บทที่ 339 รางวัลใหญ่

บทที่ 339 รางวัลใหญ่

“กระต่ายกำมะหยี่? อู๋ฝาน?” องค์หญิงเจ็ดหยิบกระดาษข้อความที่แปะไว้กับกรงขึ้นมาอ่าน จากนั้นจึงก้มมองกระต่ายน้อยในอ้อมแขน “เจ้าคือกระต่ายกำมะหยี่งั้นหรือ? ทำไมถึงได้น่ารักน่าชังขนาดนี้กันนะ?”

จักรพรรดิชราผู้อยู่เหนือห้องโถงใหญ่ หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กลับไม่อาจจำได้ว่าอู๋ฝานคือใคร เพราะทุกวันต้องจัดการกิจธุระมากมาย ทั้งราชสำนักจึงมีข้าราชบริพารนับร้อยพัน ฝั่งขุนนางก็มีจำนวนไม่ใช่น้อย ไม่แปลกหากจะนึกไม่ออกว่าชายหนุ่มเป็นใคร

“กระต่ายกำมะหยี่? มีใครเคยได้ยินเรื่องสัตว์เลี้ยงตัวนี้บ้าง?” จักรพรรดิชราเอ่ยถามเหล่าขุนนางจากเหนือโถงใหญ่

ขุนนางส่วนใหญ่ต่างสับสนเพราะชื่อที่ได้ฟัง นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินนามสัตว์ชนิดนี้เสียด้วยซ้ำ ทว่าหน้าตาของมันช่างน่ารักเกินจะต้านทาน

ตอนนี้เองที่ปราชญ์มหาสำนักเหยียนหลินลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาจักรพรรดิพร้อมทำความเคารพ และเอ่ยคำด้วยความนอบน้อม “กราบเรียนจักรพรรดิ ตามตำราที่เคยมีบันทึก กระต่ายกำมะหยี่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ล้ำค่า ฉลาดปราดเปรื่อง เข้าใจมนุษย์ หากใช้เวลาร่วมกันนานมากพอก็สามารถปลูกฝังนิสัยได้พ่ะย่ะค่ะ ในอดีตเคยเป็นสัตว์เลี้ยงที่นิยมในหมู่ขุนนาง แต่พวกมันมีอัตราการสืบพันธุ์ที่น้อยนิด และกระต่ายกำมะหยี่เพศเมียยังให้กำเนิดทายาทได้เพียงแค่หนึ่งตัวในตลอดช่วงชีวิต เพราะเพียงแค่หนึ่งครั้งนั้น จึงทำให้มันเป็นสัตว์หายากมีจำนวนน้อยนิด เล่าลือกันว่ากระต่ายชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นมันอีก ไม่คาดว่าวันนี้จะได้เห็นสัตว์เลี้ยงตัวนี้อีกครั้ง นับเป็นพรจากสวรรค์โดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”

ปราชญ์มหาสำนักย่อมควรค่ากับการเป็นปราชญ์มหาสำนัก เขาเพียรอ่านตำรามามาก ทราบเรื่องราวนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รู้เรื่องราวมากมายที่ผู้อื่นไม่ทราบ

แต่ประโยคสุดท้ายของเหยียนหลินนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคำเยินยอจนเกินจริง

ทว่าผู้อื่นไม่คิดใส่ใจประโยคช่วงท้ายของเหยียนหลิน สายตาของพวกเขาทอประกายยามได้ยินคำบอกเล่าถึงความวิเศษของกระต่ายกำมะหยี่ของอีกฝ่าย

บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงเจ็ด ย่อมไม่ใช่มีสถานะต่ำเตี้ย ไม่ว่าใครในพวกเขาต่างก็มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก หรือไม่ก็เป็นขุนนางชั้นแนวหน้า สถานะไม่มีสิ่งใดให้ต้องสงสัย คนเหล่านี้ไม่ขัดสนทางด้านเงินทอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งไปมาระหว่างวัน เพื่อกระเสือกกระสนหาเงินจับจ่ายใช้สอย จึงมีเวลาว่างมากมาย พลังงานล้นเหลือ สามารถใช้ชีวิตดื่มด่ำกับความมั่งคั่งที่มี และในบรรดาพวกเขาก็มีจำนวนไม่น้อยที่นิยมชมชอบสัตว์เลี้ยง

สัตว์เลี้ยงทั่วไป พวกเขาย่อมไม่แลสายตามอง หากครอบครองสัตว์เลี้ยงทั่วไปแล้ว ไฉนจะสะท้อนสถานะอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาให้ผู้อื่นชมได้? มันจะต้องเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชวนให้รู้สึกอึ้ง และหามาได้อย่างยากลำบาก

ตอนนี้เองหลังได้เห็นกระต่ายกำมะหยี่ หลายคนก็ตกหลุมรักมันขึ้นมา และหลังฟังคำบรรยายของเหยียนหลิน มันก็ยิ่งเป็นการกระตุ้น เพียงแค่มองก็พบว่ามันน่ารักมาก อีกทั้งจำนวนยังมีน้อยนิด ย่อมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ควรค่ามีไว้ชื่นชม

หลังรับฟังคำอธิบายจากเหยียนหลิน จักรพรรดิชราก็ยังต้องเกิดนึกสนใจ พร้อมกับมองกระต่ายกำมะหยี่ที่องค์หญิงเจ็ดกำลังอุ้มไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเริ่มลูบหนวดเคราพลางกล่าว “ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวน้อยนี่จะมีที่มาที่ไปน่าทึ่งถึงเพียงนี้ เมื่อชมความน่ามองของมัน ไม่แปลกใจที่ในอดีตจะได้รับความชมชอบ หนานเจี๋ยอู๋ฝานสามารถหาสัตว์เลี้ยงเช่นนี้มาได้ นับว่าใส่ใจและทุ่มเทอย่างเห็นได้ชัด”

“เสด็จพ่อ ลูกชอบกระต่ายน้อยตัวนี้เพคะ เสด็จพ่อได้โปรดมอบรางวัลให้แก่อู๋ฝานคนนั้นอย่างเหมาะสมด้วย” องค์หญิงเจ็ดกอดกระต่ายกำมะหยี่เอาไว้ในอ้อมแขนขณะเดินกลับไปนั่งประจำที่ และเอ่ยกับบิดา

“แน่นอนอยู่แล้ว” จักรพรรดิยิ้มตอบรับ “สามารถทำให้ลูกสาวข้าพึงพอใจได้เช่นนี้ ย่อมต้องตกรางวัลให้หนัก”

“เรียกคนมา! บันทึกไว้ว่าตำแหน่งหนานเจี๋ยอู๋ฝานจะได้รับการอวยยศขึ้นหนึ่งขั้น และยังตกรางวัลให้เป็นจำนวนห้าพันเหรียญทอง ผ้าไหมหนึ่งร้อยผืน อัญมณีหนึ่งกล่อง และ…” จักรพรรดิชราฟังคำพูดขององค์หญิงเจ็ดที่ให้ตกรางวัลแก่อู๋ฝาน ตอนนี้จึงตกรางวัลอย่างหนัก บรรดาผู้ได้ยินต่างริษยากันถ้วนหน้า

เงิน ผ้าไหม และรางวัลอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้สนใจ อย่างไรพวกเขาก็มีทั้งอำนาจและเงินทอง แต่ที่พวกเขานึกอิจฉาอู๋ฝาน นั่นคือการได้อวยยศหนึ่งขั้น จากหนานเจี๋ยเป็นจื่อเจวี๋ย*[1] เรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเขาริษยา กระทั่งว่าริษยาจนแทบตายแล้ว!

บรรดาศักดิ์ในอาณาจักรเหยียนเฟิงนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะได้รับ นอกจากครั้งก่อตั้งอาณาจักรที่มีการแบ่งตำแหน่งขุนนางทั้งหลายแล้ว หลังจากนั้นหากอยากได้รับบรรดาศักดิ์ก็เป็นเรื่องยาก มีเพียงข้าราชการพลเรือนผู้มีพรสวรรค์และความสามารถ หรือแม่ทัพนายกองผู้สร้างความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ในศึกสงครามเท่านั้น จึงสามารถได้รับบรรดาศักดิ์

และตอนนี้ อู๋ฝานแค่ส่งของขวัญเป็นกระต่ายกำมะหยี่มาตัวหนึ่ง กลับได้รับการอวยยศบรรดาศักดิ์หนึ่งขั้น จะไม่ให้ผู้อื่นอิจฉาริษยาได้อย่างไรไหว

“ฝ่าบาท รางวัลนี้มากเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ขณะนี้เองที่โจวเหยียนเฟิง เสนาบดีกรมคลังเดินออกมากล่าวบางอย่าง

“มากไป? ไม่มากเกินไปแม้แต่น้อย” จักรพรรดิตอบคำกลับ “หากมีผู้ใดมอบของขวัญที่ทำให้บุตรสาวข้าถูกใจถึงเพียงนี้ได้ ข้าก็ยินดีตกรางวัลให้หนักเช่นนี้”

เมื่อจักรพรรดิกล่าวเช่นนี้ ผู้อื่นย่อมไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นอีก เพียงคิดว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตราบใดที่บรรณาการของขวัญทำให้องค์หญิงเจ็ดพึงพอใจได้ ย่อมได้รับรางวัลที่ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่การตกรางวัลเป็นบรรดาศักดิ์เช่นนี้นั้น นับว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบราวนี่ออนไลน์

กลุ่มคนต่างสับสนไปครู่หนึ่ง เหตุใดจักรพรรดิจึงต้องตกรางวัลเป็นทั้งสิ่งของ เงินทอง และบรรดาศักดิ์ไปโดยพร้อมกันเช่นนี้ ทว่าในเมื่อจักรพรรดิยืนกราน พวกเขาก็ไม่อาจมีความเห็นเป็นอื่น

“ในเมื่อได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นจื่อเจวี๋ย ก็ควรต้องมีที่ดินศักดินาเป็นของตัวเองด้วย” จักรพรรดิชราครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้จื่อเจวี๋ยอู๋ฝานเตรียมเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที ข้าต้องการพบและพูดคุยถึงการค้นพบสัตว์เลี้ยงที่เล่าขานกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ดินศักดินานั้น คนมาถึงแล้วค่อยว่ากัน”

“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีข้างกายจักรพรรดิชรารีบตอบรับ

ตามกฎของอาณาจักรเหยียนเฟิง ขุนนางที่บรรดาศักดิ์นับตั้งแต่จื่อเจวี๋ยขึ้นไป จะได้รับอนุญาตให้ครอบครองที่ดินศักดินาเป็นของตัวเอง ทั้งสามารถจัดเก็บภาษีภายในที่ดินศักดินาของตนเองได้ อีกทั้งยังครอบครองอำนาจตัดสินใจเรื่องที่เกิดขึ้นภายในที่ดินศักดินา

ทว่าขุนนางส่วนใหญ่มักไม่ได้อยู่อาศัยในที่ดินศักดินาของตนเอง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากอยู่ แต่จักรพรรดิไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น สาเหตุก็เพราะจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงหวาดเกรง ว่าขุนนางเหล่านั้นจะทำให้ที่ดินศักดินาของตนเองเกิดความวุ่นวาย จึงให้พวกเขาได้อยู่ในเมืองหลวง สงบจิตสงบใจและรับเงินทองผ่านการเก็บภาษี

แท้จริงแล้วขุนนางทั้งหลายก็ไม่ได้ยินดีจะอยู่อาศัยภายในที่ดินศักดินาของตนเอง เพราะที่ดินศักดินาอยู่ห่างไกลโพ้นแผ่นดิน กระทั่งว่าเป็นพื้นที่รกร้างหรือแห้งแล้งขัดสน ขนาดพื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่โต ไฉนเลยจะเทียบเท่าเมืองหลวงที่สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย? เมื่ออาณาจักรเหยียนเฟิงจัดระเบียบเช่นนี้ เมืองหลวงจึงกลายเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดในอาณาจักร ทั้งยังเป็นศูนย์กลางอำนาจ ที่ซึ่งพวกเขาสามารถใช้ชีวิตและดำรงตำแหน่งขุนนางของตนกันสืบไป ดังนั้นแล้วจะมีผู้ใดยินดีไปอยู่ในสถานที่ไกลห่างแร้นแค้น?

ด้วยเหตุผลเหล่านั้น เหล่าขุนนางจึงไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่นกับระเบียบดังกล่าวขององค์จักรพรรดิ และแม้พวกเขาคิดเห็นเป็นอื่น ก็คงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา

ดังนั้นเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายจึงไม่คิดเห็นโต้แย้งใด เกี่ยวกับเรื่องที่อู๋ฝานจะได้รับที่ดินศักดินาไปครอบครอง

หลังตกรางวัลเสร็จสิ้น งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อจนถึงช่วงสุดท้าย ทว่าบางคนที่มีสายข่าวที่ดีนั้น ย่อมรู้ว่าเรื่องสำคัญของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

จักรพรรดิชรามององค์หญิงเจ็ดที่กำลังโปรดปรานกระต่ายกำมะหยี่ ก่อนจะกระแอมไอออกมาครั้งหนึ่ง “ฉีเอ๋อร์ พ่อมีเรื่องต้องบอกให้ลูกรู้เอาไว้”

[1] จื่อเจวี๋ย คือ บรรดาศักดิ์ขุนนาง เทียบเท่าไวเคานต์

——————————