ตอนที่ 328 เขาไม่เคยถูกลืม
ตอนที่ 328 เขาไม่เคยถูกลืม
เซี่ยอวี่ก้าวลงจากรถ พอเห็นพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต่างก็เป็นเพื่อนของเซี่ยไห่โดยแทบไม่ต้องเดา
แต่ทำไมคุณหมอเย่ถึงมาอยู่รวมกลุ่มกับพวกเขาได้ล่ะ?
เขาก็เคยเป็นทหารเหมือนกันเหรอ?
เซี่ยอวี่อดไม่ได้ที่จะมองเขาอีกครั้ง
ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนและสง่างาม รวมถึงแว่นหนาเตอะที่บ่งบอกถึงความสั้นของระดับสายตา เขาดูไม่เหมือนคนที่เคยอยู่ในกองทัพมาก่อนเลย
ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ตาลุงหนวดคนนี้กับเฉินเจียเหอยังพอมองออกว่ามาจากกองทัพ
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เหล่มองเซี่ยไห่ผู้มีชุดสีสันแสบทรวงในตู้เสื้อผ้ามากกว่าห้าหรือหกชุด
ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถกำหนดอาชีพได้
เซี่ยอวี่มองไปที่พวกเขา แล้วเริ่มทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยของฟางจิ้นเป่าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเป็นคนแรกที่แนะนำตัวกับดาราสาวว่า “สวัสดีครับ พวกเราเป็นเพื่อนของเหล่าเซี่ย ผมชื่อฟางจิ้นเป่า”
“ทราบแล้วค่ะ ฉันเป็นพี่สาวของเขา ขอบคุณมากที่พวกคุณอดทนกับเขาและช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดี”
เซี่ยเหลยก้าวลงจากรถตาม ทันใดนั้นทุกคนพลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเซี่ยเหลยผู้เป็นต้นแบบซึ่งปรากฏตัวตรงหน้าอย่างตั้งใจ ความสนใจของพวกเขาก็ละไปจากดาราสาวทันที
เซี่ยเหลยเห็นคนจำนวนมากมายืนเรียงกันเป็นแถว แถมสองคนจากทั้งหมดยังยืนยืดอกหลังตรงไหล่ผึ่งตามแบบฉบับของทหาร จึงมองไปทางเซี่ยไห่ด้วยความสับสน
ราวกับจะถามว่าเขาพาคนมายืนเข้าแถวต้อนรับเพื่ออะไร?
เซี่ยไห่อธิบายให้เขาฟังว่า “พี่ใหญ่ พวกเขาเป็นเพื่อนของผมเอง นี่เหล่าฟาง นี่เจิ้งอวี่ สหายร่วมรบของผม ส่วนคนนี้หมอเย่ เขามีความใฝ่ฝันที่จะรับราชการทหารมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาล้วนมีพี่เป็นแบบอย่าง ทุกคนก็เลยอยากเจอพี่น่ะ”
เซี่ยไห่ดึงฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่เข้ามาใกล้แล้วกระซิบเตือนว่า “เหล่าฟาง เจิ้งอวี้ ผ่อนคลายลงหน่อย”
“สวัสดี” เซี่ยเหลยมองดูพวกเขาพร้อมกับทักทายทุกคนอย่างใจดี
ฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ทักทายเขาด้วยท่าวันทยาหัตถ์แบบทหาร เฉินเจียเหอก็ทำตามเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินจินซานก็รีบยกมือขึ้นทักทายบ้าง แต่ดันยกผิดเป็นมือซ้าย
“นายเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?” เซี่ยไห่ตบแขนเขาให้กลับมาอยู่ในท่าปกติ
เซี่ยเหลยกวาดสายตามองพวกเขา ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
เขาลืมตัวตนของตัวเองไปหมดแล้ว
แต่กาลเวลายังคงไม่ลืมเขา สหายร่วมกองทัพก็ไม่เคยลืมเขาเช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไปนานกว่าสิบปี เมื่อเขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ทุกคนยังคงจดจำเขาได้ และแสดงความเคารพต่อเขา
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ถือว่าเขาเป็นแบบอย่างเสมอมา ขณะนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นคุ้มค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เขาไม่เคยถูกลืม
เขาเป็นทหาร แน่นอนว่าขวัญกำลังใจในฐานะทหารไม่มีวันสูญสลายไปตามกาลเวลา
ในอนาคตเขาควรทำงานให้หนักขึ้นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เพื่อแสดงให้คนหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าเห็น ว่าถึงแม้เขาจะได้รับความบอบช้ำอย่างสาหัส แต่จิตวิญญาณความเป็นทหารของเขายังคงอยู่
เขาตอบกลับทุกคนด้วยท่าวันทยาหัตถ์
เมื่อมองดูขาที่เดินกะเผลกจากอาการบาดเจ็บของเซี่ยเหลย ผู้ชายหลายคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกสะเทือนใจมาก
เซี่ยไห่ทนเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “มาเถอะ เข้าไปดูร้านกันก่อน”
เซี่ยไห่และเซี่ยเหลยเดินนำหน้า ทุกคนเดินตามเข้าไปเยี่ยมชมร้านพอเป็นพิธี
หลังจากเข้าไปภายในร้าน เซี่ยไห่ก็เริ่มแนะนำกับเขาว่า “พี่ใหญ่ ลองดูรอบ ๆ สิ สภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างดี แถมยังตั้งอยู่ใกล้กับร้านของผมและเซี่ยเซี่ยด้วย ถ้าพี่เปิดร้านอาหารที่นี่ เราก็แวะมากินข้าวร้านพี่ได้บ่อย ๆ ทำเลแถวนี้มีโรงงานอยู่ใกล้ ๆ มากมาย การค้าบนถนนสายนี้เจริญรุ่งเรืองมาก ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน ร้านเราต้องขายดิบขายดีอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ทำเลดี”
เซี่ยเหลยหันกลับมาพลางแสดงความพึงพอใจ
“แม่ยายของเจียเหอว่ายังไงบ้างล่ะ นายอยากให้หล่อนมาเป็นหุ้นส่วนของร้านไม่ใช่เหรอ? ฉันเกรงว่าคงทำร้านด้วยตัวคนเดียวไม่ได้”
หลังจากได้ยินคำถามของเซี่ยเหลย เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอก็หันมองหน้ากันทันที สีหน้าของพวกเขาสดใสขึ้นเป็นกอง
เซี่ยไห่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพี่ใหญ่ของเขาจะเป็นฝ่ายริเริ่มพูดถึงความร่วมมือด้านหุ้นส่วนร้านกับหลิวกุ้ยอิง
ถ้าเขาไม่เห็นรูปถ่ายใบนั้น บางทีเขาคงไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆ
พี่ใหญ่จะต้องจดจำตัวตนของหลิวกุ้ยอิงไว้ในจิตใต้สำนึกอย่างแม่นยำไม่ผิดแน่
“ท่านเห็นด้วยครับ” เฉินเจียเหอตอบ “แม่ยายของผมยินดีที่จะเปิดร้านอาหารร่วมกับคุณ ท่านกำลังรอฟังข่าวจากคุณอยู่พอดี ท่านไม่ได้เปิดแผงลอยขายอาหารมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยากมีงานล้นมือจะแย่ ถ้าคุณไม่มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับท่าน ท่านอาจต้องไปหยิบจับทำธุรกิจอย่างอื่น”
เซี่ยเหลยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ลองดูก็ไม่เสียหาย พรุ่งนี้ฉันอยากเจอหล่อนแล้วหารือเกี่ยวกับการเปิดร้าน ถ้าเป็นไปได้ เราอาจจะคุยรายละเอียดกันโดยเร็วที่สุด”
ริมฝีปากของเฉินเจียเหอโค้งเป็นรอยยิ้มบาง ก่อนจะเขาตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้ครับ ผมจะกลับไปบอกแม่ยายทีหลัง”
หลินจินซานได้ยินการสนทนาระหว่างพวกเขาจากด้านหลัง ก็โพล่งขึ้นว่า “เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับแม่เองก็ได้ ท่านต้องเต็มใจร่วมมือแน่ครับ”
“นายคือลูกชายของคุณหลิวกุ้ยอิงใช่ไหม?” เซี่ยเหลยถามขณะมองดูชายหนุ่มที่แต่งตัวในสไตล์ที่แตกต่างและทันสมัย
หลินจินซานเบียดตัวออกมาจากด้านหลังลู่เจิ้งอวี่ เซ็ตผมนิดหน่อยแล้วแนะนำตัวเองว่า “ใช่แล้วครับ ผมเป็นลูกชายคนโตของหล่อน ชื่อหลินจินซาน ถึงความจริงแล้วหล่อนจะเป็นแม่เลี้ยง แต่พวกเราก็ผูกพันกันเหมือนแม่กับลูกแท้ ๆ ผมเป็นคนเปิดเผย แน่นอนว่าผมสนับสนุนในทุกอย่างที่หล่อนอยากจะทำอยู่แล้ว โดยเฉพาะการเปิดร้านร่วมกันกับคุณ ขอแค่คุณไม่รังแกหล่อนก็พอแล้วครับ”
ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นวีรบุรุษหรือหมีดุร้าย เขาก็ไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายมารังแกแม่เด็ดขาด
เซี่ยเหลยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่ากังวลเลย เราเป็นเพียงหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถหารือร่วมกันและหาทางแก้ปัญหาได้ ไม่มีเหตุอะไรให้ฉันรังแกแม่นายหรอก”
“ครับ งั้นผมก็สบายใจแล้ว”
“หลังจากนี้อย่าลืมอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะครับ”
ในขณะที่เซี่ยเหลยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยไห่ก็กระโดดกลับเข้ามากลางวงสนทนาพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ เห็นไหมว่าพี่น้องของผมอยากคุยกับพี่ให้มากขึ้น พี่ช่วยเห็นแก่หน้าน้องชายสักครั้งเถอะ”
เขาพูดพร้อมกับพยักเพยิดไปทางสหายพี่น้องของตัวเอง แล้วมองไปที่เซี่ยเหลยอย่างกระตือรือร้น
อ้อนวอนให้อีกฝ่ายยอมเห็นแก่หน้าเขา
เซี่ยเหลยหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะพยักหน้า
“งั้นก็ได้”
เซี่ยอวี่มองไปที่ผู้ชายทุกคน แล้วบอกตามตรงว่าหล่อนไม่ต้องการร่วมสนุกกับพวกเขา เธอบอกเซี่ยไห่ว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อน”
เซี่ยไห่รีบขยับไปขวางทางหล่อน ปฏิเสธที่จะปล่อยหล่อนไป
“พี่สาว เธอก็ต้องไปด้วย ฉันตั้งใจว่าจะไปเรียกเซี่ยเซี่ยอยู่พอดี”
หลังออกมาจากร้าน เย่ไป๋พูดกับเซี่ยเหลยว่า “จริงด้วย ระยะหลังพี่เซี่ยเหลยต้องเข้ารับการฝังเข็มบ่อยขึ้น ผมคิดว่าเขาควรจัดระเบียบเส้นผมสักหน่อย ถ้าผมของเขายาวเกินไปอาจทำให้กระบวนการฝังเข็มทำได้ยาก”
หลังจากได้ยินคำแนะนำของเย่ไป๋ เซี่ยอวี่ก็ชี้ไปที่ร้านตัดผม ‘เริ่มใหม่อีกครั้ง’ ของหลินเซี่ย จากนั้นพูดกับเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ ให้เซี่ยเซี่ยช่วยตัดผมให้”
ฟางจิ้นเป่าเสนอตัวด้วยความกระตือรือร้นเพื่อช่วยโฆษณาฝีมือของหลินเซี่ย
“น้องสะใภ้ของเราฝีมือดีมากครับ พวกเราทุกคนต่างก็ใช้บริการตัดผมกับเธอกันทั้งนั้น ขนาดผมเป็นชายผิวดำตัวใหญ่ พอกลับไปทำงานพร้อมกับทรงผมใหม่ยังได้รับคำชมว่าหล่อเลย พี่เหลยครับ เข้าไปให้น้องสะใภ้ของเราช่วยตัดผมให้เถอะ”
เซี่ยไห่โจมตีฟางจิ้นเป่าด้วยคำพูดจิกกัดเช่นเคย “เหล่าฟาง เซี่ยเซี่ยมีทักษะด้านการตัดผม ไม่ได้มีทักษะด้านการศัลยกรรมความงามพลาสติกซะหน่อย นายเข้าใจผิดหรือไง?”
ด้วยหน้าตาของเหล่าฟางแล้ว คนชมเขาว่าหล่อต้องมีสายตาแบบไหนกัน?
ฟางจิ้นเป่ากลอกตาไปทางเซี่ยไห่ คิดกับตัวเองว่าที่เขาเสนอหน้าโฆษณา ก็เพราะอยากให้วีรบุรุษท่านนี้ยอมคล้อยตามและตัดผมกับลูกสาวของเขาไม่ใช่เหรอ?
“เย็นป่านนี้แล้วหล่อนยังไม่ปิดร้านอีกเหรอ?” เซี่ยเหลยถาม
เซี่ยอวี่บอกว่า “ยังค่ะ ร้านตัดผมของเธอไม่ใช่สถานประกอบการที่ดำเนินการโดยรัฐ ปิดร้านช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร มาเร็ว ฉันจะพาพี่ไปที่นั่นเอง”
“งั้นฉันขอตัวไปจัดการเรื่องห้องอาหารก่อน”
เซี่ยไห่หันไปพูดกับฟางจิ้นเป่าและคนอื่น ๆ “ไปเถอะ พวกนายไปรอเขาที่ห้องอาหารก่อนแล้วกัน”
“ฉันว่าจะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย” เมื่อเฉินเจียเหอรู้ตัวว่าพวกเขากำลังจะไปรับประทานอาหารมื้อเย็นที่ภัตตาคารในโรงแรม เขาถึงตระหนักว่าตัวเองไม่ควรสวมชุดนี้
เมื่อกี้ภรรยาของเขาเพียงเหลือบมองผ่าน ๆ และไม่สนใจเขา เขาจึงสงสัยว่าเธออาจจะเอือมระอาความมักง่ายบางอย่างในตัวเขาก็ได้ เลยไม่อยากคุยกับเขา
เฉินเจียเหอยืมมอเตอร์ไซค์ของเย่ไป๋ขี่กลับบ้าน
เย่ไป๋ไม่ได้ไปที่ห้องอาหารกับเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ล่วงหน้า
เขาเดินตามเซี่ยเหลยไปที่ร้านตัดผมแทน
เหตุผลก็เพราะเขาต้องอยู่เพื่อคอยกำกับหลินเซี่ย ว่าหมอจะสอดเข็มฝังตรงจุดไหนบ้าง เพื่อที่เธอจะได้เลือกทรงผมถูก
“เซี่ยเซี่ย ช่วยตัดผมให้…” เซี่ยอวี่เกือบจะหลุดคำที่ไม่สมควร จึงกระแอมไอกลบเกลื่อน แล้วเปลี่ยนคำพูดทันควัน “ช่วยตัดผมให้พี่ชายฉันหน่อยสิ เอาทรงที่ทำให้เขาดูหล่อขึ้นนะ”
หลินเซี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการทำผมให้ลูกค้าอีกคน อาจารย์หวังเห็นชายตัดผมสั้นเดินเข้ามาก็อาสาว่า “เดี๋ยวผมตัดให้เองครับ”
โดยปกติเขาจะรับหน้าที่บริการให้ลูกค้าผู้ชายที่เดินเข้ามาในร้านอยู่แล้ว
เซี่ยอวี่รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย
หล่อนอยากให้ลูกสาวเป็นคนตัดผมให้พ่อของตัวเองมากกว่า
เซี่ยเหลยแสดงท่าทางเฉยเมย กำลังจะเดินไปสระผมตามการเชื้อเชิญของอีกฝ่าย
หลินเซี่ยหันไปพูดกับอาจารย์หวังยิ้ม ๆ
“อาจารย์หวัง เดี๋ยวฉันตัดเองค่ะ วันนี้คุณเลิกงานเร็วหน่อยก็ได้”
ชุนฟางรับหน้าที่สระผมให้เซี่ยเหลย หลินเซี่ยทำงานของตัวเองเสร็จพอดี จึงเริ่มตัดผมของเซี่ยเหลย
เย่ไป๋ชี้ให้เห็นตำแหน่งสำคัญสำหรับการฝังเข็ม ไม่ลืมกำชับให้หลินเซี่ยช่วยใส่ใจเป็นพิเศษ
ครั้นทำงานของตัวเองเสร็จแล้วเขาก็ยังไม่ออกไปไหน แต่นั่งลงข้างเซี่ยอวี่และรอพวกเขาด้วยกัน
พวกเขาทั้งสองนั่งติดกันบนโซฟาคู่ที่หลินเซี่ยเพิ่งซื้อมา เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก เย่ไป๋จึงได้กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมาจากหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง
เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูใบหน้าอันละเอียดอ่อนของหล่อน
มองครั้งหนึ่ง ก็อดมองอีกครั้งไม่ได้
หลังจากถูกเขาเหลือบมองหลายครั้ง ในที่สุดเซี่ยอวี่ก็อดไม่ได้ หันไปมองเขาแล้วถามว่า “ฉันแต่งหน้าไม่สวยหรือเปล่า?”
“หา?” เย่ไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบกลับมานั่งหลังตรง มองไปข้างหน้า และตอบกลับอย่างใจเย็น “เปล่านี่ครับ”
เซี่ยอวี่เองก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงแอบมองหล่อนบ่อย ๆ
ถึงอย่างไรหล่อนก็คุ้นเคยกับสถานการณ์ดังกล่าวอยู่แล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ถือว่าก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้วล่ะ ต่อให้ยังจำแม่เซี่ยเซี่ยไม่ได้ แต่ได้ทำงานร่วมกันก็น่าจะกระตุ้นความทรงจำบางส่วนได้แล้ว
ระหว่างหมอเย่กับคุณดาราดังนี่ก็มีลุ้นอยู่นะคะ หลังจากนี้จะใจตรงกันหรือเปล่าน้อ
ไหหม่า(海馬)