ตอนที่ 253 ไม่เกรงใจ ? ไม่เกรงใจอย่างไร
ความหมายของนางเผิงชัดเจนมากว่าหากบุตรสาวของเจ้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลข้า นางจะไม่มีวันลำบาก ทันทีที่แต่งเข้าไป นางจะได้ครอบครองผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของที่ดินและร้านค้า เรือนสองหลังก็จะทำการแบ่งแยกอย่างชัดเจน ไม่มารบกวนซึ่งกันและกัน พวกตนก็จะไม่ไปก้าวก่ายชีวิตของทั้งสองซึ่งสามารถใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขได้หลังประตูบานนั้น !
ตระกูลเผิงแสดงความจริงใจถึงเพียงนี้ นางหวงจึงไม่มีสิ่งใดขัดเคืองต่อการทาบทาม ทั้งสองบ้านจึงตกลงกันว่าสามวันหลังจากนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ตระกูลเผิงจะนำสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอและกำหนดการหมั้นหมายของทั้งสองตระกูลอย่างเป็นทางการ
แม่สื่อที่ตามมาด้วยยังไม่ได้พูดสักคำ
นางเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดสักคำเดียว พวกเขาจัดการเรื่องหมั้นหมายเรียบร้อย โชคดีที่ส่วนแบ่งของการเป็นแม่สื่อนั้นได้รับไม่น้อย หมายความว่าเงินก้อนนี้หาง่ายมาก !
นางหวงอยากให้ว่าที่แม่สามีของบุตรสาวคนโตร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่นางเผิงยิ้มพลางปฏิเสธ “ลูกชายของเรารอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน ! ตอนเที่ยงถ้าเราไม่กลับไป เขาจะต้องกินข้าวไม่ลง ! ข้าวมื้อนี้เก็บไว้กินวันที่พ่อสื่อแม่สื่อมาสู่ขออย่างเป็นทางการก็แล้วกัน ! ”
จะดีหรือ สองเฒ่าคู่นี้จะส่งสินสอดทองหมั้นมาด้วยตนเองหรือ ? พวกเขาให้ความสำคัญมากเพียงนี้เพราะกลัวว่าสะใภ้คนเล็กจะหนีหายใช่หรือไม่ ?
ครอบครัวฝ่ายสามีในอนาคตให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนโตเช่นนี้ นางหวงยังไม่ทันได้ดีใจสักเท่าไร หลังส่งพวกเขาที่หน้าบ้านแล้ว นางก็หันกลับไปและเห็นบุตรสาวคนรองกำลังก่อกวนบุตรสาวคนโตที่หน้าแดงเรื่อ เล่นอะไรแผลง ๆ อีกเป็นแน่
บุตรสาวคนโตยกโถกระเบื้องเคลือบที่ดูคุ้นตาไปให้นางเผิงพร้อมความเขินอาย นางค่อย ๆ เดินเข้ามาทีละก้าวพร้อมก้มหน้าลงและกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือขนมปังกรอบรสผัก ท่านลุงกับท่านป้ารับไว้กินระหว่างทางเพื่อแก้หิวนะเจ้าคะ ! ”
นางเผิงรับมา จากนั้นก็มองไปทางกู่เหนียงตัวน้อยที่แสดงท่าทางเขินอายตรงหน้า ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “นี่คือขนมที่เจ้าทำเองหรือ ? ”
บุตรสาวคนโตพยักหน้า ใบหน้าเล็ก ๆ ขาวเนียนสุกปลั่งขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้นางที่ดูงดงามอยู่แล้วยิ่งงดงามมากขึ้น ไม่น่าล่ะ เจ้าเด็กโง่ถึงได้ชอบกู่เหนียงผู้นี้มาก !
“เกรงใจยิ่งนัก ! ” นางเผิงพอใจในตัวว่าที่สะใภ้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างทางกลับ นายท่านเผิงเปิดโถกระเบื้องเคลือบแล้วหยิบขนมปังกรอบรสผักแผ่นบางออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ “มีกลิ่นหอมและกรอบกำลังดี ฝีมือการทำอาหารของว่าที่สะใภ้เล็กไม่เลวเลย ! เจ้าว่าลูกชายของเราชอบนางที่ฝีมือการทำอาหารใช่หรือไม่ ? ขนมที่เขานำกลับไปด้วยเมื่อวานจะต้องเป็นฝีมือของกู่เหนียงผู้นี้แน่ ดังนั้นจึงไม่ยอมหยิบออกมา แต่แอบกินผู้เดียว ! ”
นางเผิงถลึงตามองเขา จากนั้นก็แย่งโถกระเบื้องเคลือบที่บรรจุขนมในมือของเขามา “กินน้อย ๆ หน่อย เหลือให้ลูกชายด้วย นี่เป็นฝีมือของว่าที่สะใภ้เล็ก ให้เขาได้ลิ้มลองด้วยสิ ! ”
“โถกระเบื้องเคลือบใบนี้หนักตั้ง 2 ชั่ง ข้าเพิ่งกินได้แค่ 2 ชิ้นเอง ! ” นายท่านเผิงประท้วง “ขนมนี้มีรสเค็มติดปลายลิ้น ไม่เลี่ยนเลยสักนิด ! เห็นได้ชัดว่าสะใภ้เล็กในอนาคตตั้งใจแสดงความกตัญญูต่อว่าที่พ่อสามีอย่างข้า รีบเอามา ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ ! ”
“ไม่เกรงใจ ? เอาสิ เก่งจริงก็เอาสิ ! แสดงให้ข้าดูหน่อย ! ” นางเผิงซ่อนโถกระเบื้องเคลือบไว้ด้านหลังแล้วยกสองมือขึ้นมากอดอก ไม่เกรงใจ ? เจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร ?
นายท่านเผิงเมินหน้าหนีไปทางอื่นและส่งเสียง ฮึ อย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็หันกลับมา “เรียบร้อยแล้ว ! เอาขนมคืนมาให้ข้า…ข้าโดนเจ้าคุมอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน ขนมของตระกูลหลินก็ไม่ให้กิน…เจ้าอยากให้ข้าหิวตายหรือ ! หากข้าตาย ลูกชายก็ต้องไว้ทุกข์ตั้งสามปี สะใภ้ก็ไม่ได้แต่งเป็นเรื่องเป็นราว…”
“เฮอะ ! เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด ! ” เมื่อเอ่ยถึงสะใภ้เล็ก นางเผิงก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ก็คอยดูสิว่าปลายปีนี้จะมีงานมงคลหรือไม่ ! ดั่งสำนวนที่ว่าจะมีหรือไม่มีเงิน วันปีใหม่ก็ต้องแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ! ”
นายท่านเผิงถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังแอบหยิบโถกระเบื้องเคลือบไป จากนั้นก็หยิบขนมออกมาเคี้ยวพลางกล่าวว่า “ก็ต้องดูความประสงค์ของพ่อแม่ฝ่ายหญิงอีก อย่างไรกู่เหนียงก็เพิ่งอายุ 15 ปี ! ”
นางเผิงกลอกตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ? เหตุใดจึงพูดแต่เรื่องไม่ดี ? ขนมนี้เจ้าควรเก็บไว้ให้ลูกชายด้วย อย่ากินคนเดียวจนหมดเด็ดขาด ! ”
ระหว่างกลับบ้าน พวกเขาก็พบว่าบุตรชายคนโตกลับมาจากข้างนอกพอดีและกำลังนั่งอยู่กับน้องชาย จากนั้นบุตรทั้งสองก็มองหน้ากัน !
“ชางเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ ? ซื้อธัญพืชกลับมาด้วยหรือไม่ ? ” การเก็บเกี่ยวผลผลิตในภาคเหนือปีนี้ล้มเหลว หลายหมู่บ้านต้องรวมเงินกันเพื่อจ้างเรือไปซื้อธัญพืชจากทางใต้ บุตรชายคนโตออกเดินทางเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ผู้อาวุโสทั้งสองได้แต่เป็นห่วงอยู่ทางนี้ !
เผิงหยูชางมีอายุประมาณ 36-37 ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำคล้ำ มีหนวดสั้น เมื่อได้ยินเสียงของบิดามารดาแล้วในที่สุดเขาก็หยุดการจ้องเขม็งไปทางน้องชายและพูดกับมารดาว่า “การเดินทางในครานี้ราบรื่นมากขอรับ ทำการซื้อขายธัญพืชได้ตั้งห้าหมื่นกว่าชั่งและขนย้ายเข้าไปที่โกดังเก็บสินค้าในเขตเรียบร้อยแล้ว ! ”
ธัญพืชทางภาคใต้มีราคาถูกกว่าที่นี่เป็นเท่าตัว ธัญพืชเหล่านี้ไม่ว่าจะเก็บไว้กินเองหรือวางขายให้ร้านค้าก็ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น !
“เมื่อหลายวันก่อนผู้ใหญ่บ้านได้กล่าวว่าผู้เช่าภายในหมู่บ้านเริ่มขายบุตรชายบุตรสาวกันเพราะแทบเอาชีวิตไม่รอด เจ้าดูสิ ธัญพืชที่เจ้านำกลับมานี้ให้พวกเขายืมสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
ตระกูลเผิงใจบุญมาก ปีนี้ธัญพืชในแปลงนาไม่ได้รับการเก็บเกี่ยว พวกเขาก็ยกเว้นค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าเหล่านั้น ส่วนตนก็ยังต้องจ่ายภาษีให้ทางการตามเดิม ธัญพืชในโกดังตอนนี้ก็เป็นผลผลิตมาจากคนยากคนจนทั้งสิ้น !
ตอนนี้ต้องยืมธัญพืชในโกดังไปให้พวกผู้เช่า ธัญพืชมีราคาแพงมาก ! หากปีที่แล้วฝนตกตามฤดูกาล ราคาธัญพืชก็คงจะต่ำลง ส่วนธัญพืชที่คืนโดยผู้เช่าย่อมมีไม่เพียงพอและไม่คุ้มทุน…แต่ก็ทนมองคนเหล่านั้นอดอยากโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร ?
ไอหยา ! ยืมก็ยืม ! พวกเขาได้ทราบข่าวระหว่างเดินทางว่าอาหารบรรเทาทุกข์จากราชสำนักอยู่ระหว่างเดินทางแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะสามารถช่วยพวกชาวบ้านได้ !
“ท่านแม่ขอรับ ! เรื่องของข้าเล่า ? สำเร็จหรือไม่ ? ” เผิงหยูเหยี่ยนเห็นบิดามารดาและพี่ชายกำลังถกเถียงกันเรื่องบรรเทาภัยพิบัติจึงอดไม่ได้ที่จะแทรกบทสนทนา ‘ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านลืมสิ่งใดหรือไม่ ? ’
นางเผิงตั้งใจแกล้ง “เรื่องของเจ้า ? เรื่องอันใดหรือ ? เจ้าไม่มีเงินไปซื้อตำราอีกแล้วหรือ ? ขอจากพี่ชายเองสิ ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง “ไม่ใช่ตำราขอรับ ! เรื่องแต่งงาน งานแต่งของข้า พวกท่านไปพูดคุยเป็นอย่างไรบ้าง ? ตระกูลหลินตอบรับหรือไม่ ? ”
เผิงหยูชางเบิกตากว้าง “ว่าอย่างไรนะ ? เรื่องแต่งงานอันใด ? ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ ท่านไปพูดเรื่องแต่งงานให้เจ้าเด็กบ้านี่หรือ ? เขายินยอมหรือขอรับ ? ” เผิงหยูชางเพิ่งกลับบ้านจึงยังไม่ทราบเรื่องนี้ !
บุตรชายคนโตของเขาวิ่งเข้ามาจากด้านนอกและอยากกอดผู้เป็นบิดาสุดหัวใจ แต่พอได้ยินหัวข้อสนทนานี้ก็หันหลังกลับแล้วสาวเท้าออกห่างทันที
นางเผิงเอ่ยด้วยความยินดี “น้องชายของเจ้าชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ดีมาก ฝ่ายหญิงยินยอมและอีกสามวันก็ส่งสินสอดไปสู่ขอได้เลย ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างแล้วกระโดดโลดเต้นดีใจยิ่งกว่าได้รับของขวัญราคาแพง
“เจ้าเด็กอัปลักษณ์ เจ้ามานี่กับพ่อหน่อย ! ” เผิงหยูชางเหลือบเห็นร่างที่กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่แล้วดึงหูของเผิงเจียเหลียงเข้ามาในห้อง “ดูเจ้าสิ ! ท่านอาอายุน้อยกว่าเจ้าหนึ่งปี ! แต่เขารู้จักชอบสตรีแล้ว ส่วนเจ้ามัวทำอันใดอยู่ ? ”