บทที่ 338 ของขวัญที่พึงพอใจ
บทที่ 338 ของขวัญที่พึงพอใจ
กัวจื่อหมิงที่เตรียมการเพื่อมอบของขวัญวันเกิดให้แก่องค์หญิงเจ็ด เรียกได้ว่าระดมสมองอย่างหนัก พยายามบากบั่นอยู่นาน กระทั่งหารือกับที่ปรึกษา ครุ่นคิดและไตร่ตรอง หลังการหารือหลายต่อหลายครั้ง จึงกลายเป็นว่า กัวจื่อหมิงไม่เคยดูแลเทศมณฑลชิงหยวนได้เท่าไตร่ตรองการเฟ้นหาของขวัญเสียด้วยซ้ำ
พวกเขาที่ปรึกษาหารือกันอยู่นาน กลับไม่อาจได้ผลลัพธ์เป็นของขวัญที่องค์หญิงเจ็ดพึงพอใจ เพราะพวกเขามองว่าของที่พวกตนสามารถจัดหามาได้ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ย่อมสามารถเสาะหามาได้เช่นเดียวกัน
ท้ายที่สุดแล้ว กัวจื่อหมิงจึงใช้ความคิดเท่าที่มี สร้างผลงานภาพคัดลายมือด้วยตัวเองขึ้นมาเป็นของขวัญวันเกิด แต่มีประเด็นหนึ่ง คือการที่กัวจื่อหมิงคิดไปเองว่าฝีมือของตนเองไม่ได้ด้อยกว่าปรมาจารย์คัดลายมือ ควรค่าแก่การเก็บสะสม อีกทั้งยังเป็นการเขียนคัดลายมือด้วยตนเอง มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าใส่ใจเช่นไร เป็นของชิ้นเดียวในโลกที่ไม่มีใครเหมือน
เมื่อคิดได้ดังนั้น กัวจื่อหมิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า สุดท้ายจึงฝนน้ำหมึกด้วยตนเอง เพื่อสร้างสรรค์ผลงานภาพคัดลายมือขึ้นมา
ที่ปรึกษารู้ว่ากัวจื่อหมิงตัดสินใจใช้ภาพคัดลายมือของตนเองเป็นของขวัญแก่องค์หญิงเจ็ด แม้จะพยายามเอ่ยบอกอะไรบางอย่าง เพื่อให้กัวจื่อหมิงพิจารณาอีกครั้งแล้ว ทว่าแม้ปากขยับ แต่ก็ไร้คำเอื้อนเอ่ย อย่างไรเขาก็เคยชื่นชมผลงานคัดลายมือของกัวจื่อหมิงมานาน หากพูดออกไปตอนนี้ เช่นนั้นอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร?
ดังนั้นที่ปรึกษาจึงทำได้เพียงปล่อยวาง และดูกัวจื่อหมิงภาคภูมิกับผลงานด้วยความรู้สึกลำบากใจ
และตอนนี้ ผลงานคัดลายมือที่กัวจื่อหมิงมั่นใจหนักหนา กลับถูกองค์หญิงเจ็ดปฏิเสธอย่างชัดเจน หญิงสาวไม่พอใจที่ได้รับของขวัญนี้จากอีกฝ่าย เพราะฝีมือที่ต่ำเตี้ยก็เรื่องหนึ่ง แต่การถูกองค์หญิงเจ็ดดูหมิ่น ทั้งนึกรังเกียจ เรียกว่าเขาโชคร้ายในร้ายก็ว่าได้
จักรพรรดิชราส่งคนมาเก็บผลงานของกัวจื่อหมิงขึ้น ถัดจากนั้นจึงเอ่ย “ฝีมือก็งั้น ๆ จริงดังว่า แต่ฉีเอ๋อร์ไม่ต้องโกรธเคืองไป อย่างไรพวกเขาส่งของขวัญเหล่านี้มาให้ด้วยใจ ดังนั้นพ่อรับปากแก่ลูก หากต้องการสิ่งใด ขอเพียงบอกพ่อคนนี้ก็พร้อมจะหามาให้”
“อะไรก็ได้หรือเพคะ?” องค์หญิงเจ็ดถามพร้อมกะพริบอย่างน่ารักน่าชัง
“อะไรก็ได้!” จักรพรรดิตอบ เพราะเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง เขาจึงมองว่าคงมีของน้อยสิ่งที่ตนเองจะไม่สามารถไขว่คว้าหามาได้
“ลูกอยากออกไปเล่นนอกวังเพคะ!” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยขึ้นโดยไม่รีรอ “นับตั้งแต่เติบโตมา ลูกแทบไม่เคยได้ออกไปนอกวัง ลูกจึงอยากไปเที่ยวเล่นหาความสนุกสำราญเพคะ”
จักรพรรดิชราตอบรับ “ก่อนหน้านี้ลูกบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าจะอยู่ที่วังรอเพื่อนเป็นฝ่ายมาพบ?”
องค์หญิงเจ็ดคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง ดังนั้นย่อมต้องมีมิตรสหายสตรีให้พูดคุยด้วยจำนวนไม่ใช่น้อย คนเหล่านั้นต่างก็เป็นคนจากตระกูลดังและมีชื่อเสียง องค์หญิงเจ็ดมักไปมาหาสู่กันและกันเพื่อเที่ยวเล่นเป็นครั้งคราว
“ไม่นับเรื่องนั้นสิเพคะ” องค์หญิงเจ็ดตอบ “ทุกครั้งที่ลูกออกไปนอกวังและกลับมา ลูกก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปเห็นโลกภายนอกด้วยตัวเองเลยสักครั้ง ครั้งนี้ลูกจึงอยากเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านธรรมดา ว่าชีวิตเหล่านั้นเป็นชีวิตเช่นไร”
องค์หญิงเจ็ดกล่าวด้วยท่าทีคาดหวังที่แสดงออกชัดทางสีหน้า นางเติบโตขึ้นภายในวังหลวง ไม่เคยมีโอกาสออกไปเห็นชีวิตประจำวันทั่วไปของชาวเมือง เพียงแค่เคยได้ยินเหล่าขันทีพูดคุยกับข้ารับใช้ในวัง ทำให้องค์หญิงเจ็ดมีความสงสัยใคร่รู้วิถีชีวิตของผู้อื่น
“เรื่องนี้คงไม่ได้” ได้ยินคำขอขององค์หญิงเจ็ด จักรพรรดิชราก็ปฏิเสธโดยไม่ลังเลครุ่นคิด “ภายนอกมีกองทัพกบฏอยู่ พวกคนจากโลกอสูรเองก็อยู่ไม่ไกล ด้านนอกไม่ปลอดภัย หากเกิดอันตรายขึ้นจะทำอย่างไร?”
“เสด็จพ่อ ลูกเพียงต้องการไปเที่ยวชมรอบวัง ไม่ได้คิดไปไกลเพคะ อย่างไรเมืองหลวงแห่งนี้ก็เป็นของอาณาจักรเหยียนเฟิงไม่ใช่หรือเพคะ?” องค์หญิงเจ็ดเอ่ยถาม
“เมืองหลวงย่อมปลอดภัย แต่พ่อยังรู้สึกว่าหากให้ลูกไปข้างนอกแล้วจะไม่อาจวางใจได้” จักรพรรดิตอบ
จักรพรรดิชราย่อมมั่นใจความปลอดภัยภายในเมืองหลวงซึ่งตนเองนั่งบัลลังก์ปกครองอยู่ แต่ไม่อาจมีใครกล้ารับประกันอย่างมั่นใจ ว่าทุกซอกมุมของเมืองหลวงจะปลอดภัย ตอนนี้ยังปรากฏพวกปล้นสะดมไปทั่ว เมื่อคิดได้ดังนั้น จักรพรรดิชราจึงตอบกลับมาว่าไม่เห็นด้วยที่องค์หญิงจะออกไปเล่นนอกวัง
องค์หญิงเจ็ดพยายามร้องขออยู่นาน ทว่าจักรพรรดิชราก็ยังไม่เห็นด้วย องค์หญิงเจ็ดจึงบุ้ยปากเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เสด็จพ่อตกลงรับปากลูกแล้วว่าจะทำให้คำขอของลูกเป็นจริง เสด็จพ่อบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น ไฉนตอนนี้กลับคำพูดล่ะเพคะ?”
คำพูดขององค์หญิงเจ็ดทำให้จักรพรรดิชราอับอาย กระทั่งทำเหล่าขุนนางทั้งหลายก็หลุดหัวเราะออกมา อาณาจักรใหญ่เช่นเหยียนเฟิง อาจมีเพียงแค่องค์หญิงเจ็ดที่กล้าทำให้จักรพรรดิต้องชอกช้ำ
“หากยอมเปลี่ยนคำขอ พ่อรับปากว่าจะไม่คืนคำ” จักรพรรดิชราตอบคำกลับอีกครั้ง
“ไม่เปลี่ยน! ข้าต้องการเพียงแค่เรื่องนี้เพคะ!” องค์หญิงเจ็ดแสดงความดื้อรั้นออกมา
จักรพรรดิชรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่นี่มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่อยู่มาก พวกเขากำลังจับตามอง จักรพรรดิย่อมไม่ยินดีเป็นที่ขบขัน หากองค์หญิงเจ็ดยอมละทิ้งความคิดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าดื้อรั้นยืนกรานไม่ตกลง เช่นนั้นเขาก็ปั้นหน้าได้ยากลำบากแล้ว
เหล่าขุนนางต่างเข้าใจความคิดของจักรพรรดิชราเช่นกัน แต่พวกเขาทำได้เพียงแค่เงียบงัน ทั้งห้องโถงใหญ่จึงเงียบสงัด
“จิ้ว จิ้ว…”
ตอนนี้เองที่เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นในโถงใหญ่อย่างกะทันหัน เสียงนี้ไม่ได้ดัง แต่เพราะทั้งโถงใหญ่เงียบ เสียงที่เคยเล็กน้อยจนไม่ได้ยิน ขณะนี้จึงได้ยินอย่างแจ่มชัด
“เสียงอะไรกัน?!” จักรพรรดิชราเอ่ยขึ้นด้วยโทสะ เขากำลังเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก ดังนั้นย่อมไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกที่ดีกับเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ จึงไม่พอใจขึ้นมา
ขันทีคนหนึ่งถือกรงมาด้วยสีหน้าหวาดเกรง พร้อมคุกเข่าลงกับพื้น “กราบเรียน… กราบเรียนฝ่าบาท… สัตว์ในกรงนี้เป็นต้นเสียงเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“มันคืออะไร? ใครใช้ให้เจ้านำมันเข้ามายังโถงนี้!?” จักรพรรดิชราคำรามถาม
“สิ่งนี้… เป็นของขวัญจากหนานเจี๋ยอู๋ฝานแก่องค์หญิงเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นเร่งร้อนอธิบายออกมา
จักรพรรดิชราคิดถามอะไรอีก ทว่าองค์หญิงเจ็ดกลับยืนขึ้นพร้อมเผยสีหน้ายินดีแสดงออกมา “ตายแล้ว! เจ้ากระต่ายน้อยช่างน่ารักน่าชัง”
กล่าวจบ องค์หญิงเจ็ดก็เป็นฝ่ายเดินออกจากตำแหน่งเดิม พร้อมเดินเข้าไปหาขันที
เมื่อเห็นบุตรสาวชื่นชอบโปรดปรานออกนอกหน้า จักรพรรดิพลันกลืนคำตำหนิติเตียนลงท้อง พร้อมกับมองกระต่ายในกรง ด้วยสายตาที่โปรดปรานมันเสียอย่างนั้น
ขอเพียงองค์หญิงเจ็ดไม่ยกเรื่องออกไปนอกวังขึ้นมาอีก ทุกอย่างล้วนดีไปหมด
องค์หญิงเจ็ดเดินเข้าถึงตัวขันที ก่อนจะนำกระต่ายน้อยออกจากกรงมาอุ้มไว้ในมือ ขณะลูบความนุ่มของกระต่ายน้อย นางจึงเอ่ยขึ้น “น่ารักน่าชังขนาดนี้ เป็นกระต่ายอะไรกัน? ไฉนไม่เคยเห็นกระต่ายเช่นนี้มาก่อน หลังหูของมันถึงกับเป็นสีทอง อีกทั้งหน้าตายังน่ารักใสซื่อเป็นที่สุด”
องค์หญิงเจ็ดโปรดปรานกระต่ายน้อยมาก ไม่ว่าใครในที่นี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจน
จักรพรรดิชราย่อมยินดีเช่นกัน ประการที่หนึ่งคือ การที่ดึงความสนใจขององค์หญิงเจ็ด ให้ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องออกไปเที่ยวนอกวังได้สำเร็จ อีกประการหนึ่ง คือการที่ในบรรดาของขวัญมากมาย ในที่สุดก็มีสิ่งที่นางโปรดปรานเสียที
เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ
คนที่ส่งกระต่ายน้อยตัวนี้มา ย่อมถือเป็นที่โปรดปรานและควรค่าแก่การได้รับรางวัล
แต่นามอู๋ฝานนั้น ไฉนฟังดูคุ้นเคยอย่างประหลาด?