนาคตของเจ้าไม่น้อย ข้าพูดแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น ! ”

“เจ้าพูดแต่เรื่องดีได้ด้วยหรือ ? ” พี่สาวมองอย่างสงสัยเพราะมักรู้สึกว่าขอเพียงน้องสาวไม่ถ่วงนางก็มากพอแล้ว จะช่วยพูดแทนเชียวหรือ ?

หลินเว่ยเว่ยโอบรอบคอของอีกฝ่าย “เราสองคนเป็นพี่น้องกัน ! จะหักหลังทรยศกันได้อย่างไร ! เจ้าลองคิดสิ หากเจ้ามีชีวิตไม่ดี ท่านแม่ต้องเสียใจมาก เจ้าก็รู้ดีว่าเรื่องที่ข้ากลัวคือการเห็นท่านแม่เสียน้ำตา เจ้าลองคิดดี ๆ อีกครั้ง แม้ข้าชอบทะเลาะกับเจ้าบ่อยครั้ง ชอบเห็นเจ้าโกรธแล้วมีความสุข แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ ใครเล่าเป็นฝ่ายช่วยออกหน้าให้ตลอด ? ”

พี่สาวครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นึกถึงตอนที่ตนอยากเรียนเย็บปักก็เป็นหลินเว่ยเว่ยช่วยพูดกับน้าเฝิงให้ อยากให้ย่าหลิวช่วยสอนทอผ้าก็เพราะเห็นแก่หน้าของหลินเว่ยเว่ย ผักป่าที่เต็มตะกร้าทุกวันก็เป็นหลินเว่ยเว่ยอาสาไปเก็บให้ นอกจากนี้เมื่อนางชำนาญในการทอผ้าแล้วก็เป็นหลินเว่ยเว่ยที่ช่วยซื้อเครื่องทอผ้าให้อีก…

เมื่อคิดได้ว่าเมื่อก่อนตนปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างไร ทั้งเคยเกลียดและสาปแช่งให้ไปตายด้วย…ความรู้สึกผิดนี้เพิ่มพูนขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางเงยหน้ามองหลินเว่ยเว่ยและกำลังจะอ้าปากแต่ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด

“เอาล่ะ ! อย่ามัวทำหน้าตาน่าเกลียดอยู่เลย เดิมทีก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่ ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดโผงผางออกมาโดยไม่เกรงใจ “พ่อสามีในอนาคตของเจ้ากินหวานมากไม่ค่อยได้ ข้าเคยสอนเจ้าทำขนมปังอบกรอบรสผัก ! เจ้าคงทำเป็นเพราะเรียนจบแล้ว ดูสิว่าจะได้คะแนนจากพ่อแม่สามีในอนาคตสักเท่าไร ? ”

พี่สาวเดินไปด้านหลังของนางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานหลินเว่ยเว่ยก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นข้างหูว่า “ขอบใจ…แล้วก็ขอโทษ ! ”

“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ ? เหตุใดช่วงนี้หูข้าไม่ค่อยดีเอาเสียเลย ? เจ้าพูดเสียงดังหน่อยสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยขยี้หูเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มคล้ายหมาป่าเจ้าเล่ห์

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินถึงขั้นพูดไม่ออก

“ถ้อยคำดี ๆ ไม่พูดซ้ำสอง ไม่ได้ยินก็ช่าง ! ” บุตรสาวคนโตเดินไปเก็บผักในสวนทันที

หลังแสดงจุดประสงค์ของการมาเยือนอย่างชัดเจนแล้ว นางเผิงก็สนทนากับนางหวงและนางเฝิงอย่างสนุกสนานอยู่ภายในห้อง ครั้นเห็นสองพี่น้องที่กำลัง ‘พูดคุยอย่างสนุกสนาน’ อยู่ในลานกว้างก็คลี่ยิ้มและเอ่ยกับนางหวงว่า “บุตรสาวทั้งสองของเจ้าเฉลียวฉลาดมาก สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันดี ! ”

นางหวงไม่มั่นใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้เผิงก็ชมเกินไป พวกนางก็มีช่วงเวลาที่ทะเลาะกันบ้าง…”

มีช่วงเวลาอันใดเล่า เรียกว่าทะเลาะกันแทบตลอดเวลาดีกว่า เห็นได้ชัดว่าคนหนึ่งเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ก็ยังสู้ไม่ถอย ส่วนอีกคนก็ฝีปากกล้าแกร่งชอบแกล้งอีกฝ่ายจนไม่กล้าเงยหน้าสู้อยู่บ่อยครั้ง นางได้แต่หวังว่าทั้งสองจะสงบศึกและปรองดองกัน วันนั้นนางคงมีความสุขมาก

นางเผิงยิ้มพลางกล่าวว่า “กินข้าวยังต้องใช้ฟันและลิ้น ! น้องสะใภ้หวงน่าจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาก เจ้าให้กำเนิดบุตรสาวแสนน่ารักตั้งสองคน ไม่เหมือนข้าที่ให้กำเนิดเด็กอัปลักษณ์ถึงสองคน ! บุตรชายคนโตรู้ความแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยทำให้เราปวดใจ มีเพียงบุตรชายคนเล็ก…ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะขบขันหรอก พวกคนแก่ก็ให้ท้ายเขาตลอด แต่ไม่ได้ตามใจจนเสียคน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กลายมาเป็นหนอนหนังสือเสียได้ ทุกวันนี้ก็รู้จักแค่ตำรา ไม่เคยชมชอบผู้ใด แม้แต่จะกินข้าวก็ยังลืม…”

“รักในการเรียนก็ดีแล้ว ! อนาคตจะได้สอบเป็นขุนนางสร้างเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ! ” นางหวงรวบรวมถ้อยคำดี ๆ แล้วเอื้อนเอ่ยออกมา

นางเผิงส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “ก็เขาโง่เขลาน่ะสิ ต่อให้สอบได้ก็คงรับราชการไม่ได้หรอก ข้าคิดไว้นานแล้วว่าหากเขาสอบติดซิ่วไฉก็จะสร้างสำนักศึกษาให้เขาในหมู่บ้านเพื่อรับบัณฑิตไม่กี่คนมาเรียนตำรา โดยมีเขาสอนและปรารถนาจะหาภรรยาที่ปรับตัวเก่งให้แก่เขา หลังจากที่ข้ากับสามีแก่ชราแล้ว เขาจะได้มีเพื่อนกินข้าว ไม่ปล่อยให้ตนหิวตายอยู่ในห้องหนังสือ ! ”

นายท่านเผิงขยิบตาให้ภรรยา ‘พูดเรื่องเหล่านี้จะมีประโยชน์อันใด ? หากฝ่ายหญิงไม่ชอบใจในคุณสมบัติของบุตรชายก็คงไม่ยอมยกบุตรสาวให้แน่ เจ้าจะกลับไปบอกเจ้าลูกชายว่าอย่างไร’

นางเผิงกล่าวต่อ “เด็กโง่ของข้ามีเพียงเรื่องตำราในสมอง แต่แล้วเขาก็ได้พบสตรีนางหนึ่ง สิ่งที่น่าตกตะลึงคือกู่เหนียงที่เขาชอบนั้นมีหน้าตาอย่างไร เขายังไม่รู้ แต่ก็ยอมวางตำราเหล่านั้นลงอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ อดีตข้าเป็นกังวลเรื่องงานแต่งของเขาจนผมขาวเพียงนี้แล้ว ยังไม่กล้าไปสู่ขอภรรยาสักคนมาให้เขา กลัวเขาจะลืมว่าภรรยาของตนมีหน้าตาเป็นอย่างไร กระทั่งจำไม่ได้ว่าตนเคยสู่ขอภรรยากลับมาด้วย…”

นางหวงและนางเผิงมองหน้ากันและพยายามอย่างเต็มที่ในการระงับรอยยิ้มตรงมุมปากของพวกตน

นางเผิงคว้ามือของนางหวง แววตาฉายชัด “เจ้าคงไม่รู้ เมื่อวานเขากลับมาบอกข้าว่าเขาตกหลุมรักกู่เหนียงผู้หนึ่ง เขาอยากให้ข้ามาสู่ขอนาง ข้าดีใจมากจนเกือบหายใจไม่ทัน ในที่สุดบุตรชายก็เปิดใจ ข้าจึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะแก่ตายอย่างเดียวดายอีกแล้ว ! ”

นางหวงจึงกล่าวด้วยความเขินอาย “ช่างเป็นพ่อแม่ที่น่านับถือ ! ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ! เพื่อเด็กอัปลักษณ์แล้วข้า ตาเฒ่าและพี่ชายของเขาล้วนเป็นกังวลยิ่งนัก ! ” นางเผิงเริ่มเปิดประเด็น “ตระกูลของเรามีที่ดิน 260 หมู่ มีชาวไร่ชาวนากว่ายี่สิบครัวเรือนเป็นผู้เช่าและยังมีร้านค้า 16 ร้านในเขตอันผิง นอกจากนี้ยังมีที่ดินและร้านค้าอีกหลายร้านในเขตใกล้เคียง เดิมทีตาเฒ่าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่พี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้าลูกชายบอกว่าขอแค่ส่วนแบ่งเล็กน้อยก็พอ…ผลสรุปคือตกลงกันว่าจะแบ่งเป็นสองส่วนไปเลย ! ”

นางหวงรีบเอ่ยว่า “พ่อแม่ไม่ได้แยกบ้านกันเสียหน่อย พวกท่านแบ่งกันเช่นนี้ไม่เร็วเกินไปหรือ ? ”

นางเผิงตอบว่า “ในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ควรจัดสรรให้ชัดเจน ตอนนี้คือที่ดินและร้านค้าทั้งหมดได้ผนวกเข้าด้วยกันโดยให้พี่ชายของเขาช่วยจัดการ แต่ผลประโยชน์ก็ยังต้องแบ่งกันเป็นสองส่วน รอบุตรชายคนเล็กแต่งงานค่อยแบ่งเป็นสองส่วน แล้วให้เขากับภรรยาดูแลส่วนหนึ่งกันเอง ! ”